Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๙๐

luangporพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช

?


ถาม - ประโยชน์ของธรรมะที่มีต่อชีวิตในโลกปัจจุบันคืออะไรบ้างคะ


ทุกหนทุกแห่งนะเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเดือดร้อน การแก่งแย่งชิงดี ทะเลาะวิวาท
หาความสุขหาความสงบไม่ค่อยจะได้ในบ้านในเมือง

การที่พวกเราหันมาสนใจธรรมะ มันจะนำประโยชน์นำความสุขมาให้เรา
ไม่มีอะไรจะให้ประโยชน์ให้ความสุขกับเราได้อย่างแท้จริงเหมือนกับธรรมมะ
อย่างประโยชน์ทางโลกมันได้มาไม่นานมันก็เสียไป
ความสุขทางโลกๆ ความสุขเจือด้วยความทุกข์ สุขประเดี๋ยวประด๋าว
เราลองทบทวนชีวิตของเราดูตั้งแต่เด็กๆ มา เราก็ผ่านความสุขมาตั้งเยอะแล้ว
ในที่สุดทุกอย่างมันก็ผ่านไป วันนี้ยังทุกข์อีก
เพราะฉะนั้นความสุขอย่างโลกๆ ประโยชน์อย่างโลกๆ อะไรแบบนี้
มันก็ดีเหมือนกันแต่มันดีชั่วคราว มันอยู่ได้ชั่วคราว
ไม่เหมือนธรรมะนะ ธรรมะอยู่กับเราได้ตลอด
ยิ่งเราฝึกไปเรื่อยๆ มาเจริญสติ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา สะสมไปเรื่อย
ยิ่งสะสมได้มากเท่าไหร่ ชีวิตยิ่งมีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ
เรารู้เลยว่าอะไรคือสาระแก่นสารที่แท้จริงของชีวิต
มันสามารถมีความสุขอยู่ได้นะ ท่ามกลางความวุ่นวาย ท่ามกลางความเดือนร้อน
โลกมันก็ไม่มีวันสงบหรอก โลกมันก็วุ่นวายอยู่อย่างนี้
หาความสุขหาความสงบจริงๆ ไม่มีหรอก
แต่ในท่ามกลางความวุ่นวายนั้นนะ
จิตที่ฝึกดีแล้วมีความสุข จิตที่ฝึกดีแล้วมีความสงบ อยู่ได้
ถึงไม่รวยก็อยู่ได้นะ มีชีวิตที่มันเต็มมันอิ่มอยู่ในตัวของตัวเอง


ไม่รู้จะบอกยังไงนะว่าปฏิบัติธรรมแล้วมีความสุขขนาดไหน
ใจกับธรรมะนะมันเข้าถึงกันแล้ว มีความสุข
มีความสุขเหมือนขนาดธาตุขันธ์ร่างกายของมนุษย์นี่มันทนอยู่ไม่ได้
มันรองรับความสุขอันมหาศาลของธรรมนี่ไม่ไหว แปลก
ความสุขของธรรมะนะมันอยู่กับเรามาเรื่อยๆ ไม่เคยหาย
กี่วันกี่ปีกี่เดือนก็อยู่อย่างนั้นเองนะ
ถ้าเราภาวนาเราก็จะได้รับความสุขที่ไม่มีอะไรเหมือน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านให้เรานะ ท่านให้ประโยชน์ให้ความสุข
ประโยชน์ก็ตั้งแต่ประโยชน์เบื้องต้นในการดำรงชีวิต
ประโยชน์ในอนาคต คนที่มีธรรมะนะมีชีวิตที่มั่นคง
มีชีวิตที่มีความสุขรออยู่ข้างหน้ามากขึ้นๆ
ประโยชน์อันยิ่งคือมรรคผลนิพพาน ไม่มีอะไรเหมือน


ถาม - เคยได้ยินมาว่านิพพานไม่มีจริง แต่เป็นกุศโลบายที่จะให้คนทำความดี จริงหรือไม่ครับ

นิพพานไม่ใช่สภาวะอุดมคติที่ท่านสร้างขึ้นลอยๆ
เอาไว้หลอกให้พวกเราสนใจปฏิบัติธรรม หรือว่าทำคุณงามความดีเอามาเป็นเครื่องล่อนะ
ว่าทำไปนะแล้ววันหนึ่งจะนิพพาน นิพพานแล้วจะมีความสุขนะ

จริงๆ ท่านไม่ได้ล่ออย่างนั้นหรอก ท่านชี้ให้เห็นเลยว่าของดีนั้นมีอยู่
เพียงแต่ว่าเราจะดีพอสำหรับของดีอันนั้นหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ถ้าพวกเราศึกษาปฏิบัติธรรมไปให้สมควรแก่ธรรม วันหนึ่งเราเห็นนิพพานนะ
นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตาเรา ไม่เคยหายไปไหนเลย
กี่วันกี่เดือนกี่ปีมันก็อยู่อย่างนั้น ไม่เคยหายไปไหน
เต็มบริบูรณ์นะ เต็มอยู่ทั้งโลกธาตุ ไม่มีบกพร่องสักนิดเดียวเลย
แต่ใจที่มันบกพร่องนะ ใจที่มันไม่เต็มน่ะ
ใจที่มันดิ้นรน ไม่มีความสงบ ไม่มีสันติ
ใจชนิดนี้ไม่คู่ควรที่จะเห็นนิพพาน ก็เลยไม่เห็น
เพราะฉะนั้นเราปล่อยจิตปล่อยใจของเราไหลตามกิเลสไป
ฟุ้งซ่านไป วุ่นวายไป ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ
เราก็ไม่มีวันที่จะเข้าถึงนิพพาน ไม่มีวันที่จะเข้าถึงความสงบสันติ
ก็ไม่มีวันที่ได้รับความสุข อันเกิดจากความสงบสันติที่วิเศษยิ่งใหญ่นะ

