Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๐๘

luangporพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช



ถาม
: ต้องทำอย่างไรจึงจะเห็นไตรลักษณ์ของกายใจนี้ได้ และถ้ารู้อย่างแจ่มแจ้งแล้วจะให้ประโยชน์อย่างไรครับ

เรียนรู้นะ ถ้าเมื่อไหร่เราไม่หลงลืมกายลืมใจ แล้วก็ไม่มาเพ่งกายเพ่งใจให้นิ่งให้ทื่ออยู่
เราจะเห็นไตรลักษณ์ของกายของใจได้

มาดูไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์คือความจริง เราอยากมาดูของจริง
ดูของจริงก็ไม่เผลอไป ไม่เพ่งไว้ ของจริงจะแสดงตัว
ของที่ไม่เที่ยง เกิดแล้วดับ มันไม่เที่ยงใช่ไหม ของที่เกิดแล้วดับ
ของที่มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ หรือมันเป็นสุข
คำว่าทุกข์นี้หมายความว่า มันทนอยู่ได้นานไหม มันทนอยู่ไม่ได้นานมันเป็นทุกข์นะ
ของที่เป็นทุกข์นี่ควรเห็นไหมว่าเป็นตัวเรา มีใครอยากได้ตัวทุกข์ ไม่มีใครเอา
เนี่ยถ้าปัญญามันเกิดนะมันเห็น มันก็วางนะ ไม่เอา เป็นของไม่เที่ยง เป็นของเป็นทุกข์
เอาไปทำไม ไม่ยึดไม่ถือนะ ไม่ควรยึดถือว่าเป็นเรา

ของที่เกิดแล้วดับตลอดเวลาเนี่ย จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตนถาวร
ของที่ทนอยู่ไม่ได้เนี่ย จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตนถาวร มีแต่เกิดแล้วดับ
ตรงที่ไม่มีตัวตนถาวรนั้นแหละ เรียกว่าอนัตตา

เราภาวนานะเรามาดูของจริง เรียนรู้ความจริงเรียนรู้ของจริงเข้ามา ในที่สุดล้างความเห็นผิดว่ามีเราได้
ดูลงในกาย ร่างกายมีแต่ความเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรคงทนถาวรอยู่ในร่างกาย
ดูลงไปในจิตใจ จิตใจมีแต่ความเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรคงทนถาวรอยู่ในจิตใจ
สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว กุศลชั่วคราว โลภโกรธหลงชั่วคราว อะไรๆ ชั่วคราวหมดเลย ให้คอยดูลงไป
ในที่สุดปัญญามันเกิดนะ มันเห็นเลย ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตนถาวร มีแต่ของชั่วคราว
ไม่มีอะไรที่เป็นอมตะ ของถาวรก็ไม่มีนะ
มีแต่ชื่อมีแต่สมมุตินะ แต่โดยความจริงไม่มี มีแต่ของเกิดแล้วดับ

เนี่ยเรียนรู้นะ พอรู้ตามความเป็นจริงนะใจจะคลายออก

ไม่ยึดถือแล้ว ไม่ยึดถือ มันจะล้างความเห็นผิดไปก่อนนะ
ล้างความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน พบว่าไม่มีตัวตนที่แท้จริง
รูปธรรมเกิดขึ้นชั่วคราวแล้วก็ดับไป นามธรรมเกิดขึ้นชั่วคราวแล้วก็ดับไป ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตนถาวร
อันนี้ได้ธรรมะเบื้องตนแล้ว ล้างความเห็นผิดได้
แล้วรู้เลยว่าสิ่งทั้งหลายนะมีเหตุก็เกิด ไม่ใช่เกิดลอยๆ
เพราะงั้นเราจะล้างมิจฉาทิฏฐิตัวอื่นๆ ได้อีกเยอะแยะเลย
ล้างมิจฉาทิฏฐิได้หมดเลยนะ ที่คิดว่าเกิดโดยไม่มีเหตุเกิด
เรียกว่าพวก อเหตุกทิฏฐิ ไม่มีเหตุให้เกิด เป็นมิจฉาทิฏฐิ

