Print

ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๑๕๑

TEARS SERIES 
ตอนที่ 13 ๛ ภูษาโยง ๛ (บทที่ 7 : มโนที่หลอกหลอน)

wilasinee2โดย วิลาศินี




heal-151

ขอบคุณภาพจาก : http://agnes-cecile.deviantart.com/art/If-I-may-and-if-I-might-315013791

นักนินยังคงอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ก่อนหน้านั้นแพทย์มาตรวจดูอาการและสั่งยาสองสามรายการ จากนั้นพยาบาลที่ดูแลในตอนเช้าเข้ามาถอดสายน้ำเกลือและแจ้งรายการชำระเงิน แล้วพาเกนโซลงไปชำระที่เคาน์เตอร์ด้านล่าง ห้องพักสีขาวตกอยู่ในความเงียบสักพัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

ก๊อก.. ก๊อก.. ก๊อก..

เนื่องจากคนอื่น ๆ เพิ่งออกไป ประตูจึงไม่ได้ล็อค ผู้เคาะเคาะเสร็จก็ผลักประตูเข้ามาได้โดยง่ายดาย นักนินใจเต้นตึกตักด้วยไม่รู้ว่าใครหรืออะไรที่อยู่หลังประตูบานนั้น หญิงสาวจึงค่อย ๆ ชะโงกหน้ามอง และแล้วก็โล่งอกเมื่อเห็นพยาบาลในชุดขาวโผล่หน้าเข้ามาโดยกล่าวขออนุญาตเป็นภาษาญี่ปุ่นเสียงสดใส

失礼します。” (ขอเข้าไปหน่อยนะคะ)

คะ?”

นักนินอุทานได้คำเดียวก็ยกมือขึ้นปิดปากเมื่อนึกขึ้นได้ ว่าเวชระเบียนลงชื่อของตนไว้ว่าเป็นคนญี่ปุ่น ดังนั้นหากพยาบาลพูดภาษาญี่ปุ่นได้จะเข้ามาทักทายด้วยภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จะให้ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างไรได้ ในเมื่อเธอเองก็รู้อยู่ไม่กี่คำเท่านั้น

ไฮ่...

นักนินพยักหน้าและตอบรับสั้น ๆ พยาบาลคนดังกล่าวยิ้มกว้างขึ้นและเดินเข้ามาพร้อมกับถุงยาและชุดที่เกนโซฝากไว้ให้ เธอพยายามจะพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกหลายประโยค นักนินได้แต่พยักหน้าและตอบรับด้วยพยางค์เดิมก่อนจะกระซิบบอกเบา ๆ

พูดภาษาไทยก็ได้ค่ะ

อา... พูดไทยได้ด้วยหรือคะ

พยาบาลคนดังกล่าวร้องอย่างเสียความมั่นใจไปอีกครั้งหนึ่ง พลางนึกในใจว่า ทำไมเจอแต่คนญี่ปุ่นพูดไทยได้ทั้งนั้นเลยนะ นี่เธออุตส่าห์ไปเรียนภาษาต่างประเทศมาตั้งหลายภาษา แต่ละภาษาก็เป็นที่นิยมกันทั่วโลก ไม่นึกว่าประเทศญี่ปุ่นกลับมีวิวัฒนาการที่สวนทาง ถึงขนาดให้ประชากรฝึกฝนจนพูดภาษาไทยได้เป็นรายคน นักนินเห็นพยาบาลสาวทำท่าเก้ๆ กังๆ ค่อยโล่งใจ และรีบขยายผลด้วยการพูดภาษาไทยตะกุกตะกักปนสำเนียงญี่ปุ่น ที่เธอเองก็ฟังได้คุ้นหูอย่างน่าประหลาด

ได้นิดๆ หน่อยๆ ค่ะ แต่ก็อยากฝึกภาษาไทยบ้าง

โอ... ก็ได้ค่ะ

เข้าใจล่ะ...

