Print

ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๑๖๐

TEARS SERIES 
ตอนที่ 22 ๛ ภูษาโยง ๛ (บทที่ 15 : ย้อน)

wilasinee2โดย วิลาศินี



...
...
...

heal-160 

พัลลภอยากจะดูอาการของภาคิมสักหน่อย

ช่วงเวลานี้มาเร็วกว่าที่คิด หลังจากที่เขาคิดว่ามันอาจจะใช้เวลาสักยี่สิบปี สามสิบปี หรือตลอดทั้งชีวิตเขายังคิดว่ามันไม่ใช่เวลาที่นานเกินไปนัก การรอคอยเป็นไปด้วยความเยือกเย็นเหมือนเช่นลมหายใจที่เขาต้องสูดอากาศเข้าออกอยู่ทุกเวลา ลมหายใจนี้ไม่มีวันหายไปไหนจนกว่าเขาจะตายจาก เช่นเดียวกับความพยาบาทที่เขาเก็บสั่งสมมันมานานปี

ในบรรดาพี่น้องท้องเดียวกัน พัลลภดูจะผ่าเหล่าผ่ากอกว่าใครเพื่อน ด้วยนิสัยรอบคอบ ฉลาดแกมโกง และเชื่อมั่นในตัวเองสูงของลูกคนเล็ก  แทนที่จะมุ่งมั่นในการเรียนเพื่อรับราชการแบบภิญโญพี่ชายคนโต หรือหมั่นฝึกฝนเพื่อเอาดีทางทหารแบบโภคินพี่ชายคนรอง พัลลภกลับเอาดีทางด้านการคบหาเพื่อนฝูงมากหน้าหลายตาในสมัยเรียน และเมื่อจบชั้นการศึกษาภาคบังคับ เขาก็ออกเดินทางไปเสี่ยงโชค หาเพื่อนร่วมหุ้นทำกิจการตามแต่จะแสวงหาเงินทุนได้ จนในที่สุด ก็พลัดหลงไปทำกิจการค้าไม้ในภาคเหนือ และพบรักกับลูกสาวของผู้มีอิทธิพลในละแวกนั้นจนถึงกับลงหลักปักฐาน กลายเป็นลูกเขยพ่อเลี้ยง และยิ่งทำให้กิจการรุ่งเรืองขึ้นไปอีก

แต่เบื้องหลังความเจริญนั้นมีสิ่งโสมมซ่อนเร้น จริงอยู่ว่ากิจการค้าไม้ของพัลลภจะมีไม้เถื่อนปลอมปนมาอยู่บ้าง แต่นั่นยังไม่ผิดกฎหมายร้ายแรงเท่า กิจการลักลอบค้ายาเสพติดของพ่อตา ที่ทำเอาพัลลภแทบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อเข้าไปมีส่วนพัวพัน คนทีชักนำก็คือหนึ่งในเพื่อนพ้องของเขาที่มาชอบพอกับลูกสาวพ่อเลี้ยงเช่นเดียวกับพัลลภ แต่เขาได้ตำแหน่งลูกเขย ส่วนเพื่อนได้ตำแหน่งสายส่งที่มีรายได้งอกเงย และมีฐานะร่ำรวยกว่าเขามากมายในเวลาต่อมา

พัลลภพยายามกันตัวเองและภรรยาออกมาจากวงจรอุบาทว์ สองสามีภรรยามีลูกชายสืบทายาทตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น พัลลภตั้งชื่อลูกชายว่า “เจนประชา” เพื่อให้ลูกได้รู้จักคบคนให้ถูกทาง ไม่นำพาชีวิตของตนไปเข้าสู่วังวนอันสกปรกโสมมเหมือนพ่อ วันเวลาผ่านไปเร็วจนน่าใจหาย ปู่กับย่าเสียชีวิตไปเสียก่อนที่หลานชายจะโตพอให้เขาพาไปกราบไปไหว้ พี่น้องคนอื่นๆ ก็เริ่มแยกย้ายกันไปทำงานทำการและมีครอบครัวเป็นของตนเอง พัลลภเลี้ยงดูลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจนเติบใหญ่และส่งไปเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองกรุง หวังว่าวันหนึ่งจะล้างมือจากกิจการทั้งหมดแล้วพาลูกเมียคืนสู่เมืองหลวงแล้วเริ่มต้นกันใหม่