อีกพวกหนึ่ง เยอะแยะเลย มิจฉาทิฏฐิมีเยอะแยะ หลายจำพวก
พวกนัฏฐิกทิฏฐิ พวกไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่า นี่นัฏฐิกทิฏฐิพวกไม่มีอะไร
เยอะแยะเลยพวกมิจฉาทิฏฐิ

ขอเพียงล้างความเห็นผิดว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวเราได้นะ มิจฉาทิฏฐิอื่นๆ จะหายไปด้วย
เพราะมิจฉาทิฏฐิอื่นๆ มันเนื่องอยู่ด้วยความมีกายมีใจ มีตัวตนจริงๆ
บางพวกคิดว่า ตายแล้วไปเกิดอีก คิดว่ามีตัวตนถาวร เดี๋ยวนี้ก็มี อนาคตก็มี
บางพวกคิดว่า ตายแล้วสูญ พวกนี้เห็นว่ามีตัวตนไหม มี ขณะนี้มี แต่อนาคตสูญ ขณะนี้มีกูอยู่นะ แต่อนาคตสูญ
เพราะงั้นมิจฉาทิฏฐินานาชนิดเลย มันเนื่องอยู่ในรูปนามนี้เอง ในกายในใจนี้เอง
ถ้าเข้าใจความเป็นจริงของรูปธรรมนามธรรมนะ ก็จะล้างทิฏฐิ ล้างมิจฉาทิฏฐิได้
พระโสดาบันล้างมิจฉาทิฏฐิได้ เพราะงั้นเราค่อยฝึกนะ
แล้วถัดจากนั้นมันก็จะค่อยพัฒนาขึ้นไป จนล้างโมหะ ตัวทิฏฐิเนี่ยเป็นแค่โลภะ เป็นลูก ลูกของโมหะ
ตัวโทสะ เป็นหลายนะ ตัวโลภะ เป็นตัวลูก
โทสะมันเกิดได้เพราะโลภะมันไม่สมอยาก โทสะมันก็เกิด เพราะงั้นกิเลสนะ มีตระกูลของมัน
บรรพบุรุษของมันนะคือตัวโมหะนี่เอง
วิธีจะล้างโมหะ พอเรารู้แล้วตัวจริง จริงๆ ไม่มีตัวตน
ก็มาคอยรู้ลงในกายในใจ ต่อลงไปอีก
รู้จนเห็นแจ้งอริยสัจ ถ้าเห็นแจ้งอริยสัจได้ก็ล้างโมหะได้

รู้จักอริยสัจไหม
เราต้องรู้ความจริงสี่อย่าง
รู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ รู้มรรค
อะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นสมุทัย อะไรเป็นนิโรธ อะไรเป็นมรรค
รู้หน้าที่ต่อทุกข์ รู้หน้าที่ต่อสมุทัย รู้หน้าที่ต่อนิโรธ รู้หน้าที่ต่อมรรค
แล้วก็ทำหน้าที่ต่อทุกข์ให้เสร็จ ทำหน้าที่ต่อสมุทัย ต่อนิโรธ ต่อมรรค ให้เสร็จ
นี่เรียกเรารู้แจ้งอริยสัจ เรียกมีวนรอบ ๓ ปริวัต ๑๒

ดูลงมานะ เรียนรู้ลงมา
ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือรูปธรรม นามธรรม คือขันธ์ ๕ นี้แหละตัวทุกข์
รู้ทุกข์แจ่มแจ้งแล้ว คือรู้ความจริงของขันธ์ ๕ หน้าที่ต่อทุกข์คือการรู้ เราก็ฝึกรู้ทุกข์
ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง จะละสมุทัย
สมุทัยคือตัวตัณหา ความอยาก เป็นตัวโลภะที่รุนแรง เป็นตัณหา

