Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๙๒

luangporพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช

?


ถาม
- รู้สึกว่าสังคมเดี๋ยวนี้ร้อนเหลือเกิน ทำให้ใจพลอยหงุดหงิด โมโหง่ายไปด้วย อยากให้หลวงพ่อแนะนำวิธีเจริญเมตตาเพื่อให้ใจร่มเย็นมากขึ้นหน่อยค่ะ

ทุกวันนี้เบียดเบียนกันมากนะ ทำร้ายกันมาก โกรธเกลียดกันมาก ทุกวงการ
ในที่ทำงานก็แย่งกันใช่มั้ย แย่งเงินเดือน แย่งตำแหน่ง แย่งอะไรต่ออะไร
ไปทุกหนทุกแห่งก็มีแต่การแย่งชิงกันหมด ไม่เลือกเลย
ในวงรัฐบาล วงข้าราชการ นักธุรกิจก็แย่ง กระทั่งวงการพระก็แย่งนะ
แย่งกันเป็นเจ้าคุณ นี่ไม่ได้ว่านะ เจ้าคุณดีๆท่านเยอะนะ ไอ้ที่อยากแย่งก็มีหรอก
คือทุกหนทุกแห่ง มันจะเอาเข้าตัวหมด

ทีนี้ถ้าเราหัดเจริญเมตตา มองคนอื่นด้วยสายตาที่เป็นมิตรนะ
รู้จักให้ได้บ้าง ชีวิตเราจะร่มเย็นเป็นสุขขึ้น
มีศีลไว้นะ เจริญเมตตาไป จิตใจสงบสุข
การเจริญเมตตานั่นแหละ เป็นวิธีทำสมาธิชนิดนึง
เป็นสมาธิชั้นดีซะด้วย เป็นสมาธิที่ละเอียดประณีต
ถ้าเจริญเมตตาเป็น ทำไปได้ถึงอรูปพรหมแน่ะ
ทำได้ถึงอรูปฌานตายแล้วไปเป็นพระพรหมได้

คนไหนบอกว่าทำสมาธิไม่เป็น นั่งสมาธิแล้วจิตไม่รวม ลองมาหัดเจริญเมตตา
คนเดี๋ยวนี้ใจร้อน ขี้โมโห
ถ้าหัดเจริญเมตตาได้ ใจร่มเย็นนะ ใจมีสมาธิ ค่อยลองดูนะ
วิธีฝึกขั้นแรกเลย เมตตาตัวเองก่อน อย่าเบียดเบียนตัวเองนะ
เบียดเบียนตัวเองด้วยการผิดศีลห้าอย่าทำ ไปกินเหล้านี่เบียดเบียนตัวเองนะ
ทุกครั้งที่กินเหล้าเข้าไปนี่ เซลสมองจะต้องตายไปส่วนนึง
ถูกแอลกอฮอล์ทำลาย ทำลายแล้วทำลายเลย
ไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว งั้นจะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ

สงสารตัวเองนะอย่าไปกินเหล้า
สงสารตัวเองอย่าไปเป็นชู้กับเค้า อย่าไปมีกิ๊ก
สงสารตัวเองอย่าตลบตะแลง ปลิ้นปล้อน หลอกลวง
สงสารตัวเองอย่าไปรังแกคนอื่น
รักตัวเองได้ก็รักคนอื่นบ้าง คนอื่นเค้าก็รักชีวิตของเค้า สัตว์อื่นเค้าก็รักชีวิตของเค้า
ค่อยๆทำความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมานะ
แผ่เมตตาให้ตัวเอง แล้วก็ค่อยๆแผ่ไปถึงคนอื่น สัตว์อื่น

