Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๐๐

luangporพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช




ถาม - ตอนนี้แอบคิดกังวลกับชีวิตตอนแก่ๆ ค่ะ ว่าจะต้องอยู่คนเดียว จะทำยังไงให้สามารถอยู่ได้แบบไม่เป็นทุกข์คะ

ขนาดโลกใหญ่ๆ นะยังแปรปรวนเลย
พวกเราตัวเล็กตัวน้อยแปรปรวนเร็วกว่านั้นอีก ไม่นานก็แก่แล้ว ก็เจ็บก็ตาย
ตอนเด็กๆ รู้สึกว่ายังเหลืออายุเยอะ พอยิ่งอายุมากขึ้นนะรู้สึกวันคืนล่วงไปอย่างรวดเร็วเลย
ยังดีว่าเราได้ภาวนา ไม่งั้น มองอนาคตข้างหน้านะ มองด้วยความหวาดกลัว
อย่างชีวิตเราแก่ลงเรื่อยๆ นะ กำลังเราอ่อนลงเรื่อยๆ ต่อไปจะอยู่ยังไง
บางคนตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัวลูกเต้าอะไร จะอยู่ยังไง
พวกที่มีลูก นึกว่าจะพึ่งลูกเหรอ จนป่านนี้ลูกยังมาพึ่งอยู่ ก็มีนะ
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีธรรมะเป็นที่พึ่งซะอย่างเดียว ชีวิต อนาคตเนี่ยเป็นของน่ากลัว
เพราะอนาคตนะ เราจะรู้สึกว่าต้นทุนของเราเนี่ยต่ำลงเรื่อยๆ
กำลังเราอ่อนลงเรื่อยๆ จะต่อสู้แย่งชิง จะต่อสู้ปกป้องตัวเองอะไรเนี่ย มันทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
ทีนี้คนบางคนก็หาความมั่นคงด้วยการไปมีครอบครัว มีลูกมีอะไร หวัง หวังๆ เอาว่าจะมั่นคง
ลองมองดูสังคมจริงๆ ทุกวันนี้ คนแก่อยู่ตามลำพังเยอะแยะเลย
บางคนตายทีนึงหลายๆ วันแล้วข้างบ้านค่อยรู้ ส่งสัญญาณกลิ่นไป ทำให้รู้
แต่ไม่เหมือนคนมีธรรมะนะ คนมีธรรมะเราภาวนาของเราทุกวัน
เรามองอนาคตข้างหน้ามันดีกว่านี้ มันไม่ใช่เลวลง
ไม่ใช่ว่ามองไปแล้วกำลังของเราจะตกลงไปเรื่อยๆ หมดแรงไปเรื่อยๆ ไม่ใช่
เราภาวนาสม่ำเสมอไปเนี่ย เราจะรู้เลยว่ายิ่งนานวันนะกำลังเรามากขึ้น
กำลังของศรัทธา ของศีล ของสมาธิ ของปัญญา แก่กล้าขึ้นเรื่อยๆ
จิตใจมีความสุขมีความสงบมากขึ้นเรื่อยๆ
มีที่พึ่งอยู่ในตัวเอง มีความสุขอยู่ในตัวเองได้
สมมุติวันหนึ่งแก่มาก ไม่มีคนดูแลนะ ยังเคลื่อนไหวได้ ก็มีความสุขอยู่
วันหนึ่งหมดแรง เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้นะ นอน
ไม่ใช่นอนรอความตายแล้ว ไม่ใช่นอนรอความสูญเสีย
มันเกิดกระดุกกระดิกไม่ไหวนะ ภาวนา ยังมีงานทำ ยังภาวนา
อนาคตต้องดีกว่านี้อีก ดีแน่ๆ เพราะฉะนั้นต้องภาวนานะ
ทุกวันฝึกจิตฝึกใจให้มันสูงขึ้นเรื่อยๆ ยกระดับจิตใจขึ้นไปเรื่อยๆ
จะหวังอะไรกับโลก โลกเป็นอย่างนี้แหละ เอาอะไรกับมันนักหนา

