Print

ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๑๖๑

TEARS SERIES 
ตอนที่ 23 ๛ ภูษาโยง ๛ (บทที่ 16 : การเยียวยา)

wilasinee2โดย วิลาศินี



...
...
...

heal-161 

...

...

...

นพพรทำได้เพียงหยุดยืนอยู่หน้าโรงพยาบาล

การสืบหาชื่อและที่อยู่ของภาคิมทำได้ไม่ยากจนเกินไป แต่กว่าเขาจะตามรอยมายังโรงพยาบาลแห่งนี้ได้ก็เป็นเวลาพลบค่ำ ช่วงสายเขาไปส่งลัดดากลับบ้านและบอกหงุนขอพักงานสักวันหนึ่งก่อน ไอ้หงุนมันดูเหงาๆ ที่ไม่ได้นั่งรถเล่นและออกไปช่วยคนตั้ง 1 วัน นพพรให้เงินจำนวนหนึ่งให้มันไปหาซื้อเสื้อและกางเกงใหม่ๆ ใส่ เผื่อจะมีสาวๆ หันมาสนใจบ้าง จึงค่อยเข้าทาง ไอ้หงุนรับเงินแล้วถลาไปตลาดอย่างรวดเร็ว

นพพรขับรถไปยังมูลนิธิที่เขาสังกัดอยู่อย่างไม่รีบร้อนนัก ที่นั่นเป็นสำนักงานเล็กๆ แทรกตัวอยู่ในตึกแถวข้างศาลเจ้าจีนที่เก่าคร่ำคร่า ภายในมีอุปกรณ์สำนักงานเช่นโต๊ะ เก้าอี้ ตั่งที่วางอุปกรณ์สื่อสาร ตู้ที่บรรจุเอกสารมากมายวางเรียงกันเป็นตับ บนเพดานมีหลอดไฟให้แสงสว่างเพียงรำไร ส่วนอุปกรณ์ปรับอากาศมีเพียงตัวเดียวคือพัดลมแขวนผนังรุ่นโบราณที่ส่งเสียงครวญหึ่งๆ และส่ายไปมาราวกับจะร่วงลงมาเมื่อใดก็ได้ เมื่อเดินผ่านบรรยากาศขมุกขมัวไปจนถึงด้านในสุดของห้อง ก็จะพบอาสาสมัครอาวุโสอยู่โยงที่ศูนย์อำนวยการคอยรับเรื่อง บันทึกเหตุการณ์ และส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ นพพรเข้าไปกล่าวสวัสดี ชายที่นั่งอยู่ประจำโต๊ะก็ลุกขึ้นมาหัวเราะร่าและกล่าวทักทายเสียงดังขโมงโฉงเฉง เจ้าของเสียงเป็นชายร่างท้วมผิวขาวจนเกือบซีด ใบหน้าขณะยิ้มนั้นแก้มดูคล้ายซาลาเปาลูกขนาดกลางโผล่ออกมาจากหม้อนึ่ง เด็กตามตึกแถวข้างๆ เรียกเขาว่าอาแปะและชายสูงวัยคนดังกล่าวก็จะหัวเราะร่าและยิ้มรับแต่โดยดี

อาแปะไม่เพียงทำหน้าที่เฝ้ามูลนิธิและคอยประสานงาน เขาจะคอยตัดข่าวอุบัติเหตุเก็บไว้เป็นทีระลึกอยู่รอบๆ ผนังด้านหลังโต๊ะทำงาน นพพรเข้าไปขอให้อาแปะช่วยค้นข่าวย้อนหลัง จนพบข่าวคนต่างด้าวถูกรถชนและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ผู้ขับรถเป็นบัณฑิตจบใหม่ที่มาพร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน

นพพรไม่สนใจเนื้อหาของข่าวที่ค่อนข้างบิดเบือน เขาจดชื่อผู้อยู่ในเหตุการณ์ทีละคนลงบนกระดาษ

