Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๘๒

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช

?

?

ถาม: ผมอาศัยอยู่ที่ต่างจังหวัด ไม่สะดวกมาหาหลวงพ่อบ่อยๆ
จะทำให้เรียนธรรมะได้ช้ากว่าคนอื่นๆ ไหมครับ

ธรรมะไม่ได้อยู่ที่นี่นะ ธรรมะไม่ได้อยู่กับหลวงพ่อ
จริงๆธรรมะอยู่ในที่ทุกที่แหละ ที่ไหนมีกายมีใจอยู่ก็มีธรรมะอยู่
เพราะธรรมะก็คือกายกับใจเรานี่เอง
กายก็เรียกว่ารูปธรรม ใจก็เรียกว่านามธรรม เป็นธรรมะ
เพราะฉะนั้น เรียนธรรมะ ไม่ต้องเรียนที่อื่นหรอก ให้เรียนที่กายที่ใจของตัวเอง
มีสติรู้กายรู้ใจไปเรื่อยๆ? อย่าลืมมัน ไม่มีอะไรมาก ง่าย
เรียนจากครูบาอาจารย์มากี่องค์กี่องค์ก็สอนเหมือนกันแหละ
ต้องมีสติรู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน
แต่ละองค์อาจจะสำนวนโวหารแตกต่างกัน แต่เนื้อหาอันเดียวกันหมด

เราคอยรู้สึกนะ รู้สึกตัวไว้เรื่อยๆ แล้วขยันดู
ไม่ใช่นานๆรู้สึกทีนึง อะไรอย่างนี้
นานๆรู้สึกทีนึง เวลาส่วนใหญ่ก็หลงผิดไป
บางคนสงสัยว่า เอ๊ะ ภาวนานานแล้วไม่ได้ผลซักที
คือเราสะสมทั้งความรู้ถูก ความเข้าใจถูก
และก็สะสมความเข้าใจผิดไปด้วยพร้อมๆกัน สลับกันไป
แต่ถามตรงๆ ที่คนไหนอยากบรรลุเร็วๆ หลวงพ่อถามตรงๆ

วันหนึ่งๆ จิตเป็นอกุศล หรือจิตเป็นกุศลมากกว่ากัน?
จิตรู้สึกตัวหรือจิตหลงมากกว่ากัน?

หลงใช่ไหม? หลงไปห้านาทีแล้วรู้สึกแวบนึง นึกออกไหม
หลงไปหนึ่งนาทีรู้สึกแวบนึง นี่เก่งมากแล้วนะ
หลงไปสิบวินาทีรู้สึกแวบนึง นี่ เทียบสัดส่วนกันสิ เทียบกันไม่ติดหรอก
ยังดีว่าธรรมะ มันไม่ใช่ต้องรู้ตัวหนึ่งนาทีแล้วไปล้างความไม่รู้ตัวหนึ่งนาที
มันไม่ใช่ขนาดนั้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมานะ เราสะสมแต่ความรู้ผิด ความเข้าใจผิด
ตั้งแต่เกิดมาเราก็รู้สึกตลอดใช่ไหม มีตัวเรา ในนี้มีเราอยู่คนหนึ่ง
ร่างกายนี้ยังหน้าตาเปลี่ยนไปเรื่อยๆนะ
ตอนเด็กๆก็หน้าตาอย่างหนึ่ง โตขึ้นมาก็หน้าตาอย่างหนึ่ง
แต่ในนี้มีเราอยู่คนหนึ่งซึ่งไม่เคยเปลี่ยนเลย
รู้สึกในนี้ ในใจเรานี่เอง เป็นตัวเรา
ไม่ว่าทำอะไรตลอดมาก็ทำเพื่อสนองความมีตัวเราตลอด
เพื่อย้ำกับตัวเองว่า ฉันยังอยู่ ฉันยังอยู่
ไม่ว่าทำอะไรนะ ลองไปสังเกตดู
มันเพื่อย้ำตัวเองทั้งนั้นว่าฉันยังอยู่นะ ฉันยังอยู่ในโลก
อย่างบางคนนะ ต้องการให้มีเพื่อนฝูงยอมรับ
ทำไมต้องการมีเพื่อนฝูงยอมรับ เพื่อจะได้ประกาศยืนยันว่าฉันยังอยู่นะ
ฉันยังมีตัวมีตนอยู่ในโลกจริงๆ
ทำไมฉันต้องใช้กระเป๋าหลุยส์วิตตอง
เพื่อฉันยังอยู่ ฉันยังมีอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าทำอะไรนะ
เบื้องหลัง เพื่อจะประกาศ เพื่อจะยืนยัน เพื่อจะย้ำกับตัวเองว่าฉันยังอยู่

เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรเลยรักมากกว่าตัวเอง
รักตัวเองที่สุดเลย หวงแหนตัวเองที่สุดเลย
ตลอดเวลาก็สะสมมาแต่สิ่งเหล่านี้