ต่อมาเราก็เมตตาคนใกล้ๆตัวนะ ในบ้านเรา สามีเรากลับบ้านดึก
เราโกรธแล้วกลับบ้านดึก ก่อนจะโกรธจะต้องสืบสวนก่อนว่าทำไมกลับดึก
บางทีก็จำเป็นต้องกลับดึก นี่ค่อยมองแง่ดีบ้าง
หรือบางทีคนอยู่ด้วยกันทำผิด เป็นไปได้มั้ย เป็นไปได้อย่างยิ่งเลย
เพราะคนทุกคนมีโอกาสทำผิดทั้งนั้นแหละ
พลาดพลั้งทำผิดไป มองด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจเค้าบ้าง ไม่ใช่อาฆาตแค้น
แต่บางเรื่องก็เห็นใจผู้หญิงนะ คดีบางเรื่องกะสามีนี่ไม่มีอายุความ
หลายสิบปีนึกขึ้นได้ ก็ยังว่าได้อีก บางทีก็ไปเล่าให้ลูกหลานฟัง
แค้นขึ้นมาตายแล้วก็ยังไปว่าอีกนะ นี่นะตอนหนุ่มๆเจ้าชู้ ไอ้ความดีที่เหลือไม่มีเลย
นี่มองคนอื่นนะ ทุกคนมีโอกาสผิดพลาดได้ทั้งนั้น
เราเองก็มีโอกาสผิดพลาด
เราผิดพลาดเราอยากให้คนอื่นให้อภัย เราก็ต้องรู้จักให้อภัยคนอื่น

นี่ถ้าใจเราเคล้าเคลียอยู่อย่างนี้นะ
มองคนอื่น มองสัตว์อื่นด้วยความรู้สึกเป็นมิตร ด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
คนโบราณฉลาดนะ "บอกให้เอาใจเขา มาใส่ใจเรา"
เอาใจเขา มาใส่ใจเรา หมายถึงว่า ตัดสินเขา ด้วยสายตาของเขาบ้าง
ไม่ใช่ตัดสินเค้าด้วยสายตาของเราคนเดียว
ทำไมเค้าต้องเป็นอย่างนี้
ทำไมเค้าต้องทำอย่างนี้ บางทีเค้าก็มีเหตุผลของเค้า
เราเข้าใจแล้วนะ ความเคียดแค้นอะไรนี่ก็จะหายไป
นี่พอเราเจริญเมตตามากๆ ใจเราจะมีความสุข มีความสงบ
นี่เป็นกรรมฐานที่ดีนะ การเจริญเมตตาภาวนา เพราะว่าโลกทุกวันนี้ร้อนเต็มทีแล้ว
ไปไหนก็ยุ่งไปหมดทุกหนทุกแห่ง นั่งรถไปเจอเสื้อเหลืองเสื้อแดงยุ่งไปหมด
เปิดวิทยุ เปิดโทรทัศน์ เปิดหนังสือพิมพ์ ก็มีแต่เรื่องทะเลาะกัน
ฉะนั้นเราเจริญเมตตา พอจิตใจสงบ ทีนี้ภาวนาง่ายแล้ว เจริญเมตตาไปกว้างๆ

เจริญเมตตามีสองอันนะ
อันนึงเรียกว่า "เมตตาพรหมวิหาร"
อันนึงเรียกว่า "เมตตาอัปปมัญญา"
สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน
"เมตตาพรหมวิหาร" เป็นเมตตาแบบเจาะจง
เช่น เราเห็นลุงคนนึงแก่แล้ว เรามองด้วยสายตาเป็นมิตร นี่อย่างนี้
หรือมีกรุณา สมมติเพื่อนเราไม่สบาย อยากให้เค้าหาย
เบื้องต้นนะ เมตตา กรุณา มุฑิตา คนใกล้ๆตัว คนที่เรารักก่อน
คนที่เกลียดนี่ อยู่ๆไปให้เมตตา เมตตายากนะ
ทีแรกสิ่งที่เรารักที่สุดคือตัวเอง เมตตาตัวเองก่อน
อย่าเบียดเบียนตัวเองด้วยความชั่วทั้งหลาย
ต่อมาเมตตาคนรอบๆตัว ต่อไปก็ขยายวงออกไปเมตตาคนอื่นที่เป็นกลางๆ
สุดท้ายเมตตากับศัตรูก็ได้นะ ศัตรูก็น่าสงสาร
ศัตรูด่าเราแล้วเราเฉยๆ ศัตรูกลุ้มใจน่าสงสาร เมื่อยนะด่าเค้า
วางแผนเอาอึไปปา เหนื่อยนะไม่ใช่ไม่เหนื่อย เหม็นก่อนเพื่อนเลย
เหม็นก่อนนายกอีก นี่น่าสงสารนะ ถ้ามองอย่างนี้นะ
มองด้วยสายตาที่เป็นมิตร มองด้วยสายตาที่เข้าใจ เห็นอกเห็นใจ
ความโกรธความเกลียดในใจเรามันจะหายไป