พยาบาลสาวนึกในใจ ที่เคยได้ยินว่าคนญี่ปุ่นจะไม่ยอมพูดภาษาอื่นเลยนั้นคงไม่จริงสินะ ดูอย่างคุณผู้หญิงคนนี้สิ หลงเสน่ห์ภาษาไทยจนได้ ถึงเลิกพูดภาษาญี่ปุ่นไปโดยปริยาย คิดได้ดังนั้น พยาบาลคนเก่งจึงหันมาพูดภาษาไทยช้าๆ ชัดๆ กับคนป่วยที่นั่งรอฟังอยู่

นี่ยา... นี่เสื้อผ้า... ค่ะ คุณผู้ชายเขาฝากมาให้คุณเปลี่ยน

ฟังพยาบาลสาวพูดช้าๆ นักนินทำทีเป็นพยักหน้าให้ความสนใจและพลอยอมยิ้ม พยาบาลคนนี้คงเพิ่งมารับเวรใหม่และไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น เพราะช่วงชุลมุนไม่มีใครพูดภาษาญี่ปุ่นกับเธอเลย บทสนทนาตลอดภาคเช้าเป็นภาษาไทยโดยไม่มีใครผิดสังเกต แต่เอาเถอะ เดี๋ยวเธอก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว คงไม่มีใครสงสัยอะไรหรือถึงกับต้องมานั่งจับพิรุธ ในทางกลับกัน พยาบาลคนนี้ก็ท่าทางใจดีและมีท่าทีที่เป็นมิตร คอยชวนคุยและยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา สมกับที่โรงพยาบาลคัดสรรมาเพื่อสร้างความประทับใจก่อนผู้ป่วยกลับบ้าน

ทางฝ่ายหญิงสาวเองเมื่อนอนเต็มอิ่มและได้รับน้ำเกลือครบ 2,000 ซีซี ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นกว่าคืนที่ผ่านมา ประกอบกับอาหารของโรงพยาบาลที่แม้จะแสนจืดชืด แต่ก็พออิ่มท้องและมีเรี่ยวแรงกลับคืนมา ระหว่างอธิบายการใช้ยา พยาบาลสาวบังเกิดความรู้สึกถูกชะตากับผู้ป่วยรายนี้อย่างน่าประหลาด เมื่อได้นั่งมองใกล้ๆ ดวงตาหวานปนเศร้านั้นชวนให้สงสาร ให้ค้นหา และน่าเห็นใจตั้งแต่แรกเห็น ฝ่ายหญิงสาวที่ถูกจ้องมองกลับดูสงบปากสงบคำและนั่งนิ่งคล้ายจะถือตัวก็ไม่ใช่ หรือหวาดกลัวโดยใช่เหตุก็ไม่เชิง

รายการยาก็มีเท่านี้ค่ะ มีอะไรสอบถามเพิ่มเติมไหมคะ

ไม่มีค่ะ แต่เอ่อ...

นักนินก้มมองชุดผู้ป่วยที่ตนเองสวมอยู่

มาค่ะ เดี๋ยวดิฉันช่วยเปลี่ยนชุดให้

ชุดที่เกนโซเตรียมไว้ให้เป็นเดรสสีขาวกระโปรงคลุมเข่าสีครีมขนาดพอดีตัว พร้อมอุปกรณ์แต่งหน้าเบาๆอีกหนึ่งชุด พอแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จแล้วพากันไปยืนหน้ากระจก นักนินแทบจะลืมรูปร่างหน้าตาตัวเองที่ปรกติใส่แต่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ไปเสียสนิท ไหนจะแป้งเนื้อละเอียดที่เพียงทาบางๆ ก็ปกปิดร่องรอยที่ซีดเซียวและดูนวลเนียนขึ้นมาทันตาเห็น ลิปสติกสีชมพูอมส้มรับกับริมฝีปากได้รูป ดินสอเขียนตาที่แต่งแต้มแล้วดวงตาคมและดูกลมโตขึ้น เมื่อมองตลอดร่างเพรียวระหงนั้นยิ่งสวยจับตาจนคนใส่ชุดพยาบาลที่อยู่ข้างๆ นึกอิจฉา แต่ก็เอ่ยปากชมออกมาในที่สุด

สวยมากค่ะ คุณนัตสึกิ ดูไม่เหมือนผู้หญิงอายุสามสิบเลย เอ่อ ดิฉันหมายถึง ผู้หญิงญี่ปุ่นนี่ ดูอ่อนกว่าวัยจริงๆนะคะ

คำชมของพยาบาลสาวไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริง แต่เรื่องจริงคือนักนินเพิ่งอายุเพียง 23 ปี ไม่ใช่ 30 ปีตามอายุในบัตรประชาชนของนัตสึกิ พอได้ยินพยาบาลออกปากชมจึงได้แต่ยิ้มและก้มหน้า