สวนสันติธรรม
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓

ถาม - ผมเห็นคนทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำชั่วแล้วไม่ได้ชั่วอยู่เรื่อยๆ ครับ
จนนึกสงสัยว่าเดี๋ยวนี้กฎแห่งกรรมไม่ทำงานหรือครับ

เรามาเกิดในยุคที่ค่อนข้างแย่หน่อย เรียกว่าคติวิบัติ
ยุคนี้มันยุคเสื่อม เป็นยุคที่ไม่ใช่คติสมบัติ มันคติวิบัติ
ที่ที่เกิดของเราเนี่ย เป็นที่ที่คนไม่มีศีลมีธรรม เยอะเหลือเกิน
คนเบียดเบียนกันเยอะเหลือเกิน บางคนจะสงสัยว่า เอ๊ กฎแห่งกรรมไม่ทำงานเหรอ
กฎแห่งกรรมทำงาน แต่กฎของกรรมเนี่ยมันมีเงื่อนไขหลายตัว
ตัวหนึ่งคือเรื่องของคติ คติที่ที่เราเกิดเนี่ย
ถ้าที่นี่มีแต่คนดีนะ ใครทำชั่วนิดเดียวเท่านั้นแหละ
กรรมชั่วจะให้ผลทันทีเลย คือสังคมจะลงโทษทันที
แต่ในสังคมเราตอนนี้ มันเลวเหมือนๆ กัน คนทำชั่วก็ไม่เป็นไร สังคมยอมรับได้
เลยรู้สึกว่ากฎแห่งกรรมทำงานยากขึ้น ยังไงกฎแห่งกรรมก็ทำงานนะ
แต่ว่าในสังคมที่คนไม่ดีเยอะเนี่ย กรรมมันทำงานยากขึ้นนะ
กรรมดีให้ผลยากขึ้น กรรมชั่วให้ผลง่ายขึ้น
เราเลือกที่เกิดไม่ได้แล้ว เกิดไปแล้ว เรารีบพัฒนาตนเอง
พัฒนาสมบัติอีกชนิดหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า “ปโยคสมบัติ”
คือพากเพียร มีความเพียรในการพัฒนาตนขึ้นมา
ยิ่งพัฒนาตนได้เท่าไหร่นะ เราจะเห็นโลกนี้มันเป็นของหลอกลวง เป็นภาพลวงตา
อย่างคนที่อยู่ในโลกเขาทะเลาะกันนะ เขาแย่งอำนาจกัน
มีอำนาจแล้วก็มีพวก มีเงิน มีทุกสิ่งทุกอย่าง ก็แย่งกัน
ถ้าเราภาวนา เรามองโลกตรงตามความเป็นจริง
เราจะรู้สึกว่าเขาแย่งสิ่งซึ่งเป็นภาพลวงตาเท่านั้นเอง ไม่ใช่สาระแก่นสารที่แท้จริง
อย่างคนมีอำนาจจะมีอำนาจได้กี่ปี มีได้ไม่กี่ปี
มีเงินหลายหมื่นล้าน ถามว่ากินข้าวได้วันละกี่จาน
กินข้าวได้มากกว่าเราหรือเปล่า ไม่มากกว่านะ
มาแข่งกินข้าว บางทีสู้เราไม่ได้นะ พวกมีอำนาจมากๆ มันกินไม่ลง
มันเป็นภาพลวงตานะ ภาพลวงตา แย่งชิงสิ่งซึ่งไม่นานก็เสียไป
เรามาหาสิ่งซึ่งเป็นสาระแก่นสารให้กับชีวิตตัวเอง
ยิ่งสะสมไปทุกวันๆ นะ จิตใจยิ่งอบอุ่น ยิ่งเบิกบาน มีความสุขมากขึ้นๆ