ต่อเมื่อมาหัดเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
มามีสติ รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
เพิ่งจะเห็นบ้างว่ากายไม่ใช่ตัวเรา
เวทนาคือความรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ ไม่ใช่เรา
สัญญาคือความจำได้ ความหมายรู้ ไม่ใช่ตัวเรา
สังขารคือความปรุงดีปรุงชั่วทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวเรา
นี่ต้องมีสตินะ มีใจตั้งมั่นขึ้นมา แล้วก็เห็น
แต่ยังไม่เห็นว่าจิตไม่ใช่ตัวเรา
รู้สึกไหม เห็นสิ่งโน้นสิ่งนี้ไม่ใช่ตัวเรา เหลืออันหนึ่ง เหลือจิตเป็นตัวเราอยู่
กระทั่งการภาวนา บางคนทุ่มเทการภาวนาแทบเป็นแทบตายนะ
เบื้องลึกลงไป ก็คือเพื่อรักษาความเป็นตัวเราไว้อีก
ภาวนาเราต้องทุ่มเท สู้ตายนะ เพื่อวันหนึ่ง "เรา" จะได้ดี นี่ภาวนาเอาดีนะ
ภาวนาถ้าชุ่ยกว่านั้น ภาวนาเอาชื่อเสียง
ภาวนาให้คนเขายอมรับว่าเราเป็นนักภาวนา
ให้สังคมยอมรับเพื่อประกาศอัตตาให้เราเป็นนักภาวนา
บางคนก็ภาวนาหาลาภสักการะ มีทรัพย์สมบัติมาก
มีเยอะนะภาวนา มีทรัพย์สมบัติมาก มีของมากก็เพื่อประกาศอัตตา
เป็นพระนี่ต้องขี่เบนซ์นะถึงจะดัง ถ้าไม่เบนซ์นะ ไม่ดังพอ
สู้หลวงพ่อไม่ได้ ไปรถตู้ ไม่ต้อง เฝ้ารถ ไม่ต้องล้างรถเอง จ้างเขาไป
นี่ ไม่ว่าเราทำอะไรนะ เราถือศีล ถือศีลก็ภูมิใจว่าฉันเป็นคนมีศีลนะ แกไม่มีศีล
มีฉันมีแกขึ้นมาอีกแล้ว มันประกาศอัตตา
ไม่ว่าทำอะไร กระทั่งทำความดี ภาวนานี่ ฉันนั่งโต้รุ่ง คนโน้นนั่งไม่ได้ สู้ฉันไม่ได้
ฉันอดข้าวได้ทีหนึ่งตั้งเจ็ดวัน ฉันเก่งกว่า
หรือฉันเดินจงกรมได้ทน เดินได้จนเท้าแตก ภูมิใจ
ถ้าทำความเพียรจนเท้าแตกอันนั้นดีนะ
แต่ถ้าทำสนองอัตตาจนเท้าแตก อันนั้นน่ะ กิเลสยิ่งหนา
เพราะฉะนั้น กระทั่งภาวนาก็อดจะเพื่อ serve (สนอง) อัตตาไม่ได้

ยากมากนะที่เราจะภาวนาจนทะลุลงมาแล้วยอมรับความจริงได้
ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา
ตัวเราไม่มี
พวกเราบางคนมาหัดภาวนาเริ่มเห็นความจริงแล้วว่าตัวเราไม่มี
คนที่มาเรียนกับหลวงพ่อตอนนี้เห็นว่าตัวเราไม่มีนี่ เยอะแล้ว แต่ยังยอมรับไม่ได้
พอรู้สึกว่าตัวเราหายไปนะ บางคนกลัวเลย
บางคนรู้สึกเวิ้งว้าง รู้สึกโหวงๆ ตายแล้ว
ชีวิตนี้ไม่มีที่พึ่งที่อาศัยแล้ว ตัวเราหายไปแล้ว
บางคนเบื่อ เบื่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลก น่าเบื่อ
ตัวเราหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
แต่พอตัวตนเกิดขึ้นแล้วภูมิใจ ดีใจ ตัวตนมาแล้ว
เพราะฉะนั้น ภาวนานะบางคนจะเห็นเลย
ในความเป็นจริงแล้วขันธ์ ๕ คือกายนี้ใจนี้ ไม่ใช่ตัวตนหรอก
ความเป็นตัวเป็นตนมันผุดขึ้นมาเป็นคราวๆ มันปรุงขึ้นมาเป็นคราวๆ
มันคิดขึ้นมาเป็นคราวๆ
พอเห็นมันถ้ามีสติรู้ทันมันก็จะสลายตัวไป ว่างเปล่าจากความเป็นตัวเป็นตน

นี่ ภาวนาไปจนวันหนึ่ง ใจยอมรับนะ
ไม่มีตัวตน ก็ไม่กลุ้มใจ ไม่เบื่อหน่าย ไม่ทุกข์ร้อน
เห็นจริงๆ เออจริงๆกายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเราหรอก
ถ้าเห็นอย่างนี้มากเข้าๆนะ วันหนึ่งปัญญามันแจ้ง ยอมรับความจริง
ไม่ใช่ยอมรับด้วยเหตุด้วยผลนะ แต่ยอมรับด้วยใจ
ตรงที่ยอมรับความจริงด้วยใจเรียกว่ามีดวงตาเห็นธรรม
ยอมรับธรรมะแล้ว ตัวเราจริงๆไม่มีหรอก
พอตัวเราไม่มีแล้วใครมันทุกข์ มีความทุกข์ไหม มี
ใครมันทุกข์? กายมันทุกข์ ใจมันทุกข์ ไม่ใช่เราทุกข์นะ
กายมันทุกข์ ใจมันทุกข์ แต่ไม่ใช่เราทุกข์
หรือขันธ์มันทุกข์ ไม่ใช่เราทุกข์ มีความทุกข์แต่ไม่มีผู้ทุกข์นะ
นี่พวกเป็นพระโสดาบันจะรู้สึก มีความทุกข์แต่ไม่มีผู้ทุกข์
ส่วนพวกที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ มีความทุกข์แล้วก็มีเราผู้เป็นทุกข์ด้วย
ความทุกข์อยู่ที่กาย ก็ร่างกายของเราเป็นทุกข์
ใจเราเป็นทุกข์ ตัวเราเป็นทุกข์ รู้สึกอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ภาวนาต้องใจเย็นๆนะ
กว่าใจจะยอมรับความจริง
มันยอมรับได้ยาก
ที่ยอมรับยากเพราะเห็นน้อยไป
เห็นความจริงน้อยไป
ต้องเห็นนานๆ
เห็นบ่อยๆ เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าตัวเราไม่มี ตัวเราไม่มี
ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดปรุงแต่งขึ้นมาเป็นคราวๆ
เมื่อไรขาดสติก็หลงว่ามีตัวเรา มีตัวเรา
นี่วันๆนึงขาดสติเยอะ ขาดสติเยอะ รู้สึกตัวน้อย
เพราะฉะนั้น ทั้งวันนะ ส่วนใหญ่ก็คือมีแต่ตัวตนทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้น ต้องอดทน อย่าใจร้อน
ไม่ใช่ภาวนา ดูปุ๊บๆปั๊บๆแล้วก็ยอมรับความจริง
จิตยอมรับแล้วว่าตัวเราไม่มี มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก

มีเหมือนกันบางคนภาวนาเร็ว ใช้เวลาไม่กี่เดือน ภาวนาเร็ว
อันนั้นเขาเคยลำบากมามากแล้ว เขาเคยภาวนามามากแล้ว
ชีวิตนี้เกิดมาเลยภาวนาได้เร็ว ภาวนาได้ง่าย
พวกเราอยากรู้ไหม เราเคยภาวนามาก่อนไหม ชาตินี้จะง่ายหรือจะยาก
สังเกตดูนึกถึงตอนเด็กๆ คนไหนที่รู้สึกตัวเป็นแล้วนี่
เคยรู้สึกไหมว่า ความรู้สึกแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ถ้าเรารู้สึกตัวตื่น ใจเราตื่นขึ้นมาปิ๊ง อันนี้เคยเป็นมาแล้วแต่ลืมไปนานนักหนา
นี่พวกนี้ต่อง่ายเลย คนไหนไม่เป็นอย่าท้อใจนะ
บางคนยังรู้ตัวไม่เป็นนะ บางทีตอนเด็กๆมีอะไรให้ตกใจ
หรือมีอะไรให้กลัวอย่างแรงๆ
สติมันไประลึกเห็นความกลัวเข้า เห็นความตกใจเข้า
ความกลัวความตกใจมันขาดสะบั้นลงไป
ใจรู้ตื่นเบิกบานขึ้นแวบหนึ่ง
พวกที่เป็นอย่างนี้คือพวกที่เคยทำมาโชกโชนแล้ว ชีวิตนี้ง่าย
ถ้ายังไม่เป็นต้องทนนะ ชาตินี้ยาก ชาติหน้าก็ง่าย
ถ้าชาตินี้ไม่ทำ ชาติหน้าก็ทำไม่เป็นอีกนั่นแหละ
บางคนนะชุ่ยมากเลย หลวงปู่ดูลย์ท่านเคย...
จะใช้คำว่าด่าก็ไม่เชิงนะเพราะท่านไม่ด่าใครหรอก
ท่านพูดความจริง ความจริงมันกระเทือนใจ
ท่านบอกไอ้คนซึ่งมันไม่ยอมภาวนานะ พวกไม่เอาไหน
ยังหวังนะว่าจะทำบุญทำทานแล้วก็ต่อไปได้
ไปเจอพระศรีอาริย์แล้วก็ปิ๊งง่ายๆ บรรลุง่ายๆไปเจอพระศรีอาริย์
ท่านบอกว่านิสัยชาตินี้ก็เหลวไหลไร้สาระ
กว่าจะเจอพระศรีอาริย์นะ สะสมความเหลวไหลไร้สาระมากกว่านี้อีก
ไม่มีวันปิ๊งหรอก มีแต่ถูกเขาปิ้งไปเรื่อยๆนะ ชาติแล้วชาติเล่า
เพราะฉะนั้น ต้องยอมนะ ต้องใจกล้าหาญ อดทน ดูกายดูใจของเราเรื่อยๆไป
จะบรรลุมันก็บรรลุแหละ ถ้าไม่บรรลุก็สะสมแต้มไป

มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่งเคยเจอท่าน
ท่านไม่สบายไปอยู่โรงพยาบาลก็ไปเยี่ยมท่าน
องค์นี้ไปเจอท่านทีแรกนะ ท่านไปอยู่กับหลวงพ่อพุธ ไปเยี่ยมหลวงพ่อพุธ
หลวงพ่อพุธก็แนะนำ เออ โยมนี้ลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์
บอกท่านว่าหลวงพ่อเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ดูลย์
แล้วก็บอกครูบาอาจารย์องค์นั้นบอกหลวงพ่อว่า
องค์ท่านก็ลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์เหมือนกัน
เราก็จำไว้ว่า โอ้ องค์นี้เป็นครูบาอาจารย์รุ่นผู้ใหญ่
ตอนท่านไม่สบายอยู่โรงพยาบาล ไปเยี่ยมท่านก็สนทนาธรรมกับท่านนะ
ก็เล่าเรื่องการปฏิบัติ ท่านน้ำตาคลอเลย
ท่านบอกท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นด้วยซ้ำไป แต่เป็นลูกศิษย์รุ่นเล็กของหลวงปู่มั่น
ท่านบอกท่านกลัวหลวงปู่มั่นมากเลยตอนที่อยู่ด้วย
ตอนถึงเวลากวาดวัดนี่ แต่ละวันท่านจะคอยดูว่าหลวงปู่มั่นจะกวาดไปทางไหน
ท่านจะกวาดไปทางอื่น อยู่กับครูบาอาจารย์นะ
แต่กลัวไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่กล้าไปเรียนด้วยหรอก

