Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๙๕

luangporพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช



ถาม - ผมมีเวลาไปปฏิบัติที่วัดน้อยมากเลยครับ จะไปเป็นลูกศิษย์เพื่อธุดงค์พร้อมพระอาจารย์แบบสมัยก่อนก็ทำไม่ได้อีก แบบนี้ควรจะทำอย่างไรดีครับ


เราอย่าไปหวังภาวนาแบบเก่าๆ นะ ไปเดินอยู่ตามป่าตามเขาอะไรอย่างนี้
มันไม่มีให้ไป ไปที่ไหนก็เจอบ้านคนทั้งนั้นเลย
ทุกหนทุกแห่งมันกลายเป็นเมืองไปหมดแล้ว
เราต้องเอาธรรมะอยู่ในเมืองให้ได้ ธรรมะต้องอยู่ในเมืองให้ได้
เพราะฉะนั้นเราภาวนานะ อยู่ในบ้านเราก็ภาวนา อยู่บนถนนเราก็ภาวนา
อยู่ในที่ทำงานนะ มีโอกาสก็ภาวนา
อยู่ที่ไหนก็ต้องภาวนา ไปเดินศูนย์การค้าก็ต้องภาวนา
ให้การภาวนาจริงๆ เนี่ยมันอยู่ในชีวิตของเราจริงๆ ให้ได้
อย่าไปวาดภาพว่าตอนอยู่กับบ้าน อยู่กับธรรมดาในบ้านในเมืองนะยังไม่ต้องภาวนา
เอาไว้ว่างๆ แล้วไปอยู่วัด หรือไปเข้าคอร์สแล้วค่อยภาวนา
มันไม่ไหวแล้ว สังคมนี้ร้อนไปหมดนะ เต็มไปด้วยกิเลส เร่าร้อน
เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ทำลายกันทุกหนทุกแห่ง เบียดเบียนกันตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นเป็นเวลาที่จำเป็นมากเลยที่เราจะต้องมีธรรมะ
ธรรมะนี่แหละจะเป็นเครื่องคุ้มครองเรา คุ้มครองได้สารพัดจริงๆ นะธรรมะ
อย่างเราหัดเจริญสติอยู่เนี่ย กิเลสเกิดในใจเรา เรารู้ทัน
กิเลสครอบงำใจเราไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราปลอดภัยไปเยอะแล้ว
อย่างสาวๆ นะถูกไอ้หนุ่มหลอกได้ ก็เพราะกิเลสตัวเองแหละครอบงำ
ไม่ใช่ไอ้หนุ่มมันหลอกได้นะ แต่ตัวเองปล่อยให้กิเลสครอบงำเอง
งมงาย ไปเชื่อเขาง่ายๆ อะไรอย่างนี้
หรือเรามีมือถืออันนี้แล้วจะต้องมีอีกรุ่นนึงอะไรอย่างนี้
มีอันนี้แล้วต้องมีอันโน้น มีอันโน้นแล้วต้องมี อะไรต่อๆ ไปเรื่อยนะ
เราถูกกิเลสหลอก ถูกเขาหลอกไปเรื่อยเลย
ชีวิตเราก็เต็มไปด้วยความลำบาก มีหนี้มีสินมีอะไรลำบากมากมาย
เพราะฉะนั้นจำเป็นมากนะที่เราจะต้องมีธรรมะ
โรคภัยไข้เจ็บก็ร้ายแรงใช่ไหมเดี๋ยวนี้ คนเป็นมะเร็งเยอะแยะเลย เราไม่รู้ว่าเราจะแจ็คพ็อตวันไหน
เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่มีธรรมะเนี่ยเราลำบากมากเลย ชีวิตหาความมั่นคงไม่ได้จริงหรอก
เพราะฉะนั้นเราเรียนธรรมะนะ เวลาอยู่กับโลกเราก็จะอยู่อย่างมีความสุข
แล้วก็ตั้งอกตั้งใจเจริญสติไปเรื่อยๆ วันนึงอินทรีย์มันแก่กล้าขึ้นมา เข้าใจธรรมะขึ้นมา
ธรรมะเบื้องต้นขั้นโสดา สกิทาคา ฆราวาสทำได้ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ทำได้


ถาม - จำเป็นไหมคะว่าจิตที่ใช้ในการเจริญวิปัสสนา ต้องเป็นจิตที่ตั้งมั่นถึงระดับฌาน