งั้นถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง จะล้างอวิชชา ล้างโมหะได้
รู้ทุกข์แจ้ง มันจะละโลภะไป ละตัณหาไป ตัวลูกมันถูกพรากไป
เมื่อไหร่รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง เมื่อนั้นละสมุทัย
เมื่อไหร่ละสมุทัย เมื่อนั้นแจ้งนิโรธ นิโรธคือนิพพาน

นิโรธต้องทำให้แจ้ง สมุทัยต้องละนะ ทุกข์ต้องรู้

รู้ทุกข์นะ รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงเรื่อยไป
ความจริงของมันคือไตรลักษณ์ ดูกายดูใจลงเป็นไตรลักษณ์เรื่อยไป

ถ้าดูแล้วมันไม่เห็นไตรลักษณ์ คิดพิจารณาว่าเป็นไตรลักษณ์ช่วยมัน
เบื้องต้นช่วยมันคิดพิจารณาลงเป็นไตรลักษณ์ก่อน
แต่ถ้ามันดูได้เอง เห็นไตรลักษณ์เอง ก็ไม่ต้องไปคิดมัน ดูของจริงไปเลย


พอรู้ทุกข์นะแล้วมันจะละสมุทัย มันจะหมดความอยาก
ความอยากมันเกิดจากอะไร เกิดจากไม่รู้ทุกข์

เราคิดว่ากายนี้ใจนี้เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง ตอนนี้รู้สึกอย่างนี้
นี่เรียกว่าเราไม่รู้ทุกข์จริง ถ้าเรารู้ทุกข์จริง เราจะรู้ว่ากายนี้ใจนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ
ไม่มีทางที่จะทำให้มันสุขเลย มันเป็นตัวทุกข์
ไม่มีทางหนีทุกข์ด้วย ไม่มีทางทำให้มันแปรสภาพกลายเป็นตัวสุขด้วยนะ
เพราะงั้นความอยากที่ไร้เดียงสาเนี่ยจะไม่เกิดขึ้น
ความอยากของเราไร้เดียงสาทั้งนั้นเลย
อยากอะไร ถ้าดูให้ดีนะ อยากให้กายเป็นสุข อยากให้กายพ้นทุกข์
อยากให้ใจเป็นสุข อยากให้ใจพ้นทุกข์ อยากอยู่อย่างนี้
พอรู้ความจริงแล้ว กายนี้ใจนี้ทุกข์แน่นอนนะ ความอยากไร้เดียงสาเนี่ยไม่มีอีกแล้ว
เพราะงั้นเมื่อไหร่รู้ทุกข์แจ่มแจ้งนะ สมุทัยจะไม่เกิดอีกแล้ว
คำว่าละสมุทัยเนี่ย ละแบบสมุทเฉท หมายถึงละแล้วไม่มีต้องละอีก ละครั้งเดียวเลย
เมื่อไหร่ตัณหาไม่เกิดอีกแล้วเนี่ย เมื่อนั้นแหละ นิโรธปรากฏ
ที่ว่านิโรธทำให้แจ้ง นิพพาน นิโรธคือนิพพาน
นิพพานคืออะไร นิพพานคือความสิ้นตัณหา
เมื่อไหร่สิ้นตัณหาเมื่อนั้นจะเห็นนิพพาน
เพราะงั้นนิพพานคือความสิ้นตัณหา
งั้นเราคอยรู้ทันนะ

