Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๙๑

luangporพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช

?


ถาม - รู้สึกว่าตัวเองขี้เกียจปฏิบัติและคิดว่ายังอายุน้อยมีเวลาอีกนาน แบบนี้เรียกว่าประมาทใช่ไหมคะ


ถ้าเดินทางเสียแต่วันนี้นะ ข้างหน้าก็ถึง
ถ้าวันนี้ไม่เริ่มต้นนะ ข้างหน้าไปไม่ได้หรอก
ลงได้ยินธรรมะเกี่ยวกับการเจริญสติจนถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ทำเนี่ย
จะทำเมื่อไหร่ ไม่เริ่มวันนี้ จะเริ่มเมื่อไหร่
รอให้แก่รึ รอให้ตายรึ หรือจะไปเริ่มชาติหน้า หรือจะรอพระศรีอาริย์
ถ้านิสัยสันดานขี้เกียจขี้คร้าน ไปเจอพระศรีอาริย์ก็ยิ่งขี้เกียจกว่านี้อีก
เพราะสะสมนิสัยไม่ดีไปนะ
เพราะฉะนั้นต้องฝึกนะ หัดเจริญสติตั้งแต่วันนี้เลย
ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้
สติปัฏฐานนี้นะเป็นธรรมะที่กลางๆ ไม่ยากเกินไป ไม่ง่ายเกินไปหรอก
เป็นธรรมะที่พอดีๆ ที่มนุษย์จะทำได้
ทำไมเหมาะกับมนุษย์ นี่เทวดายังไม่เหมาะเลย พรหมก็ไม่เหมาะนะ
มนุษย์นี่เหมาะที่สุดเลย เพราะอะไร เพราะมนุษย์นี่สำส่อน
ใจเราเดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย
เห็นไหม หมุนติ้วๆ อยู่อย่างนี้ทั้งวัน
ร่างกายของเราก็ไม่สุขเกินไป ไม่ทุกข์จนเกินไป ทำให้ไม่ประมาทไม่มัวเมานะ
อย่างเป็นเทวดาใช่ไหม โอ้ มีแต่ความสุข จะดูอะไรล่ะ
จะอยากปฏิบัติธรรมนะ เอาไว้ก่อน อายุยังอีกเยอะ
ถ้าเอาไว้ก่อนอายุยังอีกเยอะ เนี่ยประมาทแล้ว

พวกเราก็อย่าประมาทนะ ต้องลงมือปฏิบัติตั้งแต่เดี๋ยวนี้นะ
ไม่ใช่ว่ามาบอกหลวงพ่อว่าขอฟังก่อน แล้วเดี๋ยวกลับบ้านจะไปปฏิบัติ
นั่นพวกประมาทนะ รู้ได้ยังไงว่าจะถึงบ้าน
เพราะฉะนั้นต้องทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย มีสติ
จิตใจเรามีความสุขขึ้นมาก็รู้ จิตใจเราฟุ้งซ่านก็รู้

๑๔ กันยายน ๒๕๕๑

ถาม - การรักษาศีลห้าช่วยให้ลดละกิเลสได้อย่างไรครับ

ตัวที่ทำให้จิตใจเรามีความทุกข์ จิตใจมีความเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา
ก็คือกิเลสทั้งหลายนั่นเอง ทีนี้กิเลสน่ะมันมีหลายระดับ
การที่เราจะศึกษาปฏิบัติธรรมนะ เราต้องค่อยๆ พัฒนา
ยกระดับจิตใจของเราขึ้นเป็นลำดับๆ ไป
อยู่ๆ ปุ๊บปั๊บจะมาบรรลุมรรคผลนิพานเลย มันเป็นไปไม่ได้
กิเลสมันต้องล้างไปเป็นลำดับๆ ก่อน
เครื่องมือในการล้างกิเลสก็คือศีล สมาธิ ปัญญา
เวลาทำต้องทำให้พร้อมนะ ทำให้ถึงพร้อม
พระพุทธเจ้าถึงสอนไงว่า ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม
ไม่ใช่เดินปัญญาอย่างเดียว
บางคนนะมักง่ายคิดจะเดินปัญญาอย่างเดียว
แล้วคิดว่าถ้ามีปัญญาแล้วก็ศีล สมาธิ มันจะมีไปหมด
มันจะหลุดพ้นไปได้เอง จริงๆ ไม่ได้หรอก
เวลาเราเรียนหนังสือเรายังต้องเรียนเป็นชั้นๆ
มีชั้นประถม ชั้นมัธยม ชั้นอุดมศึกษาอะไรอย่างนี้
การปฏิบัติธรรมก็มีเป็นชั้นๆ เหมือนกัน

