Print

ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๑๕๖

TEARS SERIES 
ตอนที่ 19 ๛ ภูษาโยง ๛ (บทที่ 12 : หญิงสาวในห้องใต้ดิน)

wilasinee2โดย วิลาศินี




heal-156

ขอบคุณภาพจาก http://gouhayakawa.com/small/07/breeze.html

...
...
...


นักนินเคยเลือดกำเดาไหล ตอนที่อายุ 16 ปี วันนั้นเป็นวันที่อากาศร้อนจัด คาบเรียนวิชาชีววิทยาซึ่งสอนภายในห้องปฏิบัติการ คาบวิชานั้นมีกำหนดส่งการบ้านซึ่งเป็นโจทย์ชีววิทยายาวเหยียดและให้เวลาทำมาร่วมสัปดาห์ นักนินทำเสร็จตั้งแต่สามวันแรก และมีคนมายืมสมุดการบ้านไปลอก อีกทั้งยังส่งต่อๆ กันไป ครั้นเมื่อถึงเวลาส่งงาน นักนินกลับตามหาสมุดจดการบ้านของตนเองไม่พบ นักเรียนที่เหลือก็ไม่มีใครรู้เห็น คำตอบที่ให้กับครูดูจะฟังไม่ขึ้นและเด็กสาวถูกลงโทษด้วยการให้ไปยืนนอกห้องจนกว่าจะหมดคาบหรือมีคนเอาสมุดมาคืนให้

นักนินออกไปยืนรอนอกห้องแต่โดยดี ทันทีที่ผลักประตูกระจกออกจากห้องปฏิบัติการที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ก็พบกับแดดร้อนร้อนจ้า นักนินเดินไปหาร่มเงาของเสาอาคารที่ทอดยาวลงมาเพื่อจะบังแสงแดดได้บ้าง ครูก็ผลักประตูตามออกมา มือข้างหนึ่งขยับแว่นตาส่วนอีกข้างเอาหนังสือเรียนตีผนังแล้วสั่ง

“นักนิน เธอมายืนตรงหน้าประตูเดี๋ยวนี้ ครูอยู่ข้างในมองหาเธอไม่เห็น”

“ขะ ค่ะคุณครู”

สตรีสูงวัยที่ถูกเรียกว่าคุณครูมองลอดแว่นตาของตน เหยียดยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อยก่อนจะปิดประตูแล้วหันไปว่ากล่าวเด็กนักเรียนที่เหลือในห้อง

“พวกเธอเห็นไหม ว่าเพื่อนเธอยืนตากแดดอยู่ แล้วเมื่อกี้เขาบอกว่ามีหนึ่งในพวกเธอเอาสมุดการบ้านของเขาไปแล้วไม่คืน ก็เลยไม่มีส่ง ตอนนี้ครูก็อยากรู้ว่าใครโกหก”

คุณครูจอมเฮี้ยบขยับแว่นและมองกราดไปทั่วห้องด้วยสายตาคุกคามอีกครั้ง นักเรียนแต่ละคนต่างก้มหน้านิ่ง ไม่มีใครปฏิเสธ แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ เสียงกระซิบกระซาบกันของนักเรียนชายมุมหลังสุดของห้องดังแว่วมาแค่พอระคายหู ครูสมศรีก็พุ่งรังสีอำมหิตยิงตรงไปแบบไม่ให้พลาดเป้า

“เตชิต ภาคิม เธอสองคนซุบซิบอะไรกัน”

“เออะ เอ่อ คุณครูครับ”

ภาคิมพูดพลางเบ้ปากเหมือนคนกำลังท้องไส้ปั่นป่วน ฝ่ายเตชิตที่นั่งกระอักกระอ่วนอยู่ข้างๆ อดรนทนไม่ไหว เป็นฝ่ายลุกขึ้นและขานเสียงดัง

“ผมเป็นคนเอาสมุดการบ้านของนักนินไปเองครับ”

ทั้งห้องหันขวับไปที่นักเรียนชายคนที่ลุกขึ้นมายอมรับผิด เสียงฮือฮาดังขึ้นมาระลอกหนึ่งแล้วสงบลงไปด้วยรังสีอำมหิตของครูสมศรี

“แล้วไหนล่ะ สมุด”

น้ำเสียงซักค้านอย่างมุ่งมาดจะได้คำตอบทำเอาเตชิตเองก็ปั่นป่วน

“ผะ ผมลืมไว้ที่บ้านครับ”