ถามว่านิพพานเกิดขึ้นเมื่อสิ้นตัณหาหรือเปล่า ไม่ใช่
นิพพานมีอยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะมีตัณหาจึงไม่เห็นนิพพาน
เมื่อไหร่สิ้นตัณหาก็มองเห็นนิพพานซึ่งมันมีอยู่แล้วแต่เราไม่เห็น
งั้นนิพพานไม่ใช่ของที่เกิดแล้วดับ เป็นธาตุซึ่งมีอยู่แล้ว คงที่อยู่อย่างนั้นเอง
ในขณะที่เรารู้ทุกข์ จนละสมุทัย แจ้งนิโรธ ขณะนั้นแหละเรียกว่ามรรค
ขณะเดียว ขณะเดียวนั้นแหละ ที่เรียกว่ามรรค
เวลาที่มรรคเกิดนะ งานของอริยสัจ ๔ เนี่ยทำเสร็จในขณะเดียวกันเลย
เพราะงั้นรู้ทุกข์นะพวกเรา รู้ความจริงให้ได้
ถ้าเรารู้ความจริงได้ เราจะเข้าไปจนถึงเนี่ยละตัณหานะ แจ้งพระนิพพาน
จิตใจที่พัฒนาจนมาแจ้งพระนิพพาน
เรียกว่าเรายกระดับจิตวิญญาณถึงขีดสุดแล้ว ไม่มีความทุกข์เหลืออยู่อีกแล้ว

เพราะงั้นงานหลักของเราในชีวิตเรานะ คืองานพัฒนาจิตวิญญาณของเราไปสู่ความพ้นทุกข์นะ
ส่วนงานทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย เลี้ยงครอบครัว เสียภาษีอะไรนี้ อันนี้งานอยู่กับโลกนะ งานอยู่กับโลก
งั้นเราฝึกนะ ฝึกไป รู้งานหลักของเรา งานหลักของเรายกระดับจิตวิญญาณของเราขึ้นไปให้ได้
ไปสู่อะไร ไปสู่ความพ้นทุกข์ให้ได้ ทำไมต้องมีชีวิตที่จมอยู่กับความทุกข์นิรันดร เรื่องอะไร
วันนี้ทุกข์ วันข้างหน้าต้องไม่ทุกข์นะ
วิธีที่จะยกระดับจิตวิญญาณตนเอง
มีสตินะ สำรวจใจตนเองไปเลย
กิเลสอะไรเกิดขึ้น รู้ทันไปเลยนะ
กิเลสหยาบๆ เกิดขึ้น สู้ด้วยศีล รักษาศีลไว้
กิเลสอย่างกลาง คือความฟุ้งซ่านของจิตเกิดขึ้นนะ ทำจิตให้สงบให้ตั้งมั่น สู้ด้วยสมาธินะ
ถัดจากนั้นก็มาเดินปัญญา พอจิตสงบจิตตั้งมั่นแล้ว มาเรียนรู้ความจริงของรูปนาม เรียกว่าปัญญา
สู้ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา นี้แหละ
ในที่สุดกิเลสหมดนะ กิเลสหมดไปแล้ว จิตวิญญาณเราก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์
มีแต่ความสุขนะถัดจากนี้มีแต่ความสุข ความทุกข์อยู่ที่ร่างกาย ความทุกข์เข้ามาไม่ถึงจิตอีกแล้ว


อย่างไปกราบอาจารย์มหาบัวนะ ท่านตัดนิ้วไป ร่างกายท่านกระปรกกระเปลี้ย
บางวันก็เหนื่อยหอบ ต้องให้ออกซิเจน ท่านมีความสุขน่ะ
ดูแล้วโอ้ อาจารย์มีความสุข ท่านอาจารย์มีความสุขจัง หมดจดงดงาม
เห็นไหม แก่ขนาดนั้นนะ อายุเกือบร้อยปี ไม่สบาย กระปรกกระเปลี้ย มีความสุขได้ไง
เป็นพวกเราสิ นิ้วหายไปนิ้วนึงกลุ้มใจตายเลย
ท่านก็ยังมีความสุขอยู่อย่างนั้น เจ็บไข้ได้ป่วยยังไงก็มีความสุข
เนี่ยจิตวิญญาณที่ยกระดับสุดขีดแล้วนะ มีความสุข
งั้นทุกคนมีโอกาสที่จะลิ้มรสความสุขอันนี้นะ
ขอเพียงพัฒนาจิตวิญญาณของตนเองขึ้นไปนะ ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา นี้แหละ

สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๓