แต่แล้ว พายุร้ายของโชคชะตาก็สาดโครมเข้ามาจนทำให้ชีวิตของพัลลภพังครืนไม่เป็นท่า พ่อตาของเขาสั่งให้พาครอบครัวหนีไปให้ไกลที่สุดก่อนจะถูกสาวพบว่ามีส่วนพัวพันกับคดีค้ายาเสพติด ต้นเหตุมาจากเพื่อนของพัลลภถูกจับกุมได้ขณะขนยาบ้าเข้ามาจากตะเข็บชายแดน ช่วงที่อพยพครอบครัวหนีหัวซุกหัวซุนทำให้เขาขาดการติดต่อกับญาติมิตรเพื่อนฝูง รวมถึงลูกชายที่พักและเรียนอยู่ในเมืองหลวง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้เริ่มประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานคร พัลลภได้แต่หวังใจว่า ลูกชายของเขาที่เพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีแรก จะเก็บตัวอยู่ในหอพักหรือไปขออาศัยอยู่กับญาติพี่น้องในบริเวณใกล้เคียง

แต่เปล่าเลย หนุ่มน้อยนักศึกษาที่เพิ่งก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง หวังจะพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายและจัดเจนกว่าใครๆในวงล้อม เขาได้รวมกลุ่มกับผู้ชุมนุมประท้วงด้วยความฮึกเหิม ช่วงเวลาคุกรุ่นด้วยไฟสงครามและผู้ร่วมชุมนุมต้องการคนกล้า เขาปีนขึ้นไปบนหลังคารถแล้วถูกยิงร่วงตกลงมาด้วยลูกกระสุนเพียงนัดเดียว

ปีนั้นเป็นปี 2535

และบุตรชายของพัลลภได้หายไปกับเหตุการณ์นั้น พร้อมๆ กับผู้ตายอีกหลายคนที่ไม่ได้รับการเปิดเผยชื่อ สกุล หรือแม้แต่ร่างให้นำไปเข้าพิธีอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล

ผ่านมาร่วมยี่สิบปี ที่พัลลภเฝ้าย้อนหลังและตามรอยว่าสาเหตุการตายของลูกชายคืออะไร เขาทำได้เพียงค้นหารูปภาพ ข่าวสาร และข้อมูลซึ่งสมัยก่อนมีอยู่เพียงน้อยนิดและประติดประต่อเอาตามเรื่องราว ความหมกมุ่นและซึมเซาของเขามีไม่มากเท่าภรรยาที่ภายหลังก็กินยาฆ่าตัวตายหนีความผิดหวังจากการกระทำของพ่อ และความเศร้าโศกจากการสูญเสียของลูกชายไปอย่างไม่มีวันกลับ

ท้ายที่สุด พัลลภจึงไม่อาจหลุดพ้นจากวังวนเก่าๆ เขายังคงสิบทอดกิจการของพ่อเลี้ยง และกลายเป็นเจ้าของกิจการเมื่อพ่อเลี้ยงตายจากไป เรื่องทุกอย่างอาจดำเนินไปในทางใครทางมัน หากในวันหนึ่ง พัลลภไม่เข้าเมืองหลวงมาเยี่ยมครอบครัวของพี่ชายที่ชื่อว่าโภคินแต่พี่ชายไม่อยู่ที่บ้าน และทำให้เขาได้รับรู้ว่า ครอบครัวของพี่ชายมักไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนตายจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อกระซิบถามพี่สะใภ้จึงได้ทราบความนัยโดยไม่ปิดบัง