โภค รมดวล – เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

บุญ เทือน – เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

เตชิต ทับเมฆา – เสียชีวิตในโรงพยาบาล

ภาคิม เดชาพิชิต – ปลอดภัย

นักนิน ปุระมณี – ปลอดภัย

“ลื้อจาเอาไปทำอาลาย”

อาแปะยื่นหน้าถาม ไม่ใช่ด้วยกิริยาจับผิดหรือสอดรู้สอดเห็น นพพรสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่ เป็นห่วงเป็นใยและอยากให้ความช่วยเหลือ

“ผมอยากรู้ว่าจะไปตามหาคนพวกนี้ได้ที่ไหนน่ะครับ มีของบางอย่างจะคืนให้เขา”

“ฮ่อๆ เจี๊ยะป้าบ่อสื่อ ของที่ลื้อจะเอาไปให้เค้าน่ะ เค้าอยากได้หรือเปล่า”

“คงไม่อยากได้นักหรอกครับ เจ้าของเขาก็คงลืมไปแล้ว หรือไม่ก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหน ส่วนทางผมก็แค่ไม่อยากเก็บเอาไว้ให้มันกวนใจเล่น”

“ไหนขออั๊วดูหน่อย”

นพพรล้วงกระเป๋ากางเกง และหยิบนาฬิกาเจ้าปัญหา วางบนหนังสือพิมพ์ท่อนที่มีข่าวอุบัติเหตุ

“นี่ครับ นาฬิกาที่ผมได้มาจากข้อมือของคนขับ แต่มันคนละข้าง และคนละเรือนกับคนชนที่อยู่ในข่าว”

“ฮ่อ...”

อาแปะชราลากเสียงยาวอย่างคนผ่านร้อนหนาวมานาน สื่อความเพียงสั้นๆ นิดเดียวก็เข้าใจ

“น่าสงสารจริงๆ เลย”

“อาซ้งสงสารเจ้าของนาฬิกาหรือครับ”

“ป่าว อั๊วจะไปสงสารมันทำเตี่ยอาลาย อั๊วสงสารลื้อต่างหากล่ะตี๋ หยั่งที่สำนวนไทยเขาพู่กว่ายังไงนะ เนื้อไม่ได้กิง หนังไม่ได้รองนั่ง เอากาดูกมาแขวงคอ เฮ้อ ลื้อเอาของกลางมานั่งอมพะนำไว้อย่างนี้ไปทำไม ส่งให้นักข่าวไปซะก็สิ้นเรื่อง”

“ก็ ตั้งแต่วันแรกที่ได้ยินข่าว ผมคิดไปคิดมาอยู่หลายวันเหมือนกันครับ ใจนึงก็อยากทำผิดให้เป็นถูก ใจนึงก็ไม่อยากยุ่ง เพราะดูนามสกุลคนทำผิดกับวิธีปิดปากตำรวจและสื่อที่เสนอข่าวก็ดูแนบเนียนไม่มีที่ติ จนผมคิดว่าทำอะไรลงไปก็คงไม่มีประโยชน์”

“แล้ววันนี้คิดยังไงถึงมาหาอั๊ว”

“วันก่อนผมเห็นผู้หญิงในรูป ตอนไปส่งคนเจ็บที่โรงพยาบาล หน้าตาเธอยังอมทุกข์อยู่มากเลยนะครับ”

“ฮ่อ เอาจริงๆ อั๊วก็สงสารคนที่ตาย เขามาจากต่างด้าวต่างแดน พลัดบ้านเกิดเมืองนอนมา โดนชนเปรี้ยงเดียว ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หาคนรับผิดชอบไม่ได้ยังไม่พอ ดูท่าทาง ทางบ้านจริงๆคงจะยังไม่ลู้เลื่อง”

“ใช่ครับ อาซ้ง ถ้าจะทำผิดให้เป็นถูก ในทางกฎหมายเราต้องหาเจ้าทุกข์หรือญาติคนตายมาดำเนินคดี ส่วนในเรื่องมนุษยธรรม คนตายควรจะได้กลับบ้าน ส่วนของญาติคนตาย ผมจะช่วยติดต่อให้ แต่ก็ต้องพึ่งพาอาซ้งอยู่มาก เพราะผมไม่ได้เก็บอะไรไว้เลย นอกจากนาฬิกาเรือนเดียว”

