Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๑๓

luangporพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช



ถาม:
ถ้าผมจะภาวนาโดยมุ่งเน้นไปที่การปล่อยวางจิตผู้รู้เลยจะได้ไหมครับ

ให้มันมีตัวผู้รู้ไว้ก่อน อย่าเพิ่งกระโดดไกล ว่าต้องปล่อยวางผู้รู้คืนให้โลก
มันจะคืนสติ คืนปัญญา ให้โลกไปหมดเลยนะ

ตอนนี้ต้องมีผู้รู้ไว้ก่อนนะ ผู้รู้เหมือนเรือ
จิตผู้รู้ที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน มันเหมือนเรือ
ตราบใดที่ยังไม่ขึ้นบก อย่าเพิ่งทิ้งเรือ

เมื่อวานก็มีนะ มีพระมาส่งการบ้าน
ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างเลย
เห็นเลยจิตที่อยากภาวนาก็เป็นโลภะ
โลภะเกิดแล้วก็ดับได้ เพราะงั้นไม่ต้องภาวนา
สรุปลงท้าย ไม่ต้องภาวนาหมดเลย ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นนะลงท้ายไม่ต้องภาวนา
บอกสติแตกแล้ว จิตใจกระเจิดกระเจิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนะ อย่างนั้นไม่ถูกนะ

ต้องมีจิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูซะก่อน
จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูนี่แหละจะทำให้เราเดินปัญญาได้
เมื่อปัญญาแก่รอบนะ มันจะคืนจิตให้โลก มันคืนของมันเอง
มันคนละขั้นคนละตอนนะ

เรียนกรรมฐานต้องเรียนไปตามลำดับนะ
เรียนเรื่องศีล เรียนเรื่องจิต เรียนเรื่องปัญญา
พัฒนาศีล พัฒนาสมาธิ พัฒนาปัญญา
ขึ้นมาเป็นลำดับๆ นะ แล้วจิตมันวางของมันเอง
ไม่ใช่นึกๆเอา โน่นก็อนัตตา นี่ก็อนัตตา
ทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ เพราะงั้นไม่ต้องทำอะไร
นั่นคิดเอาเอง ปัญญาล้ำหน้าไปแล้วนะ ใช้ไม่ได้

เพราะงั้นพวกเราอย่าเพิ่งทิ้งตัวรู้
พวกเราขณะนี้มีหน้าที่สร้างตัวรู้นะ
ขนาดพระอนาคาท่านยังไม่ทิ้งตัวรู้เลย
แล้วพวกเราจะทิ้งตัวรู้ได้ยังไง

เราค่อยฝึกนะ วิธีฝึกให้ได้ตัวรู้ ง่ายๆเลย
จิตหนีไปคิด รู้ทัน
จิตหนีไปคิด รู้ทัน
เพราะตัวรู้กับตัวคิดเนี่ย มันกลับข้างกัน
เมื่อไหร่จิตหนีไปคิด รู้ทันนะ ตัวรู้จะเกิดแต่เกิดแว๊บเดียวเดี๋ยวก็คิดใหม่
คิดใหม่รู้อีก คิดใหม่รู้อีก ในที่สุดจิตตัวรู้มันจะตั้งเด่นขึ้นมานะ
ถ้าตั้งมั่นเด่นดวง แต่ว่าบางครั้งอารมณ์ทางโลกมันยั่วเย้าใจมาก
รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ มายั่วเย้าใจมาก อันนี้ทำสมาธิช่วยทำสมถะช่วย