แต่ถ้าหากเราได้พัฒนาจิตใจของเรานะ
ให้ก้าวเข้าไปสู่สภาวะซึ่งพ้นกิเลสเป็นลำดับๆ ไป
พ้นจากกิเลส มันก็พ้นความปรุงแต่ง
พ้นความปรุงแต่งแล้วก็พ้นจากความมีตัวมีตน จากความยึดถือในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
พ้นจากขันธ์ เนี่ยแล้วก็พ้นจากทุกข์
ค่อยๆ ฝึกนะ มันจะพ้นจากกิเลส พ้นจากความปรุงแต่ง
เพราะมีกิเลสมันก็มีความปรุงแต่ง
มีความปรุงแต่งมันก็มีขันธ์ขึ้นมา

มีขันธ์ขึ้นมา มันก็มีทุกข์ขึ้นมา
ถ้าพ้นจากกิเลสได้ มันก็พ้นสิ่งเหล่านี้ไปด้วย
หมดความปรุงแต่ง หมดความยึดถือในรูปธรรมนามธรรม ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
จิตใจก็ได้รับอิสรภาพ เมื่อจิตใจเป็นอิสระแล้ว
จิตใจไม่มีภาระที่ต้องแบกหามสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ใจที่หมดกิเลสนะ ก็เป็นใจที่หมดภาระ
ใจที่มีกิเลสอยู่เป็นใจที่หิว หิวตลอดเวลา มีความต้องการเกิดขึ้นตลอดเวลา
อยากโน้น อยากนี้ อยากโน้น อยากนี้ตลอด
พอความอยากเกิดขึ้น ใจก็เกิดความดิ้นรน
ใจที่เกิดความดิ้นรนก็ไม่สงบสุขนะ หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้
เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่เห็นนิพพาน
ถ้าใจเราพ้นจากกิเลสเมื่อไร ใจก็พ้นจากการดิ้นรนปรุงแต่ง
ใจก็เข้าถึงนิพพาน เพราะนิพพานเป็นสภาวะที่สิ้นกิเลส
นิพพานเป็นสภาวะที่สิ้นตัณหา ชื่อว่า "วิราคะ"
นิพพานเป็นสภาวะที่สิ้นความปรุงแต่ง ชื่อว่า "วิสังขาร"
นิพพานเป็นสภาวะที่สิ้นขันธ์ เพราะหลุดพ้นจากขันธ์
ไม่ยึดถือในรูปในนาม เป็น"วิมุติ" ความหลุดพ้น
เพราะฉะนั้นพวกเราต้องมาค่อยๆ มาศึกษาธรรมะนะ
เพื่อจะล้างกิเลสออกจากใจเราให้ได้
ล้างได้มากเท่าไร มีความสุขเท่านั้น

บางคนบอกว่าพระพุทธศาสนาเนี่ยเป็นศาสนามองโลกแง่ร้าย
เอะอะก็สอนให้เริ่มต้นด้วยความทุกข์ ทุกข์โน่น ทุกข์นี่ ทุกข์ตลอดเวลา
นี่ฟังแล้วหดหู่ใจ บางคนบอกว่าไม่ดีเลย
ความจริงท่านสอนของจริง จริงๆ ชีวิตมันทุกข์
คนมองไม่เห็นนะ มันก็คิดว่าชีวิตเป็นสุข หลงระเริงไป
ทีนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแค่ว่ามีทุกข์อย่างเดียว ท่านสอนทางพ้นทุกข์ด้วย
เพราะฉะนั้นคำสอนของท่านจะครอบคลุมในเรื่องทุกข์กับความพ้นทุกข์
เพราะฉะนั้นไม่ใช่มองโลกแง่ร้าย ถ้าบอกว่าชีวิตนี้ทุกข์แบบไม่มีทางออก
นี่แหละศาสนาพุทธมองโลกแง่ร้าย นี่ท่านไม่ได้สอนแค่นั้น
ท่านสอนทุกข์และวิธีที่จะพ้นทุกข์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่มองโลกแง่ร้าย
ท่านให้เรายอมรับความจริง มีปัญหา มีความทุกข์อยู่จริงๆ
แล้วก็สอนวิธีที่เราจะพ้นจากความทุกข์นี้ด้วย
เนี่ยพ้นทุกข์ให้ได้นะ มันก็พ้น
ค่อยฝึกจิตฝึกใจไป จนมันพ้นกิเลสเมื่อไหร่ มันก็พ้นทุกข์เมื่อนั้นแหละ

พุทธสถาน จ.เชียงใหม่
๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๒