ศรีสุดาเล่าถึงความกังวลของสามี ที่ส่งผลมาถึงการเลี้ยงลูกและปัญหาทางบุคลิกและนิสัยของภาคิม นางหวังว่าการพยายามทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเด็กหนุ่มที่โภคินพลั้งมือลั่นกระสุนไปโดนจะช่วยให้สามีสบายใจขึ้น และอันตรายต่างๆ คงจะไม่มาแพ้วพานลูกชายของตน

ณ เวลานั้น พัลลภรับฟังด้วยท่าทีสงบทั้งสีหน้าและแววตา แต่ในใจกลับมีไฟลุกโชติช่วงชนิดที่เผาผลาญความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจนมอดไหม้และไม่เหลือเถ้าถ่าน

พัลลภเกลียดทหาร และคิดไม่ถึงว่าทหารที่ตนเองเกลียดที่สุดจะกลายเป็นพี่ชายในสายเลือด

แล้ว “ภาคิม” หลานชายสุดที่รักก็เดินเข้ามาหา

ก่อนจะถูกเขาใช้เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นที่สมน้ำสมเนื้อไปในที่สุด...

 

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *

 

“ขออภัยค่ะ หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะคะ รบกวนให้ญาติกลับมาเยี่ยมใหม่พรุ่งนี้ค่ะ”

พยาบาลสาวออกมาบอกกล่าวแก่ญาติของผู้ป่วยที่พากันมายืนออหน้าห้องไอซียูแล้วหลายราย ภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนนั้น ในใจคิดว่า ป้ายก็มี ไม่รู้จักอ่าน มายืนออกันอยู่ได้พยาบาลร่างท้วมเอามือประสานกันไว้ที่ใต้กระบังลมคล้ายจะยืนส่งและขับไล่ไปในตัว

พัลลภที่นานทีปีหนถึงจะเข้าโรงพยาบาลและเพิ่งรับทราบกฎระเบียบเรื่องเวลาทำเอาชะงักกึกไปเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เขาหันหลังกลับบ้านช้ากว่าใครเพื่อน ทำให้ได้ทันเห็นหญิงสาวคนหนึ่งขยับตัวลุกขึ้นมาจากโซฟาและเดินออกมาเกือบจะผ่านหน้าเขาไป

ต่างฝ่ายต่างคุ้นหน้ากันยิ่งนัก แต่หญิงสาวหลบสายตาลงต่ำและเร่งฝีเท้าเดินจากไป ทันใดนั้น พัลลภก็นึกขึ้นมาได้

“เดี๋ยว หนู”

เสียงเรียกนั้นทำให้หญิงสาวหยุดกึก แต่แล้วก็ก้าวเท้าเดินต่อโดยไม่หันหลังกลับมา

“นักนินใช่ไหม โอ นี่อาเกือบจำไม่ได้”

เมื่อระบุได้ถูกชื่อ ตรงตัว นักนินถึงได้หยุดเดินแล้วค่อยๆ หันหน้ามาหา

“สวัสดีค่ะ คุณอาพัลลภ”

เกนโซและฮานาโกะพลอยหันมาด้วย แต่ต่างหยุดยืนดูอยู่ห่างๆ

“ใช่จริงๆ ด้วย เธอยังไม่ตายสักหน่อย”

ได้ฟังประโยคนี้นักนินถึงกับยืนคอแข็ง ชายสูงวัยผู้นี้ไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย และ ที่จริงเธอจำได้ดี เขาคือคนที่มาวนเวียนเข้าออกโรงพยาบาล เพื่อจัดการสลับสับเปลี่ยนชื่อผู้กระทำผิดในอุบัติเหตุคราวนั้น ญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายภาคิมที่เธอรู้สึกไม่ไว้ใจเท่าใดนัก

ใช่สิ แล้วที่มีข่าวออกตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเธอติดยาและฆ่าตัวตาย ก็ฝีมือของตาลุงคนนี้หรือเปล่า...?