เช่นจิตมันจะกระโดดวิ่งไปดูสาวตลอดเลย ราคะมันรุนแรงมาก
ก็พิจารณาปฏิกูลอสุภะ ทำสมถะช่วยให้จิตมีกำลัง
สมถะทำให้จิตมีแรง สมถะทำเป็นที่พักผ่อน เป็นที่เสริมแรง
เหมือนปั๊มน้ำมันเท่านั้นเอง กอดปั๊มน้ำมันอยู่รับรองไม่ไปถึงไหน
ก็อยู่ที่ปั๊มนั่นแหละเป็นเด็กปั๊มไปไหนไม่รอดหรอก
คนอื่นเขามาแว๊บ เติมน้ำมัน แล้วไปต่อโน่นแล้ว
ไปเชียงใหม่ ไปเชียงราย ไปโน่นไปนี่
ส่วนเด็กปั๊มก็อยู่ตรงนี้แหละว้า เนี่ยถ้าติดสมถะนะเหมือนเด็กปั๊มน่ะ
ไม่ไปไหนหรอก ชาตินี้ก็อยู่ตรงนี้แหละ ปั๊มอยู่นี่แหละ
มีความสุขนะ ฟังเพลง อยู่ในร่มด้วย ไม่เดินทางไปไหน
แต่ว่าเอาไว้พักผ่อน เป็นที่เติมน้ำมัน

พอใจมีเรี่ยวมีแรงนะ มาเดินปัญญา
จิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นคนดู ดูกายทำงาน ดูใจทำงาน
หลวงพ่อสอนเรื่อยเลย หลักของการเดินปัญญาเนี่ย
หลักของการทำวิปัสสนานะ ให้มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
ตามความเป็นจริงคือเห็นไตรลักษณ์นะ
ไม่ใช่รู้กายรู้ใจเฉยๆ แต่ต้องเห็นไตรลักษณ์

มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
ถ้าพูดภาษาให้ถูก ต้องมีสติเห็นความจริงของกายของใจ
นี่ถ้าพูดเอาให้เป๊ะๆเลยนะ มีสติเห็นความเป็นจริงของกายของใจ
จะเห็นความจริงของกายของใจได้ จิตต้องตั้งมั่นเป็นกลาง
จิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางนี่แหละ คือจิตผู้รู้ล่ะที่ครูบาอาจารย์เรียก
ถ้าภาษาเรียกว่า จิตที่มีลักขณูปนิชฌานล่ะ ตั้งมั่น

งั้นพวกเราพยายามฝึกนะ
ต่อไปนี้จิตไหลไปแล้วรู้ จิตไหลไปแล้วรู้
ฝึกไหวไหม ฝึกไหวไหม
ไม่ไหวก็ต้องไหวนะถ้าอยากพ้นทุกข์
ถ้าอยากทุกข์ไปเรื่อยๆก็เป็นเด็กปั๊ม สงบ
ไม่มีรถมาก็สงบ มีอะไรมาก็ลืมตาขึ้นมาทีหนึ่ง
ไม่เอาอย่างนั้นนะ เสียเวลา ชาตินี้ไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนเลย
พอไหวไหม พอไหวไหม ไหวแล้วต้องทำนะ

พวกเราฝึกนะ ฝึกใจของเราขึ้นมาก่อน
รักษาศีล ๕ ไว้ เป็นชาวพุทธศีล ๕ ไม่มี
หน้าด้านที่สุดเลย ไม่ใช่ชาวพุทธหรอก ไม่มีศีล ๕
อย่าไปทำอย่างงั้นนะ ตลบแตลง กระล่อนไปวันๆหนึ่ง ไร้สาระ
เป็นชาวพุทธต้องมีศีล ๕

มีศีล ๕ แล้วต้องมาฝึกจิต ฝึกจิตให้สงบ
วิธีฝึกจิตให้สงบ ก็น้อมจิตให้ไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่สบายมีความสุข
อยู่กับพุทโธ มีความสุข ก็ไปอยู่ จิตก็ไม่หนีไปที่อื่น สงบ
ฝึกจิตให้ตั้งมั่น วิธีฝึกจิตให้ตั้งมั่น คอยรู้ทันจิตที่ไหลไปคิด
จิตไหลไปคิดแล้วรู้ ไหลไปคิดแล้วรู้
ความจริงหลวงปู่มั่นก็เคยสอนไว้
หลวงปู่มั่นสอนฆราวาสเนี่ยสอน ทาน ศีล ภาวนา
พอถึงขั้นภาวนา ท่านสอนให้พุทโธ พุทโธแล้วคอยรู้ทันจิตทีไหลไปคิด
ไหลไปคิดแล้วรู้ ไหลไปคิดแล้วรู้ จิตจะค่อยสงบเข้ามานะ
ได้ทั้งความสงบได้ทั้งความตั้งมั่นนะถ้าวิธีนี้ ดีที่สุดเลยที่ท่านสอนไว้