ขอบคุณค่ะ

失礼します。

(ขอเข้าไปหน่อยนะครับ)

เกนโซชำระเงินเสร็จเรียบร้อยและกลับขึ้นมารับภรรยาที่ห้องพัก เขาขออนุญาตเข้าห้องอย่างสุภาพ และเมื่อก้าวเท้าเข้ามาเห็นนักนินยืนรออยู่กับนางพยาบาล ก็ให้ถึงกับนิ่งมองอย่างตกตะลึง ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ต่างกับหญิงสาวที่นอนแบ่บอยู่บนเตียงเมื่อรุ่งสางราวกับคนละคน ชายหนุ่มเผลออุทานอย่างลืมตัว

すてきな…”

(สวยเหลือเกิน...)

พยาบาลสาวที่ฟังออกและรู้ว่าสามีปลื้มภรรยาขนาดไหนก็พลอยยิ้มเบิกบาน ส่วนนักนินซึ่งไม่รู้ว่าเกนโซพูดอะไรก็ได้แต่ก้มหน้านิ่ง ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้คล้ายจะยื่นมือมากอด แต่แล้วก็เลื่อนไปหยิบถือถุงยาไปถือไว้ ก่อนจะหันไปโค้งให้พยาบาลสาว

ขอบคุณนะครับที่ดูแลภรรยาผมอย่างดี

เกนโซพูดภาษาไทยคล่องปร๋อ ทำเอาพยาบาลสาวที่ตั้งท่าจะสนทนาเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยต้องอ้าปากค้างอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะแก้เขินด้วยการพนมมือไหว้

ขอบคุณเช่นกันค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

นักนินและเกนโซยกมือขึ้นรับไหว้และขอตัวกลับ ระหว่างที่กำลังจะออกจากโรงพยาบาล เสียงโอเปอร์เรเตอร์ทำการประกาศออกลำโพงทั่วทุกจุดดังขึ้นมาแทรก

มีโค้ด 40 ที่แผนกฉุกเฉินค่ะ

มีโค้ด 40 ที่แผนกฉุกเฉินค่ะ

มีโค้ด 40 ที่แผนกฉุกเฉินค่ะ

หลังจากนั้น เป็นที่สังเกตได้ว่า เจ้าหน้าที่ภายในโรงพยาบาลเริ่มเคลื่อนไหวผิดปรกติ บุคลากรในชุดขาวหลายคนเดินตรงไปที่แผนกฉุกเฉิน หากผู้ป่วยที่นั่งรอตรวจเดินเข้าไปสอบถาม ก็จะได้รับการแจ้งจากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ว่ามีอุบัติเหตุที่มีการนำส่งผู้ป่วยจำนวนมากมายังโรงพยาบาล การสัญจรอาจติดขัดบ้าง และยังมีเจ้าหน้าทีอีกจำนวนหนึ่งไปยืนรอท่าตรงทางออก เพื่อคอยแนะนำเส้นทางที่สะดวกสำหรับคนที่ต้องการออก และคอยกันคนที่ทะลักเข้ามามุงดูตรงทางเข้า

ในความชุลมุนวุ่นวายนั้น ภาคิมกับนักนินคลาดกันอีกครั้งเพียงเสี้ยววินาที ด้วยชายหนุ่มเลือดร้อนต้องการออกไปจากโรงพยาบาลโดยไว เขาสตาร์ทรถและขับออกไปก่อนที่เกนโซและนักนินจะไปถึงลานจอดรถ

เมื่อนักนินนั่งรถออกมาโดยมีเกนโซเป็นผู้ขับรถให้ ฝั่งซ้ายมือที่มีรถจอดอยู่ตรงหน้าห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล หญิงสาวหันกลับไปมองดูเหตุการณ์ สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับสติกเกอร์แปะที่ข้างรถและท้ายรถกระบะใส่หลังคา เป็นชื่อมูลนิธิบรรเทาสาธารณภัยแห่งหนึ่งซึ่งนักนินจำได้ไม่มีวันลืม และชายวัยกลางคน ผิวคล้ำรูปร่างสันทัดในชุดอาสาสมัครคนหนึ่งกำลังขนผู้บาดเจ็บลงมาจากรถ เขาหันหน้ามาสบตากับเธอพอดี

นักนินเหลียวมองชายผู้นั้นจนสุดทาง ก่อนที่เกนโซจะเลี้ยวรถออกจากโรงพยาบาลไปในที่สุด