ทีนี้วันหนึ่ง ท่านเห็นหลวงปู่มั่นกวาดไปทางโน้น
ท่านก็สบายใจกวาดมาทางนี้ ซักพักนะ ได้ยินเสียงไม้กวาดตามหลังมา
หันไปดู โอ๊ย หลวงปู่มั่นมา ท่านรีบกวาดใหญ่ หลวงปู่มั่นก็รีบกวาดตามมา
สุดท้ายนะ ท่านแบบสุดขีดเลยนะ ปั๊บๆๆๆ หนีใหญ่
หลวงปู่มั่นนะ เดินสามก้าวกวาดทีนึง
คราวนี้ ในที่สุดก็มาทัน หลวงปู่มั่นท่านก็สอน "พระน้อย"
ท่านไม่ได้ชื่อน้อยนะ พระน้อยหมายถึงพระเด็กๆ พระหนุ่มๆ

"พระน้อย กวาดตาดก็ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆกวาดไปนะ
เหมือนการภาวนาต้องใจเย็นๆ
ค่อยๆทำไป
มันเป็นงานที่ประณีต
ไม่ใช่รีบๆร้อนๆทำแล้วมันจะได้ผลดี"

ท่านสอนอย่างนี้ ท่านก็เล่าให้ฟังนะว่า รุ่นเดียวกัน
พระที่เคยอยู่กับหลวงปู่มั่นด้วยกัน ก็พ้นทุกข์พ้นร้อนไปหมดเลย
เหลือท่านองค์เดียว ไม่ได้อะไรเลย ท่านบอกอย่างนี้
แต่ท่านสู้นะ ท่านสู้ บอกอีกร้อยชาติท่านก็ไม่ถอย
โอ้
เราฟังแล้วรู้สึกนับถือท่านจริงเลย นี่ใจของนักปฏิบัตินะ
ไม่ใช่ "ภาวนามาตั้งสามเดือนแล้วยังไม่บรรลุเลย ฮ้า ชาตินี้ไม่มีบุญ เลิกดีกว่า"
นี่พวกโหลยโท่ย ชาติหน้ามันก็ยิ่งเหลวไหลยิ่งกว่านี้อีกเพราะใจเสาะ
ต้องเอาอย่างครูบาอาจารย์ที่เล่าให้ฟังนะ ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่อาวุโสมากแล้ว
บอกอีกร้อยชาติก็จะทำ ถ้าไม่จบนะ จะทำไปเรื่อยๆ ไม่เลิกหรอก สู้ตาย
เวลาเราภาวนาเราก็ต้องสู้อย่างนั้น คนที่เขาทำได้ง่ายเพราะเขาเคยยากมาแล้ว

ในคัมภีร์ก็มีเรื่องพระพาหิยะ
พระพาหิยะ ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อน
พระพุทธเจ้าก่อนพระโคดมองค์นี้ชื่อพระกัสสปะ
ไม่ใช่มหากัสสปะนะ มหากัสสปะเป็นสาวกผู้ใหญ่ของพระพุทธเจ้าองค์นี้
พระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนชื่อพระกัสสปะ
พระกัสสปะตั้งศาสนาไว้แล้วก็นาน ผ่านไปนาน ท่านก็นิพพานไปนาน
ศาสนาก็ค่อยๆเสื่อมสลายลงไป จนกระทั่งคนภาวนาแทบไม่เป็นแล้ว
ก็มีพระเพื่อนกัน ๗ องค์ ก็ตัดสินใจเด็ดขาดนะ เราอยู่วัดภาวนาอย่างนี้ เอาดีไม่ได้
พากันออกป่ากันไป ขึ้นภูเขาไปเลย
ภูเขานี้ชันนะ แบบหน้าผาชันๆ ไม่มีทางขึ้นทางลง
ท่านอุตส่าห์ทำบันไดขึ้นไป พอขึ้นถึงยอดเขานะ ถีบบันไดทิ้งเลย
แล้วตัดสินใจแล้ว สละชีวิตเพื่อธรรมะ ถ้าได้ก็รอดไป
ถ้าได้คงมีอภิญญาเหาะลงมาได้ ถ้าไม่ได้ก็คืออดตาย
คนเราจะใช้เวลาอดตายซักกี่วัน ไม่นานหรอก ไม่นานนักหนา
บนภูเขาคงไม่ค่อยมีน้ำไม่มีอะไร ภูเขาเกลี้ยงๆ ขึ้นไปอยู่บนเขาภาวนา
วันที่หนึ่งนะ ก็มีองค์นึงเป็นพระอรหันต์
รุ่งเช้าท่านก็ไปบิณฑบาตมา แล้วก็เรียกเพื่อนมาฉันด้วยกันอีก ๖ องค์
แต่ละคนไม่ยอม ถ้าไม่มีปัญญาไปหาอาหารด้วยตัวเองก็ไม่ฉัน สู้ตาย
สุดท้ายก็มีพวกหนึ่งรอดไป พวกหนึ่งได้พระอนาคามี มีบางองค์ไม่ได้อะไรเลย
พระพาหิยะก็เป็นองค์หนึ่งที่ไม่ได้อะไรเลย ตายอยู่บนภูเขานั้น