ส่วนพัลลภแทบจะอ่านความคิดของนักนินได้ภายในอึดใจเดียว ลูกกวางน้อยกำลังหวาดระแวงและตื่นกลัวจนออกนอกหน้า นายพรานป่าจึงได้แต่ผ่อนลมหายใจและยิ้มอย่างผ่อนคลาย

“เฮ้อ ไม่นึกเลยว่าหลังจากเคลียร์เรื่องอุบัติเหตุ อาก็บินขึ้นเหนือไปหาซื้อไม้จากชาวเขาอยู่ตั้งนาน พอกลับมาก็ได้ยินข่าวช็อควงการ เจ้าภาคิมหัวน็อคพื้น ส่วนหนูนักนิน ก็โดนนักข่าวตีไข่ใส่สีว่า เอ่อ... ที่เขาว่านั่นมันไม่จริงใช่ไหม”

“ไม่ค่ะ ไม่จริงเลย”

นักนินตอบเสียงอ่อนลงเมื่อรู้ว่าพัลลภไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในภายหลัง บางที คนฉลาดและมากประสบการณ์แบบพัลลภ อาจจะพอช่วยแนะนำการแก้ไขสถานการณ์ให้เธอบ้างก็ได้

“ถ้าอย่างนั้นเป็นไงมาไงล่ะ ไหนลองเล่ารายละเอียดให้อาฟังก่อน ไปหาร้านกาแฟนั่งคุยกันข้างล่างก็ได้ ดีไหม”

พัลลภชักชวนอย่างมีชั้นเชิง ไม่ผลีผลามเกินไปแต่ก็พุ่งตรงไปยังเป้าหมายอย่างไม่พลาดเป้า นักนินเริ่มโอนอ่อนตามแต่ยังลังเลอยู่บ้าง

“คุณอาคะ แต่เอ่อ นิ่มมากับเพื่อนอีกสองคนค่ะ”

นักนินหันหน้าไปหาฮานาโกะกับเกนโซเพื่อจะแนะนำสองฝ่ายให้รู้จักกัน เป็นจังหวะเดียวกับเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อคุยจบเกนโซหันมองฮานาโกะด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

นามิไม่สบาย ผมต้องกลับไปดูลูก

เกนโซหันไปบอกนักนินและฮานาโกะแล้วทำท่าละล้าละลัง พัลลภเข้ามาประกบอย่างคล่องตัว

“ถ้าเพื่อนมีธุระก็ให้เพื่อนกลับก่อนเถอะ เดี๋ยวอาไปรับไปส่งนิ่มให้ก็ได้ นี่กลับไปบ้านมาหรือยัง รู้ไหมว่าแม่เธอเป็นห่วงอยู่”

“ยะ ยังค่ะ”

ถูกตั้งคำถามแทงใจดำ ที่จริงนักนินตั้งใจกลับบ้านไปหาแม่เป็นคนแรก แต่เมื่อทราบข่าวของภาคิมจึงเดินทางมาที่โรงพยาบาลก่อน ซึ่งก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีเลย เธอหายไปจากบ้านมาร่วมสองสัปดาห์แล้ว

“อากำลังจะกลับและดูเหมือนจะผ่านบ้านของหนูพอดี เดี๋ยวอาไปส่งที่บ้านให้ดีไหม จะได้ไม่ต้องรบกวนเพื่อนที่ดูเหมือนเขาจะมีธุระนะ”

กระชับสั้นและรวบรัด พัลลภพูดเองเออเองทุกอย่างและให้ทางเลือกที่ทุกคนไม่อาจปฏิเสธ

“ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณอา”

นักนินพยักหน้าและเดินตามพัลลภไปแต่โดยดี ก่อนจากไปได้แต่หันหน้ามาโค้งขอบคุณฮานาโกะและเกนโซที่ก็ต้องรีบรุดกลับบ้าน ชายหนุ่มขมวดคิ้วจางๆ แต่ก็จูงมือฮานาโกะเดินแยกจากไปอีกทาง

ฮานาโกะระบายลมหายใจฟึดฟัดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินตามพี่ชายไปอย่างเสียไม่ได้...