“อ้อ เอาของเพื่อนไปลอก แล้วทิ้งไว้ที่บ้าน แต่ของตัวเองมีมาส่งอย่างนั้นเรอะ”

“คะ ครับ”

เตชิตก้มหน้ายอมรับผิด

“งั้นก็ออกไปยืนข้างนอกด้วยกันทั้งสองคนจนกว่าจะหมดคาบ โทษฐานที่คนหนึ่งลอกการบ้าน และอีกคนก็ยังไม่ต้องเข้ามา เพราะเป็นคนให้ลอกการบ้าน”

“ครับ”

เตชิตออกมายืนทำหน้าประหลาดพิกล เหมือนคนกึ่งดีใจ กึ่งเสียใจ อย่างไรอย่างนั้น นักนินซึ่งยืนอยู่ก่อนแล้ว เห็นเตชิตเดินออกมาบ้างและเอาไหล่เบียดให้เธอได้ขยับไปที่ร่ม เด็กสาวทำหน้าค้อนเลิ่กลั่ก

“นายไม่ใช่คนยืมสมุดการบ้านเราสักหน่อย”

“เออน่า ก็ยืมต่อๆกันมา”

เตชิตแก้ต่างแบบไม่เต็มเสียงนัก

“แน่ใจนะ”

“อื้ม”

“แล้วทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”

“หน้ายังไง”

“ก็ สำนึกผิดก็ไม่ใช่ ดีใจก็ไม่เชิง”

“ก็ สำนึกผิดนิดหน่อย ที่ทำให้นิ่มต้องถูกลงโทษ แต่ดีใจที่ได้มายืนตากแดดด้วยกัน มั้ง”

เด็กหนุ่มทำเป็นพูดหยอกให้หัวเราะ และนักนินเองก็อารมณ์ดีขึ้นจริงๆ เด็กสาวส่ายหน้ายิ้มไม่ทันไรก็รีบก้มหน้า โยกตัวเหมือนคนจะจามแต่จามไม่ออก นักนินเอามือมารองจมูกไว้แล้วรีบเงยหน้า

“อ้าว เป็นอะไรนิ่ม”

“ไอ้ อ่า อู (ไม่ อย่าดู)

เด็กสาวยังคงเอามือปิดจมูกแล้วเดินหนี เตชิตเดินตามและพยายามชะโงกหน้าดูถึงได้เห็นเลือดที่ไหลออกมาจากร่องนิ้ว

“อ้าว นิ่ม เลือดกำเดาไหลนี่นา มานี่ก่อน”

คุณครูสมศรีมัวแต่สอนเพลินและเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเด็กสองคนหายไปจากหน้าประตูจึงผลักประตูออกมาดู

“นั่น เธอสองคน เดินตามกันไปไหน กลับมาเลยนะ อยากโดนไม้เรียวใช่ไหม”

ครูสมศรีรีบจ้ำอ้าวทิ้งห้องปฏิบัติการมาเดินตามเด็กนักเรียนสองคน ความสูงวัยบวกกับอารมณ์รีบร้อนทำให้ครูสมศรีหอบแฮ่กๆ พอก้าวทันก็คว้าแขนทั้งเตชิตและนักนินให้หันมา อาจารย์ผู้สูงวัยแทบจะละความสนใจจากเตชิตไปในทันทีเมื่อเห็นสภาพของนักนินที่เมื่อดึงมือออกและเด็กสาวหันหน้ามาตามแรงกระชาก เลือดก็หกรดลงมาบนปกเสื้อ

“อ้าว นี่เธอ เลือดกำเดาออกก็ไม่บอกครู นายเต้ เธอ วิ่งไปหาน้ำแข็งกับผ้าชุบน้ำมา ด่วนเลย”

ระหว่างที่คุณครูหันไปสั่ง นักนินก็รีบเงยหน้าอีก หวังว่าเลือดจะไหลย้อนกลับไป ไม่ทะลักออกมา

“ไม่ใช่แล้วนิ่ม เธอ อย่าเงยหน้า เดี๋ยวเลือดลงคอ มานั่งนี่ โน้มตัวลง ครูจะบีบปีกจมูกให้”

ครูสมศรีประคองพาเด็กสาวไปนั่งตรงม้าหินอ่อน น้ำเสียงของครูยังดุ เนี้ยบ และเฉียบขาดเหมือนเดิม แต่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงเด็กนักเรียนอย่างจริงใจ