เบื้องต้นเลยเราต้องรักษาศีลไว้ก่อน
ศีลเนี่ยเป็นเครื่องมือที่จะลดบาปอกุศล
การทำบาป การทำผิดทางกาย ทางวาจา
สมาธินี่เป็นเครื่องลดการทำบาปทำผิดทางใจ
ปัญญาเนี่ยเป็นเครื่องทำลายความเห็นผิด
ก่อนที่จะทำลายความเห็นผิดได้ ต้องล้างกิเลสหยาบๆ ไปก่อน
กิเลสหยาบที่สุดเลยคือกิเลสที่มันย้อมใจเราติด
ผลักดันให้เราทำผิดทางกาย ทางวาจา
เพราะฉะนั้นอย่าดูถูกศีล บางคนดูถูกศีลนะ
คิดว่าจะภาวนาแล้วไม่รักษาศีล คิดว่าทำสมาธิแล้วไม่ต้องมีศีล
นั่นมันทฤษฎีของพระเทวทัตแล้ว มีสมาธิมากนะ เหาะเหินเดินอากาศได้
โห เฉลียวฉลาดหลอกลวง เอาคนไปเป็นสานุศิษย์ได้เยอะแยะ
แต่ไม่มีศีล ด่างพร้อย ไปไม่รอด
เพราะฉะนั้นศีลเนี่ยเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสอย่างหยาบ
คือราคะ โทสะ โมหะ กิเลสก็มีอยู่แค่นี้เอง
ราคะ โทสะ โมหะ กิเลสมีสามตัวเท่านี้เอง
ต้องเรียนให้ถ่องแท้นะ กิเลสมีอยู่แค่นี้แหละ ทำไมไม่ชนะมันซะที
กิเลสมีแค่นี้ทำไมถูกมันหลอกอยู่ตลอดเวลา

ราคะ รู้จักไหมราคะ
ราคะเป็นกิเลสที่จะดึง ดึงดูดทุกสิ่งเข้าหาตัวเอง อยากได้
อย่างอยากได้พวงมาลัย ก็ไปดึงเข้ามาแบบนี้ราคะ
พอดึงเข้ามาแล้ว โอ้ นี่มีหนอนอยู่นะ โทสะ
โทสะคือสภาวะที่อะไร ที่ผลัก ผลักอารมณ์ออกไปนะ
ราคะเป็นสภาวะที่จะดึงอารมณ์เข้ามา
โทสะเป็นสภาวะที่จะผลักออกไป
โมหะเป็นสภาวะที่จับจดลังเล เอายังไง
ไม่รู้จะเอายังไงดีนะ วกไปวกมา หมุนไปหมุนมา
กิเลสมีอยู่เท่านี้ ถ้าเมื่อไหร่ที่กิเลสมันย้อมจิตได้
โอกาสที่จะทำบาปอกุศลทางกายทางวาจาก็เกิดขึ้น
อย่างพวกเราเมื่อกี้ได้ยินว่าให้เราตั้งใจรักษาศีล รักษาศีล
อย่างน้อยศีลห้าต้องมีนะ
กระทั่งพระ หรือภิกษุณี แม่ชี หรือสามเณรอะไรก็ต้องมีศีลห้า
ไม่ใช่ศีล ๒๒๗ ศีลสามร้อยกว่าข้อ แล้วก็ทิ้งศีลห้า