 

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *

เครื่องปรับอากาศในรถของพัลลภดูจะปรับไว้ที่ระดับต่ำสุด อุณหภูมิในรถจึงเย็นเฉียบ นักนินนั่งอยู่ในที่นั่งคนขับถึงกับต้องห่อตัวเพื่อรักษาความร้อนในร่างกาย ชายสูงวัยคงพอสังเกตได้จึงหันไปปรับระดับอุณหภูมิให้สูงขึ้นพร้อมกับหันมาถามเสียงอ่อนนุ่ม

“หนาวหรือ”

“ค่ะ เอ้อ ไม่ค่ะ แค่รู้สึกว่าในรถจะเย็นไปหน่อย”

“ฮีตเตอร์มันไม่ค่อยดีน่ะ อาลองปรับให้แล้วนะ น่าจะดีขึ้น”

“ขอบคุณค่ะ”

นักนินรับคำแล้วก้มหน้า กุมมือตัวเองวางบนตักพยายามนั่งนิ่งๆ และคอยมองออกไปนอกหน้าต่าง อยากให้ถึงบ้านของตัวเองโดยเร็วที่สุด

“หิวหรือเปล่า อยากจะแวะทานอะไรก่อนไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณอา ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวพูดน้อยคำ พัลลภลอบยิ้มอยู่ในหน้า ช่างไร้เดียงสา อ่อนต่อโลก และขี้เกรงใจ ชายสูงวัยใช้มือข้างเดียวบังคับพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวรถ และเอื้อมไปหยิบน้ำเปล่าตรงข้างเบาะส่งให้หญิงสาว

“งั้นนี่น้ำเปล่านะ ทานได้นะ ไม่ต้องกลัว แกะพลาสติกครอบฝาแล้วเปิดดื่มได้เลย”

“ขอบคุณค่ะ”

นักนินรับน้ำดื่มในขวดพลาสติกมาแล้วพินิจดู มีพลาสติกครอบฝาขวดในรูปแบบที่ยังไม่ได้เปิดใช้จริงๆ พัลลภเพียงลอบมองด้วยหางตา ดีว่าเขาเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินไว้พร้อมเสมอ ไม่ต้องรอเปิดฝาขวดแล้วหยอดยา วิวัฒนาการของเขาเวลานี้คือสามารถผลิตขวดน้ำลอกเลียนแบบแบรนด์ดังๆ ผสมสารเสพติดลงไป แล้วปิดผนึกฝาขวดคล้ายไม่เคยผ่านการเปิดใช้งานได้อย่างแนบเนียนแล้ว รอแค่เหยื่อหลงกลดื่มกินลงไปเท่านั้น...

หญิงสาวแกะพลาสติกครอบฝาออกอย่างไม่ได้เอะใจอันใด แต่ระหว่างเปิดฝาขวดนั้น สายตาพลันเหลือบไปเห็นกระจกมองหลัง เห็นว่ามีเงาคนนั่งอยู่บนเบาะของผู้โดยสารอยู่สองคนชายหญิง เงานั้นคุ้นตานัก

หญิงสาวเย็นหลังวาบและหันขวับไปดู เงาร่างของทั้งสองคนก็หายไป

“มีอะไรหรือ”

พัลลภถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มขุ่นมัว

“ปะ เปล่าค่ะ”

นักนินหันมาตอบ พยายามข่มเสียงให้เป็นปรกติ แต่เมื่อหันมาดูขวดน้ำในมือตน น้ำภายในขวดนั้นกลับเป็นสีแดงฉานและขุ่นคลั่กคล้ายมวลของหยดเลือดมารวมกัน

“ฮึก...”

