Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๘๕

ถาม - รู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยมีความสุขเลยค่ะ แต่ถ้าหมั่นเจริญสติก็จะยอมรับได้และทุกข์น้อยลงใช่ไหมคะ

luangpor
อะไรเกิดขึ้นในชีวิตเราเมื่อไร เราไม่รู้หรอก
อย่างความตายจะมาถึงเมื่อไรเราไม่รู้
เราไม่ตายคนใกล้ตัวเราอาจจะตายก็ได้
เพราะฉะนั้นเนี่ยชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เศรษฐกิจก็ไม่แน่นอนนะ
ทางด้านสังคมก็มีโรคระบาดมีอะไรแบบนี้อีก มันมีความไม่แน่นอน
การเมืองก็กระเพื่อมไหว ทุกอย่างมีแต่ความไม่แน่นอน
บนความไม่แน่นอน สิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือธรรมมะ
ธรรมมะจะช่วยให้จิตใจของเราให้มั่นคง
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ใจเราก็ยังอยู่ของเราได้
ไม่กระเพื่อมขึ้น กระเพื่อมลง
คนซึ่งมีความทุกข์เนี่ย เพราะว่าใจไม่มีปัญญา
ความทุกข์มันมาได้เพราะใจเรายอมรับสภาวะที่กำลังปรากฏต่อหน้าต่อตาไม่ได้
เช่น เราจะต้องเจ็บป่วยเรายอมรับไม่ได้ ความทุกข์ทางใจมันก็เกิดขึ้น
เราจะต้องแก่ ยอมรับไม่ได้ ว่าจะต้องแก่ ความทุกข์ทางจิตใจก็เกิดขึ้น
จะต้องตายยอมรับไม่ได้ก็ทุกข์อีก จะต้องพลัดพรากจากคนที่รัก
จะต้องเจอสิ่งที่ไม่รัก อะไรแบบนี้แหละ จะต้องผิดหวังในชีวิตบ้าง
ถ้าเรายอมรับความจริงได้ว่า ชีวิตมันเป็นอย่างนี้แหละ
ทุกอย่างผ่านมาแล้วผ่านไป ผ่านมาแล้วผ่านไปตลอดเวลา
ยอมรับความจริงตรงนี้ได้จะไม่ทุกข์ ที่ใจมันทุกข์เพราะมันไม่ยอมรับความจริง
อยากฝืนความจริง เช่น อยากมีความสุขถาวร อยากสงบถาวร อยากดีถาวร
อะไรดีๆ อยากจะให้ถาวร อะไรไม่ดีก็ไม่อยากให้มีถาวร
อยากถาวรเหมือนกันแต่ถาวรในเชิงลบคือไม่มี
อยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่พลัดพราก ไม่ทุกข์
เรามาหัดภาวนาเนี่ย ไม่ใช่เพื่อว่าเราจะไม่ต้องเจอความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ความพลัดพราก ความไม่สมหวัง แต่เราภาวนา เพื่อให้เห็นความจริงนะ
ความจริงในโลกนี้มันบกพร่องอยู่ตลอดเวลา มันไม่สมอยากหรอก
มีแต่ความไม่สมอยากเกิดขึ้นตลอดเวลา
อยากอย่างนี้มันไม่ได้ อยากอย่างนี้ไม่ได้ มันได้แป๊ปเดียว?
เดี๋ยวก็หายไปอยากอย่างอื่นอีกละ
ในโลกนี้บกพร่องอยู่ตลอดเวลานะ ไม่เคยเต็ม ไม่เคยอิ่ม

ถาม - บางวันทำงานหนักและเหนื่อยมาก จนขี้เกียจปฏิบัติในรูปแบบครับ ถ้าจะขอเว้นไปบ้างแต่ยังตามรู้ในชีวิตประจำอยู่ แบบนี้ได้ไหมครับ