ศีลห้านี่แหละพื้นฐานที่สุดเลย สำคัญที่สุดเลยสำหรับการปฏิบัติ
ศีลอื่นๆ ยังเป็นศีลของแถม ศีลที่เป็นตัวล้างกิเลสตรงๆ เลยนะ
ตัวศีลห้านี่ตัวสำคัญที่สุดเลย เพราะฉะนั้นเบื้องต้นเรารักษาศีลห้าไว้ก่อน
ทีนี้บางคนบอกว่ารักษายากจังเลยศีลห้า แค่ห้าข้อก็รักษาไม่ไหวแล้ว
รักษาไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราไม่รักษาใจ
ถ้าเรารักษาใจของเราได้อย่างเดียวนะ ศีลกี่ร้อยข้อก็รักษาได้
เพราะคนทำผิดศีลเพราะกิเลส กิเลสมันย้อมใจได้
ยกตัวอย่างนะ เช่นโทสะมันย้อมใจเราได้
เราก็อยากไปฆ่าเขา อยากไปตีเขา ไปด่าเขา ไปส่อเสียดเขา
ไปว่าร้ายเขาอะไรอย่างนี้ หาทางแกล้งเขา นี่เพราะโทสะมันครอบงำจิต
ถ้าราคะมันครอบงำจิตได้นะ ก็อยากไปเป็นชู้เขา อยากขโมยเขา อะไรอย่างนี้
ก็พูดจาหลอกลวงเขา ข้อ ๔ เนี่ยข้อหลอกลวง
หลอกลวงเพราะโกรธก็ได้ หลอกลวงเพราะรักก็ได้
ยิ่งหนุ่มๆ นะ มันจะมาจีบสาว อย่าไปเชื่อมันหลอก มันโกหกนะ
อย่างบอกรักคุณที่สุดในโลกเนี่ย พวกเราชาวพุทธต้องชี้หน้ามันเลย โกหก
จะมารักคนอื่นที่สุดในโลก เป็นไปไม่ได้
พระพุทธเจ้าบอกแต่ละคนรักตัวเองที่สุดในโลก

นี่คนทำผิดศีลได้นะ เพราะกิเลสมันย้อมจิต
ถ้าเรารักษาจิตไว้ได้นะ การรักษาศีลจะเป็นของง่าย
ครูบาอาจารย์ท่านเคยสอนหลวงพ่อมา
บอกว่าถ้ารักษาจิตได้อันเดียว ศีลก็เกิดขึ้นแล้ว
อะไรเป็นเครื่องมือรักษาจิต ไม่ให้เกิดกิเลสครอบงำจิต ก็คือสตินั่นเอง
เพราะฉะนั้นถ้าเรามีสติรักษาจิตไว้นะ ศีลจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ไม่ใช่เรื่องยากเห็นไหม ฝึกให้มีสติขึ้นมา
กิเลสอะไรเกิดขึ้นในใจเราคอยรู้ กิเลสอะไรเกิดขึ้นในใจ คอยรู้
กิเลสเกิดทั้งวัน เดี๋ยวก็ราคะเกิดนะ ชอบใจ อยากจะดึงอันโน้นอันนี้เข้าหาตัวเอง
เดี๋ยวโทสะเกิด อยากจะผลักอารมณ์อันโน้น อันนี้ออกไป อยากให้มันพ้นๆ ไป
เดี๋ยวโมหะเกิดนะ หลงลืมเนื้อลืมตัว ลืมกายลืมใจ ฟุ้งซ่านไปนะ ลืมตัวเอง
หรือไม่ละอายบาป ไม่เกรงกลัวผลของบาปอะไรอย่างนี้ พวกตระกูลโมหะนะ
เกิดความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย เรียกว่าเป็นพวกโมหะ
แต่ถ้าลังเลสงสัยว่าถนนข้างหน้านี่ชื่ออะไร อันนี้ไม่เรียกว่าโมหะนะ
ไม่ใช่เรียกว่าสงสัยฟุ้งซ่าน ไม่ใช่
ถ้าความลังเลสงสัยเนี่ย หมายถึงสงสัยในพระรัตนตรัย
สงสัยของอื่นน่ะมันสงสัยธรรมดา คนคนนี้ชื่ออะไร ไม่ใช่ตระกูลโมหะ

ให้เราคอยมีสติไว้ สังเกตที่ใจเรา
เดี๋ยวใจเราก็หิวอารมณ์ อยากได้
เดี๋ยวใจเราก็เกลียดอารมณ์ อยากผลักนะ
เดี๋ยวใจเราก็ลืมตัวเอง ลืมกายลืมใจ
กายเป็นยังไงก็ไม่รู้ ใจเป็นยังไงก็ไม่รู้
ลืมตัวเอง หลงลืมตัวเอง เนี่ยโมหะ
ให้คอยสังเกตจิตไปเรื่อยๆ หัดสังเกตจิตไปเรื่อยๆ
จิตเกิดราคะก็รู้ทัน จิตเกิดโทสะก็รู้ทัน จิตหลงไปก็รู้ทัน

พุทธสถาน จ.เชียงใหม่
๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๒