ระหว่างนั้น เตชิตไปหาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำมาให้ และนั่งมองดูครูเช็ดเลือดให้นักนินโดยไม่มีสีหน้าท่าทางรังเกียจแต่อย่างใด พอเลือดหยุดไหล เด็กสาวเสียอีกที่เอาแต่อายแทบแทรกแผ่นดินหนี นักนินไม่รู้จะเดินกลับเข้าห้องอย่างไรในเมื่อเสื้อผ้ายังมีคราบเปรอะเปื้อน ทันใดนั้น ภาคิมก็เดินออกมาพร้อมกับถอดเสื้อแจ็คเก็ตสีดำมาคลุมให้

“เป็นอะไรมากไหมนิ่ม”

ภาคิมย่อตัวลงถามเด็กสาวที่นั่งอยู่อย่างร้อนรน เด็กนักเรียนคนอื่นๆ พากันชะเง้อชะแง้ออกมาจากห้องปฏิบัติการ ครูสมศรีต้องโบกมือไล่ให้ทุกคนกลับเข้าห้อง

“เอ้า นายเต้ นายคิว พายายนิ่มไปนอนพักที่ห้องปฐมพยาบาล แล้วห้ามเกเรกันอีกล่ะ”

“ครับ คุณครู”

เตชิตกับภาคิมรับปากแทบจะพร้อมกัน นักนินก้มหน้างุดเดินตามเพื่อนสองคนไปส่งที่ห้องปฐมพยาบาล คุณครูในห้องปฐมพยาบาลจัดเตียงให้นักนินล้มตัวลงนอนและไล่ให้นักเรียนชายทั้งสองคนกลับไปเรียนต่อ เด็กชายทั้งสองคนกลับไปโดยไม่รู้หรอกว่า นักนินจะผลุนผลันลงมาจากเตียงและเดินตามมาเพราะจะเอาเสื้อคืนให้กับภาคิม แต่ก็หยุดเดินเสียดื้อๆ เมื่อได้ยินบทสนทนาส่วนตัวของเพื่อนชายทั้งสอง

“ขอบใจมากว่ะเพื่อน”

“เออ แล้วเย็นนี้กลับบ้านไปเอาสมุดนิ่มมาคืนให้เราเลยนะ ถ้าไม่ใช่นาย เราไม่ช่วยหรอกนะโว้ย”

“เออน่า ก็ขอบใจแล้วไง เราอายนี่นา ที่จะให้นิ่มรู้ว่าเราเป็นคนทำ เราอยากเป็นฮีโร่ในสายตานิ่มให้ได้ตลอด”

“เออๆ เรารู้ เราเข้าใจว่ะ”

เตชิตยกแขนขึ้นมากอดคอเพื่อนแล้วเขย่าและพากันเดินไปด้วยกัน นักนินหยุดยืนอยู่เบื้องหลังและตัดสินใจไม่เรียกให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนหันกลับมา จากนั้น เรื่องราวเหล่านั้นก็ถูกลืม ไม่สิ แกล้งทำเป็นลืมตลอดเวลาที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้





อากาศในห้องใต้ดินเวลาเที่ยงทั้งร้อนและเหม็นอับ นักนินเบือนสายตามองไปในมุมใต้บันไดที่แสงแดดส่องเป็นเส้นสายตัดผ่านบานพับของประตูลงมา นั่นเป็นจุดสว่างเพียงจุดเดียวและพอจะทำให้ทั้งห้องไม่มืดมนอันธกาลไปเสียทั้งหมด  

60 กว่าชั่วโมงที่เริ่มคุ้นชินกับความมืด นักนินคาดคะเนเวลาจากการลงมาให้ข้าวให้น้ำของเกนโซในแต่ละวัน แต่ละครั้งแทบไม่มีการพูดจากันระหว่างผู้คุมกับนักโทษ หากแต่ไม่ใช่ด้วยอาการหมางเมิน แต่เป็นการยอมรับในบทบาทหน้าที่ของตนโดยดุษฎีของทั้งสองฝ่าย ประตูที่ปิดลง สร้างความหวาดผวาและทรมานให้เธอในวันแรก ความร้อนรุมซึมซ่านอยู่ในทุกรูขุมขนจนอยากล้มตัวลงกลิ้งเกลือกไปทั่วห้อง แต่ถ้าทำอย่างนั้น ก็เท่ากับเธอแพ้อิทธิพลมืดที่เข้ามาครอบงำร่างกายและจิตใจ เมื่ออารมณ์พุ่งพล่านเกิดขึ้น นักนินใช้วิธีโขกหัวเข้ากับเสาที่นั่งพิงอยู่จนรู้สึกเจ็บเพื่อสะบัดความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้นทิ้งไป ทำอย่างนั้นซ้ำๆ จนเริ่มรู้สึกร้าวเข้าไปในกะโหลกค่อยเห็นว่าไม่ใช่หนทางที่ดีนัก จึงเอนตัวนั่งพัก หญิงสาวจับตามองแสงที่ลอดเข้ามาทางใต้บันไดด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายลง

และมันได้ผล...

เสียงและภาพที่ตามมาหลอกหลอนค่อยคลายลง นักนินเริ่มได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นในจังหวะปรกติ ลมหายใจเข้าและออกขยับตามจังหวะที่ควรเป็น แม้ตอนกลางคืนที่ไม่มีแสงนั้น นักนินยังหลับตานึกถึงแสงสว่างและเอาความรู้สึกทั้งหมดจับไว้ที่ลมหายใจ เมื่อภาพหลอนที่น่ากลัวและเสียงในภาษาประหลาดยังคงตามมาแต่หญิงสาวก็ทำปิดหูปิดตาไม่รู้เห็น ไม่สนใจ ภาพและเสียงนั้นก็กลับรางเลือนไปเหมือนอากาศที่ไร้สภาพ จนกระทั่งในหัวไม่มีเสียงหรือภาพน่ากลัวตามมาหลอกหลอนอีกต่อไป

ในวันสุดท้าย นักนินยังคงนั่งมองเส้นแสงนั้นด้วยความหวัง อีกไม่นานเกนโซคงจะให้โอกาสเธอได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่โดยไม่รู้ว่า ชีวิตจะเดินทางอย่างไรต่อไป วันนี้อากาศช่างร้อนอบอ้าวกว่าทุกๆ วัน นักนินปาดเหงื่อด้วยแขนข้างซ้าย จากนั้นจึงหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มแต่ก็พบกับความว่างเปล่า น้ำหมดตั้งแต่ตอนสายๆ ถึงแม้เกนโซจะคอยเอาขนมปัง นม และน้ำมาเติมให้เรื่อยๆ แต่อาหารเหล่านั้นก็หมดไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน และเวลานี้แม้แต่น้ำก็ไม่มีเหลือ หญิงสาวพยายามกวาดตามองเผื่อว่าเกนโซจะทิ้งน้ำขวดอื่นเอาไว้ในที่ที่เธอมองไม่เห็น

เปาะ... เปาะ...

เสียงของเหลวหยดลงบนพื้นพร้อมกับความรู้สึกอุ่นๆ ที่จมูก นักนินยกมือสองข้างที่ถูกผูกไว้เช็ดจมูกของตัวเองแล้วเพ่งดู เงารางเลือนที่ปรากฏบนผืนผ้าทำให้แน่ใจว่าเป็นเลือดกำเดาของเธอจริงๆ

นี่เธอไม่เคยเลือดกำเดาออกมานานเท่าไรแล้วนะ...

แทนที่จะตกใจ หญิงสาวกลับตั้งสติได้ และยังคงโน้มตัวไปข้างหน้าตามที่ครูสมศรีเคยสอนไว้ สองมือที่ถูกมัดควานหากะละมังที่เกนโซทิ้งไว้ให้ใช้บรรจุของเสียมาวางตรงหน้า พร้อมกับปล่อยให้เลือดหยดไหลลงมาโดยไม่เลอะพื้นห้อง ในเวลานั้น หญิงสาวพลันนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต

10 ปีผ่านไป เรื่องราวบางอย่างยังคล้ายซ้ำรอยเดิม เพียงแต่เวลานี้ ผลลัพธ์เลวร้ายและรุนแรงกว่าหลายเท่า


ภาคิมทำผิดแต่ยังคงไม่ยอมรับผิด...
เตชิตแบกรับความผิดแทนเพื่อนได้เสมอ...