ถ้าขี้เกียจแล้วไม่ได้กินหรอก แต่ถ้าเราต้องการแค่อยู่บนโลกอย่างมีความสุขนะ
แค่ใจเราตื่นขึ้นมา แล้วก็คอยดูกายดูใจไป
กิเลสผ่านมาแรงๆ แล้วก็รู้สึกเอา อะไรเงี้ย เป็นครั้งเป็นคราว
แบบนี้เราก็อยู่บนโลกอย่างมีความสุขได้
ถ้าอยากพ้นโลกก็ต้องจริงจังมากกว่านั้นหน่อย
ต้องมีระเบียบมีวินัย ในการปฏิบัติ
ทุกวันต้องปฏิบัติให้ได้ แบ่งเวลาเอาไว้เลย
ทุกวันต้องไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม ไหว้พระสวดมนต์ ทำในรูปแบบ
ทำในรูปแบบก็คือหัดเจริญสติในรูปแบบนะ
เราจะมาเจริญสติในชีวิตประจำวันอย่างเดียวเนี่ย
ส่วนมากสมาธิมันจะไม่พอ จิตจะไม่มีกำลัง
เรามาทำในรูปแบบ เช่น เดินจงกรมไป
เห็นร่างกายมันเดิน ใจเป็นคนดูไปเรื่อยๆ นะ
ตัวรู้ตัวดูเราจะเด่นขึ้นมา มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมา
ทีนี้ก็มาเจริญสติในชีวิตประจำวัน ได้ทั้งวันเลย
ทุกวันก็ซ้อมในรูปแบบนะ ใจของเราก็จะเป็นผู้รู้ผู้ดู ตั้งมั่นขึ้นมา

ต้องอดทนมาก กว่าจะข้ามภพข้ามชาติได้คนหนึ่ง คนหนึ่ง
ไม่มีลูกฟลุคนะ ไม่มีของฟรี ไม่มีของฟลุค มีแต่ต้องลงทุนลงแรง
ทุกสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด ใครทำใครได้ ใครไม่ทำไม่ได้ ทำแค่ไหนก็ได้แค่นั้น
ถ้าแค่เจริญสติดูจิตในชีวิตประจำวันไปวันหนึ่ง วันหนึ่งนะ
ถึงเวลาก็ไปคลุกอยู่กับโลก เราก็อยู่กับโลกได้อย่างมีความสุขมากกว่าคนทั่วๆ ไป
ถ้าอยากได้มรรคผลนิพพานในชีวิตนี้ ต้องเข้มงวดมากกว่านั้น
ศีลต้องเคร่งครัด ศีลขาดไม่ได้ ถ้าศีลขาดแล้วจิตจะฟุ้งซ่าน
ศีลน่ะถ้ารักษาไว้ได้จิตใจจะสงบง่าย ศีลจำเป็นมาก
ใครอยากไปนิพพานไม่ถือศีลไม่ได้ ไปไม่รอดหรอก มีศีลเอาไว้
พอมีศีลก็ฝึกของเราทุกวัน ถึงเวลาไหว้พระสวดมนต์ ทำสมาธิ เดินจงกรมนะ
รู้สึกกาย รู้สึกใจไป บางครั้งจิตก็สงบ บางครั้งจิตก็เดินปัญญา
ขณะที่ทำตามรูปแบบ อย่างเราเดินจงกรมอยู่เนี่ย
เดินไป เดินไป จนจิตมันเหนื่อย จิตมันเหนื่อยมันจะรวม
จิตมันรวม บางทีขามันหยุดเดิน ยืนนิ่งๆ ใจสว่าง รู้เนื้อรู้ตัว
บางทีร่างกายก็หายไป เหลือแต่จิตอันเดียวสว่างอยู่
ไม่ใช่ภาวนาวูบ หมดความรู้สึกไปสามชั่วโมง
แล้วว่าปฏิบัติดี อันนั้นขาดสติใช้ไม่ได้เลย