สวนสันติธรรม
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓


ถาม - ถ้าบูชาพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะแล้ว แต่ว่าที่บ้านเป็นคนจีนยังไหว้บรรพบุรุษค่ะ เลยสงสัยว่าดิฉันยังสามารถไหว้บรรพบุรุษได้ไหมคะ

ไหว้เจ้าไม่เป็นไร ไหว้บรรพบุรุษไหว้เทวดา พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้าม
เพียงแต่ว่าเราไหว้แล้วก็คิดถึงคุณงามความดี
เราไม่ได้ไหว้ในฐานะเป็นที่พึ่งว่าจะช่วยให้เราพ้นทุกข์
เพราะฉะนั้นชาวพุทธเราจะไม่มีที่พึ่งอย่างอื่น
ทีนี้บางคนเข้าใจผิด บอกไม่มีที่พึ่ง เพราะฉะนั้นไหว้ใครก็ไม่ได้
ไหว้พ่อก็ไม่ได้ ไหว้แม่ก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ อย่างนั้นเข้าใจผิดแล้ว
คือเรารู้ว่าเราไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึ่งพาให้เราพ้นจากสังสารวัฏนี้ได้ นอกจากพระรัตนตรัย
นี่ขอบเขตอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ว่าท่านห้าม ห้ามไหว้คนดี ห้ามไหว้เทวดา ห้ามไหว้
ไม่ได้ห้ามนะ แต่ไม่ได้ในฐานะเป็นที่พึ่ง
ในฐานะที่คิดถึงคุณงามความดีของเขา
อย่างไหว้เทวดาก็คิดถึงหิริโอตัปปะ ทำยังไงเราจะมีหิริโอตัปปะเหมือนเทวดา
ไหว้พ่อ ไหว้แม่ ไหว้บรรพบุรุษ ก็คิดบรรพบุรุษอยากให้เราดี
เราก็ต้องเป็นคนดี ทำสิ่งดีๆ ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลจะได้สืบเนื่องไป
เข้าใจอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก

ชาวพุทธแท้ๆ ไม่ค่อยมีเรื่องกับใคร มองโลกด้วยสายตาที่เข้าใจ แล้วมีความสุข
ส่วนสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งให้เราพ้นทุกข์จริงๆ พ้นจากสังสารวัฏจริงๆ
มีแต่พระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้านิพพานแล้วทำยังไงดี พระธรรมยังดำรงอยู่
พระธรรมเป็นศาสดาของพวกเรา เราต้องศึกษาธรรมะนะ
ไม่งั้นเราก็คือคนไม่มีที่พึ่ง คนไม่มีพ่อมีแม่
เพราะฉะนั้นเราต้องศึกษาธรรมะไว้ ถ้าเราศึกษาธรรมะเราเข้าใจ รู้วิธีปฏิบัตินะ
ลงมือปฏิบัติให้สมควรแก่ธรรม วันหนึ่งใจของเรามีธรรมะขึ้นมา
พอธรรมะมันเข้ามาสู่ใจของเราแล้ว ใจของเราจะเป็นพระสงฆ์นะ
จะเป็นผู้รู้ตาม เป็นอนุพุทธะ
พระสงฆ์เนี่ยก็เป็นพุทธะเหมือนกัน แต่เรียกว่าอนุพุทธะ
อนุพุทธะไม่ใช่แปลว่าพุทธะน้อยๆ แปลว่า "ผู้รู้ตาม"
พระพุทธเจ้าเป็นสัมมาสัมพุทธะ ผู้รู้ด้วยตนเอง
ของเราเป็นอนุพุทธะ ผู้รู้ตามพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราก็ศึกษาธรรมะไว้
ธรรมะให้ประโยชน์ให้ความสุขตั้งแต่ในปัจจุบันนะ
อะไรเกิดขึ้นในชีวิตเรา ถ้าเรามีธรรมะ เราไม่ทุกข์นะ
ปัญหามีอยู่ แต่ความทุกข์ไม่มี

สวนสันติธรรม
๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