หญิงสาวเกือบเผลอทำขวดน้ำหล่นจนกลายเป็นพิรุธ เธอใคร่ครวญจนค่อนข้างปักใจแล้วว่ารมดวลกับบุญเทือนมิได้ตั้งใจมาทำร้าย และสารที่พวกเขาต้องการส่งต่อ ก็ควรจะสมบูรณ์แล้ว แต่แล้วภาพเมื่อครู่คืออะไรเล่า...

นักนินกำขวดน้ำแน่น แต่ไม่ยอมเปิดดื่ม เธอหันออกไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง ซึ่งขณะนี้ทิวทัศน์สองข้างทางกลับดูเปลี่ยนไป กลายพื้นที่รกร้างในถนนสายเปลี่ยว หลอดไฟบนเสาบางต้นไม่ทำงาน และทิ้งระยะห่างของแสงสว่างออกไปเรื่อยๆ

“คุณอา มาผิดทางหรือเปล่าคะ”

“ทำไมล่ะ”

ครานี้พัลลภตอบกลับมาด้วยเสียงห้วนสั้น

“นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านของหนูน่ะค่ะ ถ้าคุณอาจะแวะไปที่ไหนก่อน รบกวนส่งหนูที่ถนนใหญ่ได้ไหมคะ หนูขึ้นแท็กซี่กลับบ้านเองก็ได้ค่ะ”

“ไม่เป็นไร อาไม่ได้จะแวะที่ไหน”

ชายสูงวัยตอบพร้อมกับเร่งความเร็วของรถขึ้น นักนินมองขวดบรรจุของเหลวในมือก็พบว่ายังเป็นสีแดงขุ่นข้นคลั่ก นี่ไม่ใช่การตามมาหลอกหลอน แต่เป็นสัญญาณอันตรายต่างหาก ชั่วขณะนั้น เครื่องบันทึกความทรงจำในสมองเหมือนเพิ่งจะเริ่มทำงาน

“ขอโทษครับอา ที่โทรมาดึกๆดื่นๆ”

 

“....”

 

“คือผมมีเรื่องด่วนจะขอความช่วยเหลือครับ คือผมทำตามที่อาบอกแล้วครับ ... ครับ แต่เผลอกรอกยาหนักมือไปหน่อย”

 

เสียงของภาคิมที่คุยโทรศัพท์ขณะที่เธอกำลังอยู่ในความเป็นความตาย และปลายสายนั้นเป็นใครไปเสียไม่ได้ นอกจาก

“คุณอา...”

“ยังไม่กินน้ำอีกหรือ”

“คุณอา... ไม่จริงใช่ไหมคะ”

คำถามสุดท้ายถูกพัลลภหันมาตวาดกร้าว

“กูบอกให้กินไง!!!”

ประโยคนั้นตะโกนลั่นจนนักนินสะดุ้งสุดตัว

“ตายช้าๆ ไม่ชอบ ชอบแบบที่ตายไวๆ ใช่ไหม ได้ พ่อจะสนองให้”

พัลลภบังคับรถให้ไถลลงไปข้างทาง ตั้งใจหาที่จอดเหมาะๆ แล้วหมายจะหาทางจัดการกับพยานสำคัญให้เด็ดขาด แต่ในบัดนั้นก็เกิดสิ่งที่ผิดความคาดหมาย ยังมีรถอีกคันหนึ่งขับตามหลังมาอยู่ไม่ไกล นักนินรีบหันไปตะโกนขอความช่วยเหลือ

“ช่วยด้วยค่ะ ช่ว...”