“ฮ่อๆ อยากช่วยคนตาย หรืออยากช่วยอีหนูคนนั้นกันแน่”

คำพูดของอาแปะซ้งเหมือนแทงใจดำ นพพรนิ่งเงียบไป ไม่คัดค้านแต่ก็ไม่เห็นด้วย

“อั๊วขอโทษทีถ้าคำพูดอั๊วมันแรงไป อั๊วรู้ว่าลื้อรักเมียของลื้อคนเดียว นี่คงคิดว่าถ้าช่วยทำอะไรที่จวนเจียนจะผิดพลาด ให้มันกลับฟื้นขึ้นมากลายเป็นดีได้ ลื้อคงจะรู้สึกผิดน้อยลงสินะ”

อาแปะคนนี้ แท้จริงรู้เรื่องราวทุกอย่างของนพพร แต่ก็ช่วยรักษาความลับทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ชายชราผู้เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยเป็นเหมือนประตูเปิดสู่ความลับและเงื่อนงำมากมายมหาศาล แต่กลบเกลื่อนไว้ด้วยท่าทางของอาแปะเฝ้ามูลนิธิธรรมดาๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ ตราบเท่าที่ยังไม่มีใครหันมาสนใจ นั่นเป็นความอิ่มเอมใจของชายชราผู้นี้

“ครับ”

“นี่ถ้าลื้อกลับไปเป็นหมอ ลื้อจะช่วยคนได้มากกว่านี้มากนะอาตี๋ ขอโทษที่ละลาบละล้วงอีกที อั๊วรู้ว่าลื้อไม่อยากให้พูดถึง แต่เห็นแก่อาแปะแก่ๆ สักครั้งเถอะ จบงานนี้ ลื้อจะกลับไปเป็นหมอให้อั๊วชื่นใจล่ายมั้ย”

“อาซ้งก็รู้ ว่าหลังจากภรรยาผมเสียชีวิต ผมก็จับมีดผ่าตัดไม่ได้อีกเลย มือไม้มันสั่นไปหมด หนักเข้า อย่าว่าแต่ถือมีดผ่าตัด แค่เหยียบเข้าไปในโรงพยาบาล ผมยังทำไม่ได้”

“เฮ้อ แล้วก็แทนที่จะไปรักษาอาการถือมีดไม่ได้ ลื้อก็ออกมาทำงานเป็นหน่วยกู้ภัยเสียอย่างนี้ มันถูกมันใช่ไหมล่ะตี๋”

เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับจากนพพร

“ที่จริงอั๊วนี่ก็เจี๊ยะป้าบ่อสื่ออยู่เหมืองกาง เอาเป็นว่าแล้วแต่ลื้อก็แล้วกาง อั๊วพูกมากไปก็ม่ายลี ฮ่อๆ”

อาแปะเลิกเซ้าซี้และเริ่มยกหูโทรศัพท์โทรไปถามเครือข่ายในแต่ละจุด ไม่ว่าจะเป็นห้องเก็บศพของโรงพยาบาล หรือสัปเหร่อตามวัด จนได้ข้อมูลมาว่าศพของโภค รมดวล และ บุญ เทือน ถูกทิ้งไว้ที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาลหลายวันจนเกือบเป็นศพไม่มีญาติ จนกระทั่งมีหญิงไทยคนหนึ่ง ระบุว่าเป็นเจ้าของห้องเช่าที่ทั้งสองคนพักอยู่ มารับศพของทั้งคู่ออกไปทำพิธีพร้อมกัน งานฌาปนกิจศพของทั้งสองคนจัดขึ้นในวัดเล็กๆ บริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดอุบัติเหตุ สัปเหร่อของวัดเก็บอัฐิของทั้งสองแยกไว้ต่างหากเพื่อรอญาติมารับเป็นเวลาร่วมสามเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครมาติดต่อ