มาในชีวิตนี้ ในสมัยพระโคดมนี้
ท่านเกิดเป็นพ่อค้า ไปค้าขายแล้วเรือสำเภาแตก ผ้าผ่อนหลุดลุ่ยหมดเลย
แขกนุ่งผ้ารุงรังใช่ไหม พอลงน้ำต้องถอดทิ้งสิ ไม่งั้นพันแข้งพันขาจมน้ำตาย
เสร็จแล้วท่านก็ไปขึ้นบกได้ ขึ้นบกผ้าผ่อนไม่มีนะ ไม่มีจะนุ่ง
ชาวบ้านมาเห็นเข้า โอ้ พระอรหันต์! นี่ แก้ผ้าก็เป็นพระอรหันต์แล้วนะ
ยุคนี้ก็พอๆกันแหละ เราเห็นใครทำอะไรบ้าๆบอๆเราก็ว่าพระอรหันต์ไว้ก่อน
นิสัยคนมันอ่อนแอนะ มันเชื่อง่าย
เอะอะอะไรเห็นอะไรแปลกๆก็ว่าพระอรหันต์ไว้ก่อน
ถึงวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นนะ ใครทำอะไรประหลาดๆขึ้นมาก็ว่าพระอรหันต์แล้ว
นี่พระอรหันต์ ท่านก็นึก ไม่ใช่แล้วนะ เรามันพ่อค้า พระอรหันต์ที่ไหน
ประเดี๋ยวชาวบ้านมาอีกคนนึง มาเห็นอีก กราบอีก โอ้ พระอรหันต์!
มันหันหลายๆคนเข้า เอ๊ะ หรือว่าใช่? ชะรอยจะใช่แล้วนะ เพราะสังคมยอมรับ
เห็นไหม นี่พระอรหันต์ที่สังคมยอมรับ สังคมตั้งให้
ไม่ได้เป็นนะแต่ว่าสังคมมันเชื่อกันอย่างนั้น เชื่อกัน
พวกเราก็มีบ่อยๆนะ ที่ชาวพุทธทั้งหลายอกหักกันมาหลายรอบแล้ว
องค์นี้พระอรหันต์ๆ ผ่าไปมีเมีย อยู่ไม่ได้
ตั้งหลายรายมาแล้วนะ อย่าต้องเอ่ยชื่อเลย
เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นทีหนึ่ง ก็หวั่นไหวกันทีหนึ่ง บางคนก็เสื่อมศรัทธา
พวกเสื่อมศรัทธาอยากเสื่อมก็เสื่อมไปเถอะ พวกนี้ไม่ใช่ชาวพุทธหรอก
ถ้าชาวพุทธแท้ๆก็จะแยกได้ว่าอะไรเป็นเรื่องของบุคคล อะไรเป็นเรื่องของธรรมะ
ธรรมะไม่เคยเสื่อมเลย ไม่เคยเสียหายเลย

นี่ท่านพาหิยะยังไม่ใช่พระ ก็นึกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์
อยู่มาเรื่อยๆนะ จนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา
เพื่อนกันซึ่งเป็นเทวดาเป็นพรหมสุธาวาส
ที่ภาวนาด้วยกันแล้วเป็นพระอนาคามี รู้สึกสงสาร ว่าพาหิยะมันหลงผิดแล้ว
ก็ลงมาบอกว่าตัวเองไม่ใช่พระอรหันต์นะ
แล้วที่ทำอยู่ก็ไม่ใช่เส้นทางเดินของพระอรหันต์ด้วย
ตอนนี้พระอรหันต์เกิดขึ้นแล้วในโลก อยู่ที่นี้ที่นี้ให้ไปหานะ ให้รีบไปหา
ท่านพาหิยะพอได้ยินว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก
ทิ้งความเป็นพระอรหันต์เลย
ไม่เอาแล้ว เรามันของปลอม ท่านเดินลุยมาเลย จากท่าอะไร ท่าอะไรจำไม่ได้แล้ว
ท่าเรือ ท่านอยู่ริมท่าน้ำ เดินมา ๗ วัน ๗ คืน เดินลุยมาเลย จะมาหาพระพุทธเจ้า
เข้าไปที่วัด ไปถามพระว่า พระพุทธเจ้าอยู่ไหม จะมาฟังธรรม
ไปถึงตอนเช้ามืดนะ นี่อดทนขนาดไหน รีบอยากได้ธรรมะ
เพราะนิสัยอย่างนี้เคยเป็นมาแล้วตั้งแต่ชาติก่อน
อยากได้ธรรมะนะ ขึ้นภูเขาถีบบันไดทิ้งยอมตาย นี่เดินลุยมาจนได้

พระบอกว่า พระพุทธเจ้าไปบิณฑบาต ให้รอก่อน
ท่านบอกรอไม่ได้ ใครจะรู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไร ถ้านั่งรอนี่ประมาทนะ
ผมอาจจะตายก่อนหรือพระพุทธเจ้าไปบิณฑบาตท่านอาจจะปรินิพพานก็ได้
ใครจะรู้ล่ะ ไม่ได้ ต้องตามไป ตามไปถึงในตลาด
ไปถึงก็ไปกราบพระพุทธเจ้านะ บอกขอเรียนธรรมะ
พระพุทธเจ้าบอกตอนนี้เป็นเวลาบิณฑบาต ขอบิณฑบาตก่อน
ท่านก็บอกไม่ได้หรอก ผมจะขอเรียนธรรมะ
นี่พูดขอครั้งที่สองนะ พระพุทธเจ้าบอกไม่ได้หรอก
ตอนนี้จะต้องไปบิณฑบาต ต้องรู้หน้าที่นะ ตอนนี้เป็นเวลาบิณฑบาต
ท่านก็บอกว่าชีวิตเป็นของไม่แน่นอน
ผมอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ พระองค์อาจจะปรินิพพานเมื่อไรก็ได้
ถ้าผมไม่ได้ฟังธรรมตอนนี้ประมาทนะ พระพุทธเจ้าเลยต้องแสดงธรรมให้ฟัง