พวกเราหัดนะ ลองพุทโธดูก็ได้
พุทโธไม่ใช่เพื่อให้จิตสงบ
แต่พุทโธแต่จิตไหลไปแล้วรู้ จิตไหลไปแล้วรู้
จะได้ทั้งสงบ ได้ทั้งตั้งมั่น ตัวนี้ที่จะได้จิตผู้รู้ขึ้นมา

พอมีจิตผู้รู้แล้วนะ ถ้าจิตมันติดสงบติดเฉย
ติดซื่อบื้อ ไม่ยอมพิจารณา ไม่ยอมเดินปัญญา
ตรงนี้ให้คิดค้นคว้าพิจารณาร่างกาย เป็นการกระตุ้นให้จิตเดินปัญญา
ถ้าจิตเดินปัญญาแล้ว จิตจะตั้งมั่นเป็นคนดู เห็นอารมณ์ทั้งหลายเคลื่อนไป
ปรากฏการณ์ทางนามธรรมไหลผ่านหน้าไป จิตเป็นคนดู
ถ้าอย่างนี้ไม่ต้องคิดเลย ไตรลักษณ์จะแสดงตัวแล้ว
ตรงนี้วิปัสสนาจริงแล้ว ตรงที่ยังคิดนำอยู่ยังไม่ใช่วิปัสสนา
หลวงพ่อพุธเคยสอนนะว่า สมถะเริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ วิปัสสนาเริ่มเมื่อหมดความคิด
ครูบาอาจารย์สอนต่อๆกันมานะ สอนเด็ดขาดมากเลย

...ยืนเดินนั่งนอน กินดื่มทำพูดคิด
ถ้าภาวนาเป็นนะ ตัวนี้วิเศษมากเลย
กรรมฐานนี้เหมาะกับคนในเมืองที่สุดเลย
เราจะเอาเวลาไปนั่งสมาธิ วันละหลายๆชั่วโมง ห้าชั่วโมง หกชั่วโมง
ไปหากินที่ไหน พอดีอดตายใช่ไหม เวลาเรามีน้อยน่ะ
เราจะขึ้นรถไฟฟ้า ขึ้นไปด้วยความรู้สึกตัว
เดินขึ้นรถไฟฟ้า หรือวิ่งขึ้นรถไฟฟ้า วิ่งขึ้นแล้วไปยืนอยู่
ยืนอยู่ด้วยความรู้สึกตัวนะ รู้สึกลงไปด้วยสติ รู้สึกลงไปด้วยปัญญา
รู้สึกลงไปด้วยสติ คือรู้สึกถึงความมีอยู่ของสภาวะในขณะนั้น
เช่นร่างกายมันวิ่ง เห็นร่างกายมันวิ่งอยู่
รู้ด้วยปัญญา ก็คือเห็นความจริงคือไตรลักษณ์
เห็นว่าตัวที่วิ่งอยู่ไม่ใช่เราหรอก เป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุที่วิ่งไปได้
เห็นความสุขเกิดขึ้น มีสติเป็นคนรู้ความสุขทีเกิดขึ้น
ปัญญารู้ว่าความสุขก็ไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาชั่วครั้งชั่วคราว

เนี่ยดำรงชีวิตอยู่นะด้วยสติด้วยปัญญาให้มากเลย
ดูลงไปเรื่อยๆนะ ถึงเวลาก็ทำในรูปแบบ รักษาศีล ๕ ยืนพื้นไว้
ทำแบบนี้ได้ รับรองต้องดีแน่นอน
ส่วนจะบรรลุมรรคผลนิพพานเมื่อไหร่เนี่ย แล้วแต่บุญวาสนานะ

ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
วันอาทิตย์ ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๔