“พวกเสื้อผ้า ข้าวของ ก็เผาไปกับศพหมดเลยหรือครับ”

“ฮ่อ ปรกติก็จะทำกันแบบนั้น แต่เท่าที่ฟังมา อาสัปเหร่อบอกอั๊วว่า 2 ศพนี้แรงมาก ตอนเป็นคนดูเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร แต่พอตายแล้วหวงข้าวของเหลือกำลัง คนข้างห้องโดนหลอกหลอนจนอาเจ้เจ้าของห้องเช่าต้องไปรับศพมาทำพิธีให้ ส่วนอาสัปเหร่อก็เห็นเงาคนกอดกล่องข้าวของไว้ ไม่ให้ยกไปเผา อีกเลยขนข้าวของของ 2 ศพนี้ไปไว้ด้านในสุดของห้องเก็บของ”

“อย่างนี้ก็พอมีหวัง ยังพอเหลือร่องรอยไว้ให้สืบหาญาติที่บ้านเกิดเมืองนอนได้”

“ฮ่อ อะนี่ ที่อยู่ของอาสัปเหร่อ ให้อั๊วไปเป็นเพื่อนหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรครับอาซ้ง ขอบคุณอามากครับ”

“เอ้าเดี๋ยวสิ ยังบอกไม่หมดเลย อาตี๋ที่เป็นเจ้าของนาฬิกาน่ะ วันก่อนเห็นมีแจ้งขอความช่วยเหลือให้ไปรับเด็กหนุ่มหัวน็อคพื้นที่ส่งโรงพยาบาล น่าสงสารอีคงจะล้มลงไปนานแล้วกว่าจะไปถึงกว่าจะพาไปส่งโรงบาล หมอเลยให้ยาไม่ทัน ปรกติถ้าพาไปหาหมอไวๆ นา เคยเห็นหมอให้ยาละลายลิ่มเลือด นอนโรงบาลแป๊บเดียวกลับมาเดินปร๋อ เค้าเรียกอะไรนา ซาโตะๆ”

“ครับ สโตรค(Stroke)*”

“อือ นั่นแหละ โรคทางหมอๆ อั๊วก็ไม่ค่อยมีความรู้พวกนี้หรอก ลื้อเองก็ยังไม่ลืมวิชาของตัวเองนี่นา”

นพพรยิ้มแหยๆ และส่ายหน้า

“รายนี้ก็คนของเราอีกเหมือนกัน ที่ไปรับแล้วก็กลับมาเล่าให้ฟัง อั๊วคุ้นๆ ชื่อ เลยโทรกลับไปถามดู ใช่คนเดียวกันกับที่ลื้อบอกว่าเป็นคนขับนี่แหละ เอ้านี่ โรงพยาบาลที่อีนอนอยู่ ตอนนี้กลายเป็นอัมพฤกษ์เสียละมัง ไม่รู้จะใส่นาฬิกาที่ลื้อจะเอาไปให้ได้หรือป่าว”

อาแปะยังทำเป็นมีลีลาและเล่นมุก ที่จริงมีเจตนาแฝงคือตักเตือนนพพรอยู่เป็นนัยๆ ว่าจะทำอะไรให้ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ อย่าผลีผลามทำร้ายจิตใจคนป่วยจนเกินไปนัก

“ขอบคุณมากครับอาซ้ง ไว้มีโอกาสผมคงได้ตอบแทน”

“ลื้อรู้อยู่แล้ว ว่าอั๊วต้องการอะไรตอบแทนจากลื้อ เมื่อครู่ทำเป็นนิ่งเงียบ”

นพพรขมวดคิ้วแล้วกระตุกยิ้ม บอกกับอาแปะเหมือนอาตี๋น้อยรู้สึกสำนึกผิด

“ผมก็แค่ คิดอยู่ว่า ถ้าจะกลับไปทำอาชีพเดิม ควรจะเริ่มต้นยังไงดี”