และนักนินเป็นผู้ได้รับผลพวงในเหตุการณ์ และยิ่งครั้งนี้เรียกว่าสาหัสสากรรจ์เลยก็ว่าได้

โดยที่เธอก็ยังปฏิบัติอย่างเดิม คือแกล้งทำเป็น ไม่รู้ และ เออออไปกับเตชิตที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิท แม้เตชิตเสียชีวิตไปก็ยังมีภาคิม ที่แม่พูดเสมอว่าครอบครัวเขามีบุญคุณกับครอบครัวเราอย่างล้นเหลือ เพียงเท่านั้น ที่ทำให้ทั้งเธอและเตชิตต่างช่วยกันปกป้องคนผิดเสมอมา

เลือดจากจมูกยังคงซึมไหล ของเหลวสีแดงข้นค่อยๆหยดลงกะละมังหยดแล้วหยดเล่า จนเกนโซเดินเอาอาหารมาเปลี่ยนให้ เดิมทีสายตาเขายังปรับไม่คุ้นกับความมืด เพียงเห็นเงาตะคุ่มๆของหญิงสาว ก็เข้าใจว่าเธอยังอยู่ในท่านั่งเป็นปรกติดีอยู่อย่างเช่นทุกครั้ง

“อีกแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้นนะครับ คุณก็จะได้เป็นอิสระแล้ว”

เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ

ชายหนุ่มเริ่มได้กลิ่นเลือดและเขม้นมองหญิงสาวให้ชัดขึ้น จึงเห็นว่านักนินกำลังก้มหน้า เมื่อเอื้อมมือไปจับไหล่และดันให้เธอยืดตัวตรงขึ้นมาก็เห็นเลือดไหลออกจากจมูกเป็นทางและหยดลงเปรอะเสื้อผ้า เกนโซตกใจและรีบหยิบขวดน้ำเย็นที่พกลงมาเทน้ำใส่ผ้าขนหนูแล้วเอามาซับเลือดให้

“คุณ เป็นอะไรมากไหมครับ โธ่ เลือดกำเดาไหล แล้วทำไมไม่ตะโกนเรียกผมให้มาช่วย”

นักนินรับผ้าขนหนูเปียกมาซับเลือดตัวเองและกดที่ปีกจมูกเอาไว้ตามที่ครูสมศรีเคยสอน หญิงสาวทำแต่ละขั้นตอนอย่างช้าๆ และไม่ตระหนกตกใจ ทั้งยังทำให้เลือดหยุดไหลในเวลาไม่นานนัก

“ขอโทษค่ะ”

หญิงสาวพูดออกมาเป็นคำแรกของวัน

“เลือดหยุดไหลแล้วค่ะ คงเพราะอากาศร้อนและไม่ค่อยถ่ายเท บวกกับเครียดด้วย ฉันเคยเป็นอย่างนี้แล้วค่ะ สมัยเด็กๆ”

นักนินตอบด้วยท่าทีของคนที่มีสติครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีท่าทางเคลิบเคลิ้ม งุนงง หรือหวาดผวาเหมือนเมื่อสามวันก่อน เธอซับเลือดจากจมูกแค่พอบรรเทาและยื่นผ้าคืนให้กับชายหนุ่มโดยไม่รู้สึกอายหรือขายหน้าแต่อย่างใด เกนโซเห็นในความอัปลักษณ์ของเธอมาเกือบครบทุกอย่างแล้ว เห็นอีกสักอย่างจะเป็นไรไป นักนินเอนหลังพิงเสาด้วยเข้าใจว่าเขาคงจะลุกเดินจากไปเหมือนเช่นทุกครั้ง

แต่เปล่าเลย...

ชายหนุ่มรับผ้าเปื้อนเลือดออกจากมือหญิงสาวไปพับด้านที่ติดคราบเลือดไว้อีกทาง ส่วนด้านที่ยังสะอาดนำมาชุบน้ำและเช็ดตามใบหน้าและลำคอของจำเลยที่อยู่ตรงหน้า เมื่อขยับเข้าไปมองใกล้ๆ เกนโซจึงได้เห็นหน้าผากของหญิงสาวที่บวมนูนและมีรอยฟกช้ำ เขาเกลี่ยผมของเธอให้เข้าที่เข้าทางขึ้นและเพื่อจะดูแผลได้สะดวก นักนินเงยหน้าขึ้นมาอย่างประหลาดใจ เธอเห็นเกนโซที่เต็มไปด้วยสายตาเป็นห่วงและเริ่มเบนหน้าหนี ชายหนุ่มเสียอีกที่เป็นฝ่ายโน้มตัวตามและขยับเข้ามาใกล้ ในระยะประชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รินรดกัน บวกกับความมืดสลัวของบรรยากาศรอบตัว ทำให้ต่างฝ่ายต่างเริ่มมีกระแสบางอย่างหมุนวนอยู่ภายในร่างกาย เกนโซจ้องมองดวงตาวาวใสหล่อเลี้ยงไว้ด้วยหยาดน้ำพร่าพรายของหญิงสาว เท่านั้นก็เหมือนถูกดูดกลืนเข้าไปอยู่ในห้วงอวกาศ นักนินเองก็นิ่งอึ้งและทำอะไรไม่ถูก ปล่อยให้ชายหนุ่มโน้มตัวลงมาใกล้จนริมฝีปากของทั้งสองฝ่ายเกือบแนบชิดกันสนิท