พัลลภรีบจอดรถและคว้าตัวนักนินมาปิดปากไว้ หมายใจจะให้รถคันดังกล่าวขับผ่านไปแล้วค่อยดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อ

เป็นความผิดพลาดอีกครั้งซ้ำสอง เมื่อรถคันดังกล่าวชะลอความเร็วลงและหยุดอยู่ตรงตำแหน่งขนานกันกับรถของพัลลภพอดี

บุคคลสองคนที่เดินลงมาจากรถเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ฝ่ายหญิงเดินลงมากอดอกแล้วเอียงหน้าประหนึ่งนางแบบหยุดหมุนตัวขณะโชว์ชุดฟินาเล่ สายตาระยิบระยับแพรวพราวนั้นคือฮานาโกะเป็นแน่แท้

“เฮ่ย”

พัลลภอุทานเสียงห้าว ปล่อยมือนักนินและรีบควานหาอาวุธและคิดทางหนีทีไล่

ชายหนุ่มอีกคนเดินลงจากรถของตนและอ้อมมาเปิดประตูรถให้กับนักนิน เขาคือเกนโซ พระเอกขี่ม้าขาวคนเดิมอีกแล้ว

“พวกคุณตามมาได้ยังไง”

เกนโซดึงมือของนักนินมากุมไว้ สมบัติพัสถานเพียงชิ้นเดียวที่ติดตัวเธออยู่ในคืนนี้ ก็คือโทรศัพท์มือถือของเกนโซที่เธอเผลอถือติดมือมานั่นเอง

“ขะ ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจขโมยของคุณมา”

“ไม่เป็นไรครับ ผมตั้งใจยกให้คุณอยู่แล้ว ที่สำคัญ เจ้าเครื่องนี้ช่วยชีวิตคุณไว้ได้ด้วยนะครับ”

เกนโซพูดพลางหันไปมองฮานาโกะที่ยืนยิ้มแป้นอยู่ฝั่งตรงกันข้าม แต่เมื่อเห็นพัลลภกำลังดิ้นกุกกักเหมือนกำลังควานหาอะไรบางอย่างอยู่ในรถ ก็รีบเอี้ยวตัววิ่งไปหาพี่ชาย เกนโซพาฮานาโกะและนักนินเดินหนีออกมา ระหว่างนั้นก็พยายามสรุปที่มาให้นักนินฟังสั้นๆ

เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น คือเกนโซเดินออกมาจากโรงพยาบาลพร้อมกับฮานาโกะ ชายหนุ่มครุ่นคิดและเผลอถอนใจอยู่หลายครั้งระหว่างที่เดินไปขึ้นรถ

“เป็นอะไรคะพี่ชาย”

ทั้งสองสนทนากันเป็นภาษาญี่ปุ่นเมื่ออยู่เพียงลำพัง

“ผู้ชายคนนั้น พี่รู้สึกว่าเขาไม่น่าไว้ใจอย่างบอกไม่ถูก”

“อือ แล้วทำไมปล่อยให้นักนินไปกับเขาล่ะคะ”

“พี่อยากให้เธอปฏิเสธเขาเอง แต่เธอก็ไม่ปฏิเสธ”

“พี่ชายนี่ล่ะน้า... เอาไงล่ะทีนี้”

“พี่อยากตามเขาไป”

“อ้าว แล้วจะตามยังไงล่ะคะ”

“เอาเครื่องของเธอมาสิ”

ฮานาโกะตาโต เมื่อเกนโซเปิดอุปกรณ์ในมือใช้ได้อย่างคล่องแคล่วเช่นกัน...

“ผมใช้โปรแกรมในเครื่องของฮานาโกะเพื่อติดตามหาโทรศัพท์มือถือของผมด้วยดาวเทียม ดังนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ถ้ายังไม่ปิดมือถือ พิกัดและทิศทางที่คุณไป ก็จะอยู่ในสายตาผมตลอด”

“เน่!”

ฮานาโกะฟังภาษาไทยไม่ออก แต่รู้ว่าพี่ชายกำลังพยายามอธิบาย ก็ได้แต่เป็นลูกขุนพลอยพยัก ส่วนนักนินก็ได้แต่พยักหน้า รอฟังต่อ

“เราสองคนขับตามมาตลอด แต่ปิดไฟหน้ารถเอาไว้ไม่ให้มีพิรุธ พอเห็นรถที่คุณนั่งมาเริ่มเลี้ยวเข้าทางเปลี่ยว ผมและฮานาโกะก็...”