“ง่ายที่สุดเลยอาตี๋ เริ่มตรงนี้ นี่ๆ”

อาแปะเอื้อมมือมาตบแปะๆ ตรงหน้าอกข้างซ้ายของนพพร เจ้าตัวก้มลงมองตามมือของอาแปะแล้วรู้สึกว่าหัวใจที่คล้ายหยุดเต้นไปเป็นเวลานาน กลับพลิกตัวและขยับกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง

“อั๊วรอฟังข่าวดีนา”

“ครับ อาซ้ง”

นพพรยกมือไหว้ชายชราแล้วจากมา นึกถึงเหตุการณ์หลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต นึกถึงใบหน้าของลลิตาที่พบกันบนเครื่อง นึกถึงคำพูดของอาแปะ นึกถึงความรู้สึกอุ่นใจที่ได้รับจากลัดดา รู้สึกถึงความเมตตาสงสารที่เกิดขึ้นกับนักนิน

ความรู้สึกที่ประเดประดังเข้ามา ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวา สัมผัสได้ถึง “หัวใจ” ของคนเป็นมนุษย์ขึ้นมาอีกคราวหนึ่ง

นพพรขับรถไปถึงที่อยู่ของสัปเหร่อ แสดงบัตรของมูลนิธิเพื่อขอรับสมบัติของผู้ตายที่เป็นศพไร้ญาติ สัปเหร่อให้ความร่วมมือและช่วยเหลือเป็นอย่างดีเมื่อเอ่ยชื่ออาแปะซ้ง

กว่าจะแล้วเสร็จภารกิจทางฝั่งผู้เคราะห์ร้าย ก็ทำให้นพพรมาถึงโรงพยาบาลในเวลาที่งดเยี่ยมภาคิมแล้วเช่นเดียวกัน

 

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *

 

นพพรทำได้เพียงหยุดยืนอยู่หน้าโรงพยาบาล

เขารู้ว่าโรงพยาบาลจำกัดเวลาเยี่ยมเอาไว้ แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าจะมาทัน เมื่อมาไม่ทันก็ทำได้เพียงตรวจสอบว่าภาคิมยังคงนอนอยู่ในโรงพยาบาลหรือไม่ และอยู่ในห้องใดเตียงใด

“ห้องไอซียูเตียง 4 ค่ะ แต่หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะคะ พรุ่งนี้คุณค่อยมาใหม่”

“ครับ ขอบคุณครับ”

นพพรทึ่งเล็กน้อยที่พนักงานเวชระเบียนให้คำตอบได้รวดเร็วทันใจโดยแทบไม่ต้องพลิกแฟ้มประวัติ

“วันนี้มีคนมาถามหาคนไข้รายนี้บ่อยน่ะค่ะ”

เจ้าหน้าที่เวชระเบียนในจุดต้อนรับยิ้มหวานราวกับพนักงานต้อนรับในโรงแรม นพพรถอยหลังออกมาสูดกลิ่นของโรงพยาบาลเพื่อรวบรวมความกล้าที่จะเดินเข้าไปอย่างอาจหาญในวันพรุ่ง ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง เดินมากับชายสูงวัยอีกคน พากันไปยังที่จอดรถ ครานี้เขาเห็นเพียงแวบเดียวก็จำได้ หญิงสาวคนนั้นคือหญิงสาวคนเดียวกับที่เขาเคยช่วยไว้ในที่เกิดเหตุ

พัลลภเปิดประตูให้นักนินขึ้นไปนั่งรอในเบาะที่นั่งข้างคนขับ ส่วนตัวเขาอ้อมไปหยิบขวดน้ำด้านหลังรถถือไว้ในมือก่อนจะเปิดประตูไปนั่งตรงเบาะของคนขับ

นพพรไม่รู้จักว่าชายสูงวัยผู้นั้นเป็นใคร แต่ลางสังหรณ์ในใจบางอย่างทำให้รู้สึกว่าชายผู้นั้นไม่น่าไว้วางใจนัก