 

ปิ๊งป่อง... ปิ๊งป่อง...

ปิ๊งป่องๆ ปิ๊งป่องๆ ปิิ๊่งป่องๆ


ระฆังช่วยคือเสียงออดที่ถูกกดอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน รอบแรกกดสั้นๆ ห่างๆ อย่างเกรงใจ แต่รอบหลังกดรัวๆ เร็วๆ เมื่อผู้มาเยือนเห็นรถของเจ้าของบ้านที่จอดอยู่ในโรงรถ เสียงกริ่งปลุกให้ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวตื่นจากภวังค์และผละออกจากกัน

“ผมขอตัวไปดูว่าใครมาก่อนนะครับ”

“อื้อ ค่ะ”

นักนินพยักหน้าและกัดริมฝีปากแก้เขิน เกนโซรีบเดินขึ้นบันไดจากชั้นใต้ดินพร้อมกับปิดประตูเอาไว้อย่างไม่สนิทนักด้วยเวลาจำกัดและเสียงกดกริ่งที่ดังซ้ำๆ เหมือนคำบัญชาว่าถ้าเขาไม่เปิดประตูไปรับ ผู้มาเยือนก็จะกดไม่หยุดอยู่เช่นนั้น

“มาเปิดช้าจังค่ะพี่ มัวแต่ทำอะไรอยู่คะ”

ผู้มาเยือนเป็นหญิงสาวน้ำเสียงเจื้อยแจ้วสดใสแต่ก็แฝงไว้ด้วยอำนาจอยู่หลายส่วน แว่วเพียงน้ำเสียงซึ่งพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นโดยที่นักนินไม่รู้ความหมาย แต่คาดเดาว่าเป็นคำบ่นอะไรสักอย่าง ยังเดาไม่ได้ว่าอายุสักเท่าไร หญิงสาวยังคงนั่งนิ่งสังเกตการณ์อยู่ที่เดิมไม่ลุกไปไหน

“เปล่านี่ ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไรได้ยังไงคะพี่ ตายแล้ว แขนเสื้อพี่เปื้อนเลือด ไปโดนอะไรมาหรือเปล่าคะ”

มันคือหยดเลือดจากเลือดกำเดาของนักนินที่เขาเช็ดให้หญิงสาวเมื่อครู่ แต่เกนโซยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ

“เปล่า”

“อืม ไม่เห็นมีแผลอะไรตรงไหนนี่นา หรือว่า พี่ซ่อนอะไรไว้ในบ้าน? ขอน้องเข้าไปดูหน่อยสิคะ”

“เดี๋ยวก่อนฮานาโกะ อย่าเพิ่งเข้าไป”

ไม่ทันเสียแล้ว ฮานาโกะผลักประตูบ้านเข้าไปด้านในและเห็นว่าประตูของห้องใต้ดินปิดไว้อย่างลวกๆ ด้วยสัญชาตญาณของหญิงสาวว่าต้องมีอะไรผิดปรกติอยู่ที่นั่น เธอดึงบานประตูขึ้นและเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ในห้องใต้ดินนั้น เธอพบกับนักนินในสภาพถูกมัดมือมัดเท้า ผมเผ้ารุงรัง หน้าผากฟกช้ำ และเสื้อผ้ายังโชกไปด้วยเลือด


ฮานาโกะถึงกับเข่าอ่อนทรุดและล้มตึงลงกับพื้นห้อง ด้วยเข้าใจว่าพี่ชายของตนกลายเป็นฆาตกรโรคจิตไปเสียแล้ว



 

- โปรดติดตามตอนต่อไป