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *

นพพรรู้สึกว่ามีสายตาจ้องมองอยู่จึงหันหลังกลับไปดู สายตาคู่นั้นมองผ่านกระจกหน้าต่างรถติดฟิล์มกันแสงจึงทำให้เขามองเห็นหน้าคนในรถไม่ถนัดนักแต่ก็รู้สึกว่าคุ้นตายิ่ง ประสบการณ์ที่ผ่านการช่วยเหลือคนมายาวนานทำให้เขาสัมผัสได้ว่าแววตาและท่าทางที่ส่งมานั้น เป็นสัญญาณที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ แต่ก็เพียงวูบเดียวเท่านั้น รถคันนั้นก็เคลื่อนผ่านไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาจึงหันกลับไปช่วยไอ้หงุนปลดเข็มขัดนิรภัยที่รัดตัวผู้ป่วยออกจากเปลสนามและช่วยกันยกผู้ป่วยขึ้นเตียงพยาบาล เมื่อผู้ป่วยคนสุดท้ายถูกลำเลียงเข้าห้องฉุกเฉินเรียบร้อย สองหนุ่มต่างวัยจึงปลีกตัวไปนั่งพักที่ท้ายรถ

เหลือเชื่อนะเฮีย แมร่... เป็นไปได้ไง รถทัวร์เทกระจาดตอนกลางวันแสกๆ

ไอ้หงุนยกหลังมือขึ้นซับเหงือ ยังไม่ทันเอามือลง นพพรก็ยื่นผ้าเย็นให้

ขอบคุณครับเฮีย รู้ใจหงุนจริงๆ

ไอ้หงุนรับผ้าเย็นมาซับ ยังไม่ทันวางผ้าเย็น ธนบัตรแบงค์ละร้อยก็ถูกนำมายื่นให้

ซับเหงื่อแล้วก็เอานี่ไป จะกินอะไรก็สั่งใส่กล่องมา อย่าลืมซื้อกาแฟให้เฮียกระป๋องนึงด้วย

ไอ้หงุนรีบต๊ะเบ๊ะในทันใด มันเข้าใจในทันทีว่าเฮียนพของมันก็เริ่มอ่อนแรงแต่ไม่ยอมออกปากใช้ ทำเป็นยื่นผ้ายื่นเงินให้ ที่จริงหากนพพรใช้ให้หงุนไปซื้อข้าวซื้อกาแฟให้ตรงๆ มันก็พร้อมจะทำทันที

เฮียรออยู่นี่แป๊บนะ เดี๋ยวหงุนมา

เจ้าตัวรับเงินแล้วมุ่งหน้าไปยังร้านขายข้าวราดแกงที่ใกล้ที่สุด ส่วนนพพรเอนหลังพิงท้ายรถแล้วหลับตาพักเพื่อขับไล่ความเหนื่อยล้า เรี่ยวแรงของเขาเริ่มลดลงไปตามอายุขัยที่เพิ่มขึ้น นี่ก็ไม่รู้ว่าจะทำงานแบบนี้ไปได้อีกนานเท่าใด

คุณหมอ... คุณหมอหรือเปล่าคะ

เสียงเรียกดังแว่วอยู่ข้างหู นพพรลืมตาแล้วหันไปมอง จึงพบว่าเป็นเสียงเรียกของหญิงสูงวัยคนหนึ่ง นางใส่เสื้อคอกระเช้านุ่งผ้าถุงสีน้ำตาลแดงเดินถือตะกร้าใส่ของฝาก เข้ามาทักด้วยสีหน้าและแววตาเปี่ยมศรัทธาเต็มที่

เอ่อ...

นพพรหันซ้ายหันขวา ไม่ได้มีใครที่สวมเสื้อกาวน์อยู่บริเวณนั้น เขายิ้มและส่ายหน้า แต่คุณป้าก็ยังเดินตรงรี่มาที่เขา

โอ๊ย ป้าดีใจจังเลย ตอนอยู่ที่เก่าไปโรงพยาบาลกี่ครั้งก็ไม่เคยเจอคุณหมอ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้มาเจอกันที่นี่ แล้วทำไมคุณหมอแต่งตัวชุดนี้ล่ะจ๊ะ

หญิงสูงวัยซักไซ้อย่างกระตือรือร้น นพพรส่ายหน้าร้องบอกก่