ไหนๆ วันนี้ก็เจี๊ยะปาบ่อสื่อมาทั้งวันแล้วนี่นา

ภาพของอาแปะซ้งมาตบบ่าและพูดปลอบใจอยู่ข้างๆ

การขับรถติดตามของนพพรในช่วงแรกที่การจราจรค่อนข้างแออัด จึงเหมือนรถของมูลนิธิทั่วไปที่วิ่งอยู่ตามท้องถนน ไม่น่าผิดสังเกตแต่ประการใด แต่เมื่อตัดออกไปยังถนนสายรองจนกระทั่งค่อนไปทางเปลี่ยว รถยนต์ขนาดเล็กอีกคันหนึ่งก็วิ่งแซงขึ้นไปพร้อมกับปิดไฟหน้า นพพรจึงทำเลียนแบบบ้าง

ในเวลาที่พัลลภพานักนินเลี้ยวเข้าซอยเปลี่ยว จึงไม่ได้รู้สึกตัวเลย ว่ามีรถแอบตามมาอีก 2 คัน และสองคันหลังยังกดเรียกตำรวจมาในเวลาใกล้เคียงกันอีกต่างหาก

“ว.2 ว.2 อาจมีเหตุฉุกเฉิน ขอเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่ถนน... กม. 10 ในเวลานี้ด้วยครับ”

“ว.4 เมื่อครู่ก็มีผู้หญิงญี่ปุ่นโทรมา พูดจากโนะๆ เนะๆ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง คุณลองบอกพิกัดมา ตำรวจจะได้ไปถูก”

“ได้ครับ”

ผ่านเข้าซอยไปได้อีกสักพัก รถคันที่หญิงสาวนั่งไปด้วยก็จอดลง รถของนพพรทิ้งระยะห่างไว้ไกลพอสมควร จึงเห็นเหตุการณ์ได้ไม่ชัดเจนนัก และทันทีที่เสียงปืนดังลั่น รถของตำรวจก็เลี้ยวเข้ามาในรัศมีพร้อมกับเปิดไฟจ้า ดูเหมือนเหตุการณ์จะประจวบเหมาะไปเสียทุกอย่าง คนร้ายถูกจับกุมไว้ได้ทันท่วงที ไม่มียืดเยื้อ นพพรเกือบจะตัดสินใจเลี้ยวรถกลับ

“ว.2 ว.2 พบคนถูกยิง เรียกอาสาสมัครที่อยู่ใกล้ถนน... กม. 10 มารับโดยด่วน”

...

...

...


ชั่วขณะนั้น นักนินประคองเกนโซเพื่อเดินไปขึ้นรถของหน่วยกู้ภัย ฮานาโกะเดินเซเซ่ดๆ ตามมา ทุกคนพบว่าเจ้าหน้าที่ของหน่วยกู้ภัยที่ลงมารับคนเจ็บมาถึงเร็วเกินคาดอีกเช่นกัน แต่ที่น่าสังเกตมากกว่านั้น คือบุรุษกู้ภัยที่ลงมาจากรถคันนั้นกับนักนินต่างจ้องมองกันด้วยสายตาประหนึ่งว่าทั้งสองเคยรู้จักกันมาก่อน

นักนินขยับปากจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วนพพรก็เป็นฝ่ายละสายตาไปหาชายหนุ่มที่เธอประคองมา เขาช่วยพันบาดแผลและทำการปฐมพยาบาลก่อนจะพาเกนโซนอนบนเปลและขึ้นรถเพื่อพาไปส่งโรงพยาบาล

นักนินนั่งนิ่งไปตลอดทาง ส่วนหญิงสาวแดนอาทิตย์อุทัยปัดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองทิ้ง
เวลานั้น ทั้งสองมีเกนโซเป็นจุดรวมใจให้คอยเป็นห่วงมากกว่าจะคิดกังวลไปในทางอื่น

...

...

...

 

- โปรดติดตามตอนต่อไป –