เวลาที่เราจะใช้จิตที่ตั้งมั่นไปเจริญวิปัสสนาเนี่ย
จิตไม่จำเป็นต้องตั้งมั่นถึงระดับฌาน
แค่ตั้งมั่นเป็นขณะๆ เรียกว่ามีขณิกสมาธิก็พอแล้ว
เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นถึงขนาดว่าต้องทำฌานให้ได้ก่อน อันนั้นเข้าใจผิดแล้ว
แต่ว่าต้องฝึกตัวเองนะ เราคอยสังเกตจิตไปเรื่อย จิตเราชอบไหล
เดี๋ยวก็ไหลไปทางตา เดี๋ยวก็ไหลไปทางหู เดี๋ยวก็ไหลไปคิด ใช่ไหม
จิตที่ไหลไปไหลมานั้นแหละ คือจิตที่ไม่ตั้งมั่น
นี่แหละอาศัยสตินะ รู้ทันจิต รู้ทันจิตไปเรื่อย
เราก็เห็น โอ้ จิตไหลไปแล้ว รู้ทัน จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมาชั่วขณะ
อย่าไปดึงคืนมานะ ถ้าจิตไหลไปทางตา เราไปดึงคืนมา มันจะแน่นๆ
ไม่ดึงคืน จิตไหลไปทางหู ก็แค่รู้ว่ามันไหลไปทางหู
มันจะตั้งมั่นขึ้นมาเอง ถ้าไปดึงคืนใจก็จะแน่นๆ
จิตแอบไปคิดนะ ก็แค่รู้ว่าจิตหนีไปคิดแล้ว
เห็นจิตมันไหลไปคิด จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมาเอง
แต่ถ้าไปดึงคืนมานะ จิตจะแน่นๆ ถ้าแน่นๆ แล้วทำผิดแล้ว
มีความจงใจเจือด้วยโลภะเจตนาแล้ว
เพราะฉะนั้นเราหัดนะ หัดทีแรก หัดรู้สภาวะทั้งหลายที่เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ
สิ่งที่เราได้คือเราจะได้สติ
อีกอันหนึ่งเราหัดรู้จิตที่มันเคลื่อนไป จิตที่มันหลงไป
หลวงปู่ดูลย์เรียกจิตออกนอก
จิตมันไหลไปทางโน้น ไหลไปทางนี้
บางทีไหลไปข้างนอก บางทีไหลเข้าไปข้างในก็ได้ เรารู้ทันจิตที่ไหลไป
เวลาที่เราจะดูอะไรสักอย่าง จิตชอบถลำลงไปดู
เวลาเราจะคิดอะไร จิตก็ชอบถลำลงไปคิด
ให้คอยรู้ตัวนี้บ่อยๆนะ จิตจะตั้งมั่นขึ้นมา มันจะรู้ตัวขึ้นมาได้
ทีนี้เราจะได้สติ ได้จิตที่ตั้งมั่นเป็นขณะๆ ขึ้นมาละ
ถัดจากนั้นเราจะเจริญปัญญา มันเจริญอัตโนมัตินะ
เมื่อสติอัตโนมัติ กับจิตตั้งมั่นอัตโนมัติเกิดขึ้นแล้วเนี่ย
การเจริญปัญญาอัตโนมัติจะเกิดเอง โดยที่ไม่ได้เจตนาเลย

อย่างบางคนยืนแปรงฟัน นั่งแปรงฟันอะไรเนี่ย
อยู่ๆ ปุ๊บ จะรู้สึกขึ้นมา ร่างกายที่เคลื่อนไหวอยู่นี่ไม่ใช่เราแล้ว
บางคนตื่นนอนนะ นอนดิ้นไปดิ้นมา พลิกไปพลิกมา ยังขี้เกียจอยู่นะ
พลิกไปพลิกมาเกิดรู้สึกขึ้นมาในฉับพลันเลย
ร่างกายที่พลิกอยู่นี้ ไม่ใช่ตัวเราแล้ว
นี่มันเห็นนะ เห็นความจริงแล้วว่า มันไม่ใช่เราหรอก
กายก็ไม่ใช่เรานะ เวทนาก็ไม่ใช่เรา สังขารที่เป็นกุศล อกุศล ก็ไม่ใช่เรา
จิตเองก็เกิดดับ เดี๋ยวจิตก็เกิดที่ตา เกิดที่หู เกิดที่ใจ หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย
เดี๋ยวจิตสุข จิตทุกข์ จิตดี จิตร้าย หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย
เพราะฉะนั้นจิตก็เกิดไปตามอายตนะ จิตเกิดไปตามเจตสิก เกิดร่วมกัน
เช่นความสุขกับจิตที่มีความสุข ก็เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน
เนี่ยหัดดูไปเรื่อย เราก็จะเห็น จิตเองก็เกิดดับ
สังขารทั้งหลาย ร่างกายก็ไม่ใช่ตัวเรา เป็นของถูกรู้ถูกดู
เวทนาถูกรู้ถูกดู สังขารที่เป็นกุศลอกุศล ถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่เรา
ตัวจิตที่นึกว่าเป็นเรา ก็เกิดๆ ดับๆ ไม่ใช่ตัวเราที่ถาวร
ถ้าเมื่อไหร่เห็นความจริง ว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตนถาวร
นั่นแหละ จะได้ธรรมะแล้ว ตัวตนถาวรไม่มี
พระโสดาบันท่านเห็นความจริงแล้ว ว่าไม่มีอัตตาตัวตนหรอก
ตัวตนถาวรไม่มี ถ้ายังเห็นว่ามีสิ่งใดเป็นอัตตาตัวตนอยู่ ยังเป็นปุถุชนอยู่ จำไว้นะ
อย่างถ้ายังเห็นว่าจิตนี้เป็นของเที่ยง ของถาวร นี่ไม่ใช่แล้ว
เห็นสติเป็นอัตตา บังคับได้ สั่งได้ นี่ไม่ใช่แล้ว
มันนอกคอกที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว
ได้ไหม มีสติรู้จิตได้ศีล
มีสติรู้จิต จะเกิดสมาธิ ใจจะตั้งมั่น
ใจไหลไป รู้ทัน จะตั้งมั่น
เสร็จแล้วก็มีสติ มีใจที่ตั้งมั่นเนี่ย ไปรู้
จะเห็นเลย ขันธ์ห้ามันกระจายออกไปแล้ว ขันธ์ห้าไม่ใช่เรา นี่คือปัญญา

สวนสันติธรรม
๔ ตุลาคม ๒๕๕๒