อย่างเราเดินจงกรมไปนะ ตอนที่ร่างกายมันเหนื่อยมากๆ หรือจิตมันเหนื่อยมากๆ
บางทีมันเดินๆไปจิตรวมลงมาเป็นสมาธิ พักผ่อน
พอจิตมีเรี่ยวมีแรงแล้วนะ ก็ขึ้นมา รู้กาย รู้ใจต่อไป
พอซ้อมอยู่ในการปฏิบัติ ในรูปแบบ ทุกวันๆ
เวลาเรามาฝึกจริงในชีวิตประจำวัน สติอัตโนมัติจะเกิดง่าย จะเกิดได้บ่อย
ถี่ ถี่ยิบเลยแทบไม่ขาดเลย วับ วับ รู้สึกตลอดเลย
หรืออย่างเวลาเราไปนั่งสมาธิ บางคนชอบดูจิต นั่งสมาธิแล้วดูจิต
บางคนสงสัยว่าถ้าดูจิตแล้วจะเกิดสมาธิได้มั้ย เกิดได้แน่นอนเลย
คราวหนึ่งหลวงพ่อเคยไปหาหลวงปู่ดูลย์ ท่านก็พูดเรื่องดูจิตแล้วมันมีสมาธิ
หลวงพ่อก็พูดกับท่านนะ เอ๊ะ หลวงปู่ ช่วงนั้นผมไม่ได้ฝึกเข้าสมาธินะ
ทำไมหลวงปู่บอกจิตผมเข้าสมาธิ
ท่านบอกว่าเวลาเราดูจิตมันได้สมาธิโดยอัตโนมัติ
จิตเป็นตัวอรูป จิตเป็นตัวอรูปนะ ถ้าเวลาที่เรามีสติพอ มีใจที่เป็นผู้รู้ผู้ดูเนี่ย
เราเห็นจิตเกิดดับ เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง ตรงนี้เราทำวิปัสสนา
แต่ถ้าเมื่อไหร่มันหมดแรงเนี่ยนะ แล้วมันจะจับความเข้าในว่างๆ ความสว่าง
อันนี้เป็นการเพ่งความว่างๆ อันนี้เรียกว่าอากาสานัญจายตนะ อันนี้เป็นสมถะ
หรือว่ามาเพ่งมาจับที่ตัวผู้รู้ จับตัวผู้รู้ เห็นตัวผู้รู้ซ้อนตัวผู้รู้
จับอยู่ที่รู้ไปเรื่อยๆ เรียกว่าวิญญาณัญจายตนะ ก็เป็นสมถะ
ดูไปดูไปไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรเลย ไม่มีอะไรซักอย่าง ว่าง ไปหมดเลย
จับอยู่ในว่าง ความไม่มีอะไรเลย เรียกว่าอากิญจัญญายตนะ
เพราะฉะนั้นดูจิตดูใจนะ จิตมันจะพลิกไปพลิกมาตลอดเวลา?
มันไม่ได้เจริญวิปัสสนารวดนะ

เวลาทำสมถะ ทำสมถะรวดเดียวได้
ทำวิปัสสนารวดเดียวไม่มีจริงหรอก
ถึงเรารู้กายอยู่นะ บางทีจิตก็รวมมาเป็นสมถะ
บางทีดูจิตอยู่ จิตก็รวมเข้ามาเป็นสมถะ
จะพลิกไปพลิกมา ระหว่างสมถะกับวิปัสสนา
ถ้ารู้ไม่ทันนะ ก็เสียท่าเหมือนกัน
บางคนไม่รู้จิตเกิดนิมิตขึ้นมาเพราะตอนนั้นพลิกเป็นสมถะ
เกิดนิมิตขึ้นมาแล้วไปคิดว่าบรรลุมรรคผล ไปเข้าใจผิด
เพราะในความเป็นจริง จิตจะพลิกไปพลิกมา
พลิกไปพลิกมา ระหว่างสมถะ กับวิปัสสนา
มันเป็นสมถะมันก็ได้พักผ่อน
พักผ่อนแล้วมันเกิดติดอกติดใจ ในความสุขความสงบ แล้วเรามีสติรู้ทันนะ
จิตก็หลุดออกจาการติดในความว่างอันนั้น
หลุดออกมา อย่าเอาว่างนะ อย่าเอาความว่าง
ความสว่าง ความสงบ อะไรพวกนั้น พวกนั้นเป็นแค่สมถะ
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเอาความสุข ความสงบ
ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องต่อสู้เรียนรู้เอาความจริงของชีวิต
เรียนรู้ เอาความจริงของกายของใจ ให้เห็นทุกข์ให้แจ้ง
ถ้าเห็นทุกข์แล้วจิตถึงจะวางกายวางใจนะ
พอพ้นทุกข์ไป คนละขั้นคนละตอนกัน
อย่ารีบร้อน ค่อยๆ ฝึกเอานะ ไม่ยากหรอก