“นี่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ พวกแกจะไปไหนไม่ได้”

ไม่ทันขาดคำ พัลลภดึงปืนออกมาจากใต้เบาะได้ ก็กระโจนลงมาจากรถและปิดประตูดังปัง เขายืนจังก้าและหันกระบอกปืนมาทางทั้งสามคนบนทางเปลี่ยว ปืนกระบอกนั้นบรรจุลูกกระสุนไว้พร้อมสรรพและพัลลภสามารถยิงได้ทันทีที่ทั้งสามขยับตัว แต่ทันใดนั้น แสงสว่างจากไฟหน้ารถตำรวจราวสี่ถึงห้าคันก็สว่างจ้า แสงไฟนั้นกราดเข้าม่านตาพัลลภจนมองอะไรไม่เห็น สัญชาตญาณทำให้วายร้ายเหนี่ยวไกยิงส่งเดชออกไปโดยไร้ทิศทาง หญิงสาวทั้งสองคนร้องกรี๊ดลั่นและเกนโซกางแขนโอบทั้งสองไว้และพาหนีลงไปข้างทาง ตำรวจกรูลงมาจากรถและใช้ประตูบังพร้อมกับใช้โทรโข่งขยายเสียงและตวาดลั่น

 “หยุด!! อย่าขยับ!! นี่คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ลดปืนลงเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าคุณขัดคำสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ”

ด้วยปริมาณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีปริมาณมากกว่า กระสุนเหลืออีกไม่กี่นัด และข้างกายก็ไร้ตัวประกัน พัลลภหยุดยิงและโยนปืนทิ้ง เขาเอามือวางไขว้เหนือศีรษะด้วยอาการตะลึงงัน

“เป็นไปไม่ได้ ตำรวจมาได้ยังไง”

พัลลภพึมพำขณะที่ตำรวจเดินเข้ามาประชิดตัวและจับใส่กุญแจมือ เกนโซบอกกับนักนินที่กลิ้งหลุนๆ มาอยู่ในอ้อมกอดว่า

“พอเห็นรถที่คุณนั่งมาเริ่มเข้าทางสายเปลี่ยว ผมก็ให้ฮานาโกะโทรเรียกตำรวจ ผมพอจะมีเส้นสายตำรวจผู้ใหญ่อยู่บ้าง พวกเขาก็เลยมากันเร็วมาก”

“เน่!”

ฮานาโกะที่อยู่ในอ้อมกอดอีกข้าง พยักหน้าอีกครั้ง ประหนึ่งว่าฟังรู้เรื่อง

“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมาก”

นักนินผละจากอ้อมกอดและลุกขึ้นนั่ง ฮานาโกะก็เช่นกัน เธอต้องรีบจัดท่าและเสื้อผ้าให้สวยก่อนที่คุณตำรวจจะมาช่วยดึงมือให้ลุกขึ้น

“อ้าว ลุกสิคะ พี่ชาย”

ฮานาโกร้องบอกเกนโซที่ยังนอนนิ่งอยู่

“ขอเวลาหน่อยนะ ดูท่าพี่จะลุกลำบาก”

แสงสว่างจากไฟหวอตวัดวาบมาทางที่ชายหนุ่มและหญิงสาวสองคนนั่งอยู่ ขณะที่เกนโซฝืนตัวลุกขึ้น นักนินจึงได้เห็นรอยเลือดปื้นใหญ่อยู่บนหัวไหล่ทางด้านหลังของชายหนุ่ม


ชั่วขณะนั้น นักนินยกมือขึ้นปิดปากและรีบเข้าไปประคองเกนโซเอาไว้
ฝ่ายฮานาโกะร้องกรี๊ดๆ และล้มทรุดลงไปอีกคราวหนึ่ง

 

- โปรดติดตามตอนต่อไป –