ความจริงพระพุทธเจ้าไม่ได้ประมาทอะไรหรอก
พาหิยะกำลังเหนื่อยมาก แล้วใจนี่นะ เร่าร้อนกระสับกระส่ายอยากฟังธรรม
ท่านเลยถ่วงเวลา ถ่วงเวลาคุยโน่นคุยนี่ซักพักนึง ให้ใจคลายออก
แล้วท่านก็แสดงธรรมให้ฟัง

ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล
เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น
เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ
ในกาลนั้นแล
ท่านย่อมไม่มี
ในกาลที่ท่านไม่มีในปัจจุบัน
ไม่มีในอดีต
ไม่มีในอนาคต
นั่นแลเป็นที่สุดแห่งทุกข์

พระพาหิยะฟังนะ เป็นพระอรหันต์ตอนนั้นเลย
ได้หรือยัง? ฟังเหมือนเปี๊ยบเลยนะ
เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
เมื่อคิดจักเป็นสักว่าคิด เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ
ถ้าสักว่าสักว่า ตัวเราจะไม่มี ถ้าตัวเราไม่มีนะ แล้วใครจะทุกข์?
ก็ไม่มีใช่ไหม ความทุกข์มีอยู่แต่ไม่มีคนทุกข์หรอก ตัวเราไม่มี
ท่านพาหิยะฟังแล้วก็เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง เป็นเอตทัคคะด้วย
ทั้งๆที่ยังไม่ได้บวชนะ ยังไม่ทันจะได้บวชเลย ก็ขอบวช
พระพุทธเจ้าบอกว่าจะบวชได้ต่อเมื่อมีบาตรและจีวรแล้ว
ตอนนี้ไม่มีอะไรซักอย่างเลย ผ้านุ่งยังไม่มีเลย
ไม่มีบาตร ไม่มีจีวร ต้องไปหาก่อนนะ
แล้วท่านก็แยกทางกัน พระพาหิยะเที่ยวไปหาแล้วก็ไปโดนวัวขวิดตาย
พระพุทธเจ้าก็ให้พระไปเอาศพมาเผา เอากระดูกใส่เจดีย์ไว้ สร้างเจดีย์ใส่กระดูกไว้
พวกพระก็ถามกันว่า อ้าว พาหิยะเป็นฆราวาส? ทำไมพระพุทธเจ้าเอามาใส่อย่างนี้
ท่านบอกพาหิยะได้ธรรมะแล้ว เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง
พระก็ถามว่าฆราวาสเป็นพระอรหันต์นี่
สมควรจะเรียกว่าเป็นฆราวาส เป็นคฤหัสถ์
หรือควรจะเรียกว่าเป็นภิกษุ เป็นสมณะ เป็นพราหมณ์?
ท่านบอกเรียกว่าเป็นภิกษุ เป็นสมณะได้

เห็นไหม ท่านเน้นที่คุณธรรมในใจ ไม่ใช่ที่เปลือกนะ
ถ้าหลวงพ่อแต่งตัวอย่างนี้เรียกว่าเป็นพระโดยสมมติ
ถ้าสมมติหลวงพ่อเป็นพระแท้ๆด้วยใจ
หลวงพ่อถอดจีวรออก หลวงพ่อจะเป็นพระไหม
ก็เป็นถูกไหม เพราะพระพุทธเจ้าท่านวางหลักเกณฑ์ไว้
เพราะฉะนั้น พาหิยะยังไม่ได้ครองจีวรเลย ยังหาจีวรไม่ได้เลยก็เป็นพระ
ทำไมท่านง่าย? เพราะท่านยากมาแล้ว เพราะฉะนั้น พวกเราอย่าท้อใจนะ
ขึ้นเขาไปภาวนาก็ไม่ใช่จะได้นะ ไม่ใช่ขึ้นเขาไปภาวนา มันไปด้วยอะไร
ด้วยโลภะไปด้วยความอยาก รู้สึกไหม ใจมีแต่ความอยาก
อยากบรรลุไวๆ ไม่บรรลุหรอกจะบอกให้
เมื่อไรหมดอยาก เมื่อนั้นบรรลุ เข้าใจไหม
เพราะความอยากนั่นแหละ ปิดกั้นไว้จากธรรมะ
เมื่อไรมีความอยากเกิดขึ้น จิตจะเกิดการดิ้นรน
จิตดิ้นรนจิตปรุงแต่งก็คือจิตสร้างภพ
แต่เมื่อไรเรารู้ทันจิตนะ รู้ทันกิเลส รู้ทันจิตที่เกิดขึ้น
จิตก็ไม่ดิ้นรน จิตก็ไม่ปรุงแต่ง จิตสักว่ารู้สักว่าเห็น
ที่พระพุทธเจ้าสอนพาหิยะ ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล
เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง ถ้าสักว่าได้
สักว่า หมายถึงว่า เห็นสภาวะรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย
ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าต่อตาก็สักว่ารู้สักว่าเห็น
รู้แล้วไม่ปรุงต่อ
พวกเราทำได้ไหม รู้แล้วไม่ปรุงต่อ
ทำไม่ได้ จำไว้นะ ยังทำไม่ได้ รู้แล้วแอบปรุงต่อ
พวกที่บอกว่าผมสักว่ารู้ สักว่าเห็น นั่นพูดแต่ปาก ใจยังไม่เป็นหรอก
น้อยคนหรอกนะ ที่สักว่ารู้สักว่าเห็นได้
ถ้าสักว่ารู้สักว่าเห็นได้ อีกก้าวเดียวเท่านั้นจะเกิดมรรคเกิดผลแล้ว
ตอนนี้ส่วนมากยังไม่ถึงนะ มันแค่สักว่ารู้สักว่าเห็นเป็นคราวๆ
มันไม่ใช่สักว่ารู้สักว่าเห็นจริง
สักว่ารู้สักว่าเห็นจริงเกิดจากปัญญา มีปัญญาแก่รอบจริงๆเลย