คราวนี้เรามองโลกทั้งโลกเลย ไม่ต้องมีประมาณ
ไม่ต้องมีขอบเขต ไม่ต้องมองเป็นคนๆแล้ว
ตรงที่มองเป็นคนๆนี้ยังเป็นพรหมวิหาร พรหมวิหารสี่
เมตตาคนนี้ กรุณาคนนี้ มุฑิตาคนนี้ อุเบกขาคนนี้
มุฑิตาก็คือ ดีใจกับเค้าด้วยเวลาเค้าได้ดี
ไม่ใช่ไฟไหม้บ้านเค้าก็ดีใจกับเค้าด้วย อันนั้นไม่ใช่มุฑิตาแล้ว

ถ้าเป็น "อัปปมัญญา" จะไม่มีขอบมีเขต
ไม่เลือกคน ไม่เลือกเป้าหมายนะ ใจจะกว้างขวาง
หัดทีแรกก็หัดเป็นทิศๆก่อน เช่น
ทำความรู้สึกไป ขอความเป็นมิตรไมตรีให้มีแก่สัตว์ทางนี้
ทางข้างหน้านี้ ข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา ข้างบน ข้างล่าง
ฝึกไปเรื่อย ต่อไปใจเราจะคล้ายๆพระอาทิตย์ พระจันทร์
อยู่ตรงกลางนะ แผ่รัศมีไปรอบทิศทางได้
นี้เป็นเรื่องของสมาธิทั้งนั้นเลย

สวนสันติธรรม
๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓

?

ถาม - ทำอย่างไรจะเห็นได้ว่ากายและใจนี้มีทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลาได้คะ

ในโลกนะ เขามีอะไรหลวงพ่อก็มี
ความสุขในโลกเป็นยังไง รู้จักอย่างดีเลย
แต่รู้ไว้นะ มันหาสาระแก่นสารไม่ได้
ความทุกข์นะมันตามบีบคั้นชีวิตเราอยู่ตลอดเวลา
ใจเราเต็มไปด้วยความอยาก อยากโน้น อยากนี่ อยากโน้น อยากนี่
ทุกครั้งที่เกิดความอยากขึ้นในใจนี่ จิตใจถูกบีบคั้นตลอดเวลา
ร่างกายก็ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลานะ
เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหิว เดี๋ยวกระหาย
เดี๋ยวปวดอึ ปวดฉี่ เดี๋ยวนู้น เดี๋ยวนี้ ตลอดเวลา
เดี๋ยวก็คันใช่ไหม คัน มีใครนั่งมาถึงป่านนี้ยังไม่คันเลยมีไหม มีไหม
บางคนอาจจะบอกว่าหนูยังไม่คันเลย
ความจริงหนูเกาไปหลายรอบ แต่หนูไม่รู้สึกนะ หนูไม่รู้สึก
เพราะฉะนั้นชีวิตนะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ ความบีบคั้นมากมายเลยนะ
ร่างกายนี้ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ จิตใจก็เต็มไปด้วยความทุกข์
แต่คนโง่ คนเขลา คนไม่มีสติ ไม่มีปัญญา นั้นมองไม่เห็น
ก็เห็นว่าชีวิตนี้เต็มไปด้วยความสุข

ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมานะ มีสติคอยรู้สึกอยู่ที่กาย
ก็เห็นเลยกายนี้มันทุกข์ตลอดเวลาเลย
มีสติระลึกรู้จิตไปเรื่อย ตามรู้ไป
ก็จะเห็นนะ จิตมันมีแต่ความทุกข์บีบคั้น
กิเลสตัณหาเนี่ยย่ำยีมันอยู่แทบตลอดเวลา หาความสุขไม่ได้หรอก
เพราะฉะนั้นในโลกนะ โลกมันจะดี
โลกมันจะวิเศษแค่ไหนไม่สำคัญใช่ไหม
แต่กายนี้ใจนี้เนี่ยมันไม่มีความสุขซะแล้ว
ไปอยู่ในโลกที่วิเศษแค่ไหน มันก็ไม่สุขหรอก

สวนสันติธรรม
๔ ตุลาคม ๒๕๕๒