Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๙๓

luangporพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช

?


ถาม
- เวลาที่พบปัญหาใหญ่ หรือต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทำอย่างไรจะใช้ธรรมะเยียวยาได้ครับ

ธรรมมะเป็นเครื่องขัดเกลาตัวเอง ค่อยๆ ลดละความเห็นแก่ตัวไปเรื่อยๆ
เบื้องต้นก็ค่อยๆ ดูไปจนมันฉลาด
คนเห็นแก่ตัวเพราะไม่ฉลาดนะ โง่
ไม่รู้หรอกว่ายึดถือตัวตนเอาไว้แล้วทุกข์
ถ้าปล่อยตัวตนออกไปได้นะ ความทุกข์ก็ลดลงๆ
พระอรหันต์ไม่ได้เป็นมนุษย์ประหลาดอะไร
คนชอบไปวาดภาพพระอรหันต์เหมือนคนพิการ
กระดุกกระดิกก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ ผิดปกติไปหมดเลย
ฮอร์โมนก็ผิดปกติ อะไรๆ ก็ผิดปกติ มันชอบคิดอย่างนี้นะ
ที่จริงก็คือในทางร่างกายนี่ปกติ เหมือนคนธรรมดาเลย
แต่จิตที่ฝึกดีแล้ว จิตที่มันฉลาดละ
มันเห็นความจริงของกายของใจซ้ำแล้วซ้ำอีก
มันรู้เลยกายนี้ใจนี้เป็นตัวทุกข์
พอมันรู้ความจริงอย่างนี้แล้ว มันจะไม่ยึดถือกายยึดถือใจ
เมื่อไม่ยึดกายยึดใจก็ไม่มีภาระที่จะต้องเดือดร้อนกับกายกับใจ
ร่างกายจะแก่ จะเจ็บ จะตาย ก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะไม่ได้ยึดถือกาย
จิตใจนะจะกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
กระทบอารมณ์ที่ดีบ้าง กระทบอารมณ์ไม่ดีบ้าง
จิตใจก็ไม่กระเพื่อมหวั่นไหว ไม่ยินดีไม่ยินร้าย จิตใจก็เป็นอิสระ
จิตใจของคนที่ยังฝึกไม่พอนะ ไม่มีอิสรภาพ
พอถูกกระทบอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วยินดีบ้างยินร้ายบ้าง
พอยินดีนะก็ดิ้นรนแสวงหา ดิ้นรนรักษา
ยินร้ายก็ดิ้นรนขจัดปัดเป่า ดิ้นรนต่อต้านขัดขืน

อย่างความทุกข์ในชีวิตเรา ปัญหาในชีวิตเราผ่านเข้ามาเนี่ย
เราไม่พอใจ อยากให้หายไป ต้องดิ้นรน
แต่ถ้าเห็นว่ามันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติกันทั้งนั้นนะ
ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
กระทั่งชีวิตเราเอง สิ่งที่เรียกว่าตัวเราเอง อยู่ชั่วคราวนะ
แล้วก็ผ่านไปเหมือนกัน ไม่มีถาวร ไม่มี
ถ้าเห็นอย่างนี้นะ ไม่ว่าจะเจออะไร จิตใจก็ไม่หวั่นไหว
จะพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็ไม่หวั่นไหวนะ จะเจอสิ่งที่ไม่รักก็ไม่หวั่นไหว
จะสมปรารถนา จะไม่สมปรารถนานะ
ใจก็ไม่หวั่นไหว ไม่กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง
เห็นทุกอย่างเป็นปรากฏการณ์ที่ไหลผ่านไปเรื่อยๆ
ทุกอย่างเหมือนสิ่งที่ว่างเปล่า เป็นปรากฏการณ์ที่ว่างเปล่าเท่านั้นเอง
เพราะมันมีมาชั่วคราวแล้วมันก็หายไปหมดเลย
มันไม่มีหรอกสิ่งที่จริงจังที่สุดในชีวิต

อย่างบางทีเวลาเราเผชิญปัญหา
เรารู้สึกสิ่งนี้สำคัญที่สุดเลย ชีวิตเราขาดสิ่งนี้ไม่ได้
อย่างเวลามีความรักนะ รู้สึกคนนี้เป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้
คนๆนี้ ถ้าเราขาดแล้วเราไม่มีความสุขเลย
วันนึงขาดเข้าจริงๆ ก็อยู่ได้นะ ไม่ตายหรอก
บางคนก็มีตำแหน่งหน้าที่ใช่ไหม เคยใหญ่
พอถึงตุลา เกษียณนะ นี่วันนี้ ๓๑ ตุลา มีคนเกษียณมาหนึ่งเดือน
คงมีคนตายไปบ้างแล้ว เฉาตาย เคยใหญ่
รู้สึกตำแหน่งหน้าที่นั้นเป็นของสำคัญ ขาดไม่ได้
ความจริงขาดได้ ทุกอย่างนะไม่ใช่สำคัญที่สุดหรอก
ทุกอย่างมันมาแล้วไปทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรหรอกที่เราขาดมันไม่ได้
อย่างพระเยซูสอนดีนะ บอกว่าอย่างบางคนต้องการเสื้อผ้าใช่ไหม
เห็นว่าเสื้อผ้าสำคัญ ท่านสอนร่างกายสำคัญกว่าเสื้อผ้า
ชีวิตสำคัญกว่าอาหาร อะไรแบบนี้ สอนดี
นักปราชญ์ทั้งหลายก็มองคล้ายๆ กันแบบนี้แหละ
ทีนี้ไม่ยึดกระทั่งร่างกาย ไม่ยึดกระทั่งจิตใจนะ
โอ้โห มันมีอิสระจริงๆ นะ
อะไรเกิดขึ้น แม้โลกจะแตกต่อหน้าต่อตานะ
ใจก็ไม่หวั่นไหวหรอก มีความสุข



ถาม - ตั้งใจจะอยู่เป็นโสดแต่ก็กลัวเหงา ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจะช่วยได้ใช่ไหมคะ

ธรรมนะยิ่งเราฝึกมากๆ นะ เราได้รับความสงบ มีความอบอุ่นใจนะ
จิตใจอบอุ่นเหมือนลูกมีพ่อมีแม่ ไม่ว้าเหว่ไม่เงียบเหงาหรอก
มีธรรมะอยู่ด้วย จิตใจมีความสุข
สมัยก่อนหลวงพ่อภาวนา ยังไม่ได้เรื่องนะ ทำแต่สมถะ
ตอนเป็นวัยรุ่นนะ รู้สึก อุ๊ย เงียบเหงา บางทีก็เงียบเหงานะ
คนเราพอเงียบเหงาต้องอยากมีแฟน ใช่ไหม
ต้องดิ้นรน ต้องทำนู้นทำนี้ บางคนก็ต้องไปคบกับเพื่อน
ชวนกันไปเที่ยวเล่นเฮฮาไป ให้ลืมไปวันหนึ่งๆ ชีวิตเงียบเหงา
เดี๋ยวนี้ภาวนามาเรื่อยๆ นะ ชีวิตไม่เคยมีคำว่าเงียบเหงาเลย
ยิ่งอยู่ตามลำพังนะ ยิ่งมีความสุข
ยิ่งเจอคนเยอะๆ อย่างนี้นะ เหนื่อยนะ
ไม่เจอดีกว่า ไม่เจอสบาย สบายทางร่างกายนะ
ใจก็เหมือนกันน่ะ เห็นว่างๆ ไม่มีอะไร
เห็นพวกเราก็เหมือนเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้บางต้นก็เพิ่งงอก
บางต้นงอกมานานแล้วเพราะงอมไป เห็นเหมือนต้นไม้
ไม่มีคำว่าเหงาเลย ไม่มีคำว่าว้าเหว่อะไรอย่างนี้
ไม่เคยเลย มีแต่ความสุข ใจที่ฝึกไปเรื่อยนะ มีความสุขที่สุดเลย
เพราะฉะนั้นอยู่ที่เราจะฝึกเอาเอง ธรรมะเป็นของกลางนะ
ไม่ใช่ของพระ ของแม่ชี ของหลวงพ่ออะไรอย่างนี้ ไม่ใช่
ธรรมะเป็นของกลาง เป็นสัจธรรม เป็นความจริง ไม่มีเจ้าของหรอก ธรรมะ
เพียงแต่พระพุทธเจ้าท่านเป็นคนแรกที่ค้นพบมา
เราก็ยกย่องในฐานะที่ท่านเป็นผู้ค้นพบ
แล้วอุตส่าห์ ค้นพบแล้วอุตส่าห์มาบอกเรา
ก่อนหน้าท่านก็มีผู้ค้นพบอยู่นะ พวกพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ท่านก็ค้นพบ แต่ท่านไม่ได้บอกใคร
ที่ท่านไม่ได้บอกใครไม่ใช่ว่าคงไม่ถึงขนาดไม่มีฝีมือหรอก
เพราะอย่างพระปัจเจกก็เก่งนะ เก่งกว่าพระสารีบุตรอีก
คงไม่มีคนที่คู่ควรที่ท่านจะบอกมากกว่า
ถ้ามีคนที่คู่ควรจะบอก ท่านก็คงจะบอกเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นธรรมะเป็นของกลางนะ ธรรมะไม่เคยหายไปไหน
อยู่ที่พวกเราจะเข้าใจมันหรือเปล่า
เราเข้าใจธรรมะได้ ชีวิตเราก็มีความสงบสุข
มีความสุขที่สุดเลย ไม่มีอะไรเหมือนเลย
ความสุขในโลกนะ ชั่วครั้งชั่วคราว
ความสุขแบบวูบๆ วาบๆ ความสุขแบบพึ่งคนอื่น อาศัยสิ่งอื่น
ความสุขแบบไม่มีอิสรภาพ ไม่เป็นตัวของตัวเอง
แต่ใจที่มีธรรมะนะ อยู่คนเดียวก็มีความสุขนะ
อยู่กับคนหลายคนก็มีความสุขเหมือนๆ กัน
แต่อยู่หลายคนมันเหนื่อยนะ อยู่คนเดียวสบาย สบาย
เพราะฉะนั้นเราภาวนานะ
แล้ววันหนึ่งเราจะไม่เงียบเหงาหรอก ถึงจะอยู่ลำพัง


ถาม - ตอนนี้ดิฉันใกล้จะเกษียณอายุแล้ว กลัวว่าอยู่บ้านเฉยๆ จะเหงาค่ะ ควรเตรียมตัวอย่างไรดีคะ

ชีวิตในอนาคตจะเต็มไปด้วยความเงียบเหงานะ
คนที่เกิดมานานๆ อย่างหลวงพ่อจะรู้เลย ว่าแต่ก่อนเรามีครอบครัวที่ใหญ่
ในบ้านนะมีปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา มีหมดเลยเจ็ดชั่วโครต อยู่กันอย่างนั้นละ
พ่อแม่ไม่อยู่ พ่อไปทำงาน แม่อยู่บ้านอย่างนี้
แม่ทำงานบ้าน ปู่ย่าตายายเลี้ยงเด็กอะไรอย่างนี้
ทุกคนมีหน้าที่ พอทุกคนมีหน้าที่นะ ทุกคนมีความสำคัญ
ทุกคนมีความภาคภูมิใจในตัวเอง มีความเชื่อมั่น มีความภูมิใจในตัวเอง
ทุกคนมีความสุขได้ จะยากดีมีจนก็มีความสุข
อยู่มานานๆ เดี๋ยวนี้สังคมเราเหมือนฝรั่งแล้ว ฝรั่ง
ฝรั่งลำบาก แก่ๆ แล้วอยู่คนเดียว เลี้ยงหมาเลี้ยงแมว
คุยกับหมาคุยกับแมวไปวันหนึ่งๆ นะ ชีวิตเงียบเหงามากนะ
พวกเรากำลังเดินรอยตามเขาเหมือนกัน คนแก่ๆ ตอนนี้ ถูกทิ้งอยู่บ้าน
ทิ้งอยู่เฉยๆ นะ ไม่มีกิจกรรมอะไรทำแล้ว
ลูกหลานก็ไม่มีจะเลี้ยง ลูกหลานไปอยู่โรงเรียนอนุบาลหมดแล้ว
คนแก่ไม่มีความหมายเลย เป็นคนซึ่งไม่มีคุณค่า แล้วก็ไม่มีก็ได้
แต่ก่อนทุกคนมีความสำคัญนะ ทุกคนมีหน้าที่ แก่ขนาดไหนก็ยังมีหน้าที่อยู่
เดี๋ยวนี้พอแก่ๆ อยู่บ้านนี่ไม่มีคุณค่าละ คนไม่เห็นความสำคัญ
พอคนไม่เห็นความสำคัญ ไม่สนใจ
ยิ่งเงียบเหงา ยิ่งว้าเหว่ รู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่านะ ยิ่งเฉาหนักขึ้นเรื่อยๆ

ชีวิตในอนาคตจะเป็นอย่างนี้มากขึ้นๆ นะ
ทุกวันนี้คนแก่อยู่บ้านคนเดียวนี่เยอะแยะไปหมดเลย
ถ้ายังอยู่กันสองคนผัวเมียตายาย ก็ยังพอไม่เหงามาก
หลังจากนั้นจะเหงา เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมตัวเตรียมใจนะ
มันเป็นปรากฏการณ์ซึ่งเราเลี่ยงไม่ได้แล้ว
สังคมมันเป็นอย่างนี้ สังคมมันพัฒนา เศรษฐกิจ
พัฒนาอะไรขึ้นมาจนทุกคนออกจากบ้านไปหมดแล้ว
เด็กก็ไปทางนึงนะ พ่อแม่ก็ไปทางนึง เด็กก็ไม่มีความอบอุ่น
ไม่เฉพาะคนแก่ที่ไม่อบอุ่น เด็กก็ไม่มีความอบอุ่น เด็กก็ต้องไปอยู่กับเพื่อน
อยู่บ้านมันก็เปิดอินเตอร์เน็ตนะเพราะมันเหงา ขาดความอบอุ่น
เนี่ยชีวิตในอนาคตเป็นชีวิตที่รันทดมากเลยนะ
เงียบเหงาว้าเหว่ตลอดไป ยิ่งหนักขึ้นๆ
เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมตัวเตรียมใจของเรา
เราภาวนาเป็นนะ เราอยู่คนเดียวมีความสุขมากเลย

เนี่ยเมื่อวันจันทร์หรือวันอังคารไม่รู้ หลวงพ่อไปเทศน์ที่พัทยา
ไปเจอคนแก่คนนึงนะเฝ้าบ้าน แต่เดิมเฝ้าบ้านก็เฉาๆ นะ
นี่เพื่อนบ้านเอาซีดีหลวงพ่อไปให้ฟัง โอ้โห มีความสุขมากเลย
แต่ก่อนนะอยู่บ้านไม่ได้นะ พอลูกหลานไปหมดแล้วนะ
ปิดประตูบ้านย่องๆ ไปคุยกับบ้านนู้นบ้านนี้
เดี๋ยวนี้ไม่ยอมไปไหน อยู่บ้านมีความสุข มีสติ เจริญสติไปเรื่อยๆ
เขารู้สึกชีวิตของเขามีค่า ชีวิตเขามีเป้าหมาย
ชีวิตถ้าไม่เป้าหมาย มันเดินไม่ถูกเรื่องหรอกนะ มันว้าเหว่แล้ว
นี่เขารู้ว่าชีวิตเขามีเป้าหมาย ชีวิตเขาคือธรรมะ
เขาจะต้องพัฒนาจิตใจของเขาให้ไปถึงความพ้นทุกข์ให้ได้
คนที่มีเป้าหมายในชีวิตนะ ยังมีกิจกรรมให้ทำอยู่
อยู่คนเดียวก็ยังมีกิจกรรมให้ทำคือการพัฒนาจิตใจตนเอง
เพราะฉะนั้นไม่เหงาหรอก เพราะมีงานทำ

เราต้องฝึกนะ วันหนึ่งเราต้องเผชิญแล้วละ
อย่านึกนะว่ามีลูกมีหลานมันจะเลี้ยงน่ะ ไม่ต้องเลี้ยงมันตลอดชาติก็บุญแล้วละ
เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมตัวของเราเอง
ไม่มีอะไรดีเท่ากับธรรมะนะ ธรรมะเป็นเพื่อนเราตั้งแต่ปัจจุบันเลย
เป็นเพื่อนเราไปถึงอนาคตนะ เป็นเพื่อนเราได้ตลอดไป


สวนสันติธรรม
๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๒