ทีแรกเรามีสตินะ มีใจที่ตั้งมั่น เป็นสัมมาสมาธิ
รู้กายอย่างที่เขาเป็น รู้ใจอย่างที่เขาเป็น
รู้ทีแรกนี่ไม่สักว่า แต่รู้แล้วจะยินดีบ้างยินร้ายบ้าง
รู้สึกไหม อย่างเราเห็นกิเลส เราก็ยินร้ายใช่ไหม
เห็นกุศลเรายินดี เห็นความสุขเราก็ยินดีใช่ไหม
เห็นความทุกข์เราก็ยินร้าย ยกเว้นพวกชั่วนะ
พวกชั่วพอเห็นความดีแล้วรู้สึกยินร้าย อย่างนี้ก็มี
แต่เห็นกิเลสแล้วรู้สึกยินดี เคยเจอไหม
บางคนภูมิใจนะ มาคุยอวดหลวงพ่อนะ เคยมีนะ
เวลาฉันโกรธนะ ฉันเห็นช้างเท่าหมู ภูมิใจนะ
โถ เอากิเลสมาอวดเรานะ นี่ พวกชอบในกิเลสก็มี
หรือพวกผู้หญิงเป็นเยอะนะ เวลาคิดอะไรเศร้าๆแล้วก็ชอบ
แล้วก็ไปเกาะอยู่อย่างนั้น อุ๊ย เศร้า
แหม เหมือนหยดเลือดหยดอยู่ในหัวใจเลย
น้ำตาร่วงอยู่ในหัวใจ แสบๆคันๆ มีความสุข
นี่ จิตเป็นอกุศลแล้วมีความสุข พวกไม่เอาไหนเลย ตายแล้วจะตกนรก
เพราะฉะนั้น อย่าไปเล่นนะ อย่าทำสวมวิญญาณนางเอก
โหย ชีวิตฉันพอๆกับพจมาน นางเอกรุ่นนี้มันชื่ออะไรไม่รู้นะ
รู้แต่นางเอกรุ่นพจมานโน่น พจมาน สว่างวงศ์ หลังๆไม่รู้ชื่ออะไรบ้างแล้ว
นางเอกรุ่นหลังๆได้ข่าวว่าด่าเก่ง ตบเก่งแล้วใช่ไหม
เอ่อ ไม่ใช่ถูกเขาด่า ถูกเขาตบ มานั่งร้องไห้ให้พระเอกโมโห ไม่ค่อยมีแล้ว
เดี๋ยวนี้มันลุยไปตบกับเขาแล้วนะคนรุ่นนี้

เพราะฉะนั้น เราอย่าไปปล่อยให้อกุศลครอบงำใจ
อกุศลใดๆ เกิดขึ้นที่ใจอย่าไปนอนแช่อยู่กับมัน
ไปนอนแช่อยู่กับมัน โธ่ ไม่ได้ซักที โธ่ ไม่ได้ๆ เมื่อไรจะได้ หมดกำลังใจ
โธ่เอ๋ย ต้องสู้เอาสินะ เพราะฉะนั้น เราอย่านอนแช่กิเลส
กิเลสอะไรเกิดขึ้นในใจ รู้ทันๆไป เวลาตามองเห็นรูป เห็นผู้หญิงสวย
หนุ่มๆเห็นผู้หญิงสวย หรือสาวๆที่ชอบผู้หญิงด้วยกัน
เห็นสาวสวย ใจมันชอบขึ้นมา
พอใจมันชอบขึ้นมา มีสติรู้ทัน ใจเราไม่ได้สักว่ารู้สักว่าเห็นนะ
ไปเห็นสาวเข้ามันพอใจ สาวๆไปเห็นหนุ่มๆเข้ามันพอใจ
เดินไปเห็นดอกไม้สวยๆมันพอใจ
เดินไปเดินมาชมดอกไม้เพลินๆไปเหยียบกองขี้หมาเข้า สดชื่นไหม
อือ สักว่ารู้สักว่าเห็น ไม่สักว่าหรอก อี๋ๆไว้ก่อนเลย ใช่ไหม
นี่ใจมันไม่พอใจ เพราะฉะนั้น เวลาที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์นะ
เกิดความพอใจขึ้นก็รู้ทัน เกิดความไม่พอใจขึ้นก็รู้ทัน
นี่เรียกว่าเราดูจิตของเราอยู่นะ
ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์แล้วเดี๋ยวมันก็เกิดความสุข
เดี๋ยวมันก็เกิดความทุกข์ เดี๋ยวมันเฉยๆ
พอมีความสุขก็พอใจ มีความทุกข์ก็ไม่พอใจ
มีความเฉยๆก็งงๆ ไม่รู้ว่าจะพอใจหรือไม่พอใจ เราคอยดูใจของเราไป
ใจของเรามันกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงด้วยความยินดีบ้าง ด้วยความยินร้ายบ้าง
ใจของเราไม่ได้เป็นกลาง ไม่ได้สักว่ารู้สักว่าเห็นอย่างแท้จริง
การสักว่ารู้สักว่าเห็นก็ต้องเกิดด้วยปัญญา ไม่ใช่เกิดจากการเพ่ง
บางคนใช้เพ่งจิตนะ สมมติหลวงพ่อเพ่งให้ดูนะ นี่เพ่งไว้อย่างนี้นะ
ให้ใครมาด่าก็ได้ ด่าสามวันก็ไม่โกรธ ถ้าออกมาอย่างนี้เดี๋ยวจะโกรธแล้ว
เพราะใจมันจะกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง

เพราะฉะนั้น เราภาวนานะ
ไม่ใช่ว่าเราเป็นกลางเพราะการเพ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นกลางเพราะการเพ่งนะ
เพราะที่ทำอยู่ส่วนมากเป็นสมถะ ไม่ได้ขึ้นเป็นวิปัสสนาแท้ๆ
วิปัสสนาแท้ๆจะเกิดขึ้นเมื่อเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจ
ไม่ใช่แค่เห็นกายเห็นใจนะ เห็นท้องพองยุบไม่ใช่วิปัสสนานะ
เห็นยกเท้าย่างเท้าไม่ใช่วิปัสสนา เห็นหายใจเข้าหายใจออกไม่ใช่วิปัสสนา
ต้องมีปัญญาเห็นไตรลักษณ์ถึงจะเป็นวิปัสสนา
เห็นว่าตัวที่พองที่ยุบอยู่นี่ไม่ใช่เราหรอก ธาตุมันเคลื่อนไหว
รูปมันเคลื่อนไหวไม่ใช่เรา อย่างนี้ถึงจะเป็นวิปัสสนา
เห็นตัวที่เดินอยู่นี่ไม่ใช่ตัวเรา เห็นก้อนธาตุมันเดินอยู่ อย่างนี้ถึงเป็นวิปัสสนา
เห็นจิตมันเกิดดับเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ บังคับไม่ได้
มันเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ เป็นอนิจจัง บังคับไม่ได้เป็นอนัตตา
พอเห็นอย่างนี้เรียกว่าเห็นไตรลักษณ์ถึงจะเป็นวิปัสสนา
ไปนั่งเพ่งจิตให้จิตนิ่งๆไม่ใช่วิปัสสนา เป็นสมถะ
ไปดูท้องพองยุบให้จิตแนบอยู่ที่ท้องเป็นสมถะ
ไปรู้พุทโธ บริกรรมแต่พุทโธให้จิตนิ่งอยู่กับพุทโธก็เป็นสมถะ
ไปรู้ลมหายใจ จิตอยู่กับลมหายใจเป็นสมถะ
ขยับมืออย่างหลวงพ่อเทียนจิตไปเกาะอยู่ที่มือเป็นสมถะ
ถ้าเมื่อไรจิตไปจับนิ่งๆอยู่ที่อารมณ์อันเดียวเป็นสมถะทั้งหมดเลย
เป็นการเพ่งตัวอารมณ์เรียกว่าอารัมมณูปนิชฌาน
การเพ่งอารมณ์ เพ่งอารมณ์จะเป็นสมถะ
ถ้าเป็นวิปัสสนาต้องเห็นลักษณะเรียก ลักขณูปนิชฌาน
เห็นลักษณะ เห็นความเป็นไตรลักษณ์ในกาย เห็นความเป็นไตรลักษณ์ในใจ
เช่น นั่งอยู่ก็รู้สึกว่าตัวที่นั่งอยู่นี่เป็นแค่วัตถุเท่านั้นเอง
ตอนนี้คนที่ภาวนากับหลวงพ่อทำได้เยอะแล้ว
เห็นร่างกายนี่เป็นก้อนธาตุ เป็นวัตถุ เป็นรูป

เมื่อวานก็มี แม่ครูบาแบงค์มาเล่าให้หลวงพ่อฟัง
ภาวนามาตั้งนานนักหนาแล้วไม่เห็น มาเรียน เอาลูกชายมาบวชอยู่นี่
มาฟังไปฟังมา เห็นแล้ว ร่างกายนี่ไม่ใช่ตัวเรา เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ
รู้สึกนะ ไม่ใช่คิดนะ รู้สึก คนรู้สึกได้อย่างนี้มีเป็นร้อยๆ เยอะแยะเลย
เห็นรูปตัวจริงแล้วว่าไม่มีตัวเรา อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าทำวิปัสสนาได้
เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นใจไม่ใช่เรา
พอเห็นเต็มที่แล้ว วันหนึ่งจิตรวมเข้ามาตัดสินความรู้เลยยอมรับความจริงแล้ว
ตัวเราไม่มี กายนี้ไม่ใช่เรา ใจนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีเราในกายในใจนี้
ไม่มีตัวเราในกายในใจ ไม่มีตัวเรานอกเหนือจากกายจากใจ
ปิ๊งขึ้นมาอย่างนี้เป็นพระโสดาบัน
ไม่ใช่นั่งๆแล้วก็วูบหมดสติตื่นขึ้นมาแล้วบอกว่าเป็นพระโสดาบันนะ
โสดาบันรุ่นหลังจะเป็นแบบนี้เยอะเลย เคลิ้มๆง่อกแง่กๆ แล้วก็บรรลุแล้ว
บรรลุโมหะ ไม่ใช่บรรลุมรรคผลนิพพานอะไรหรอก

วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๑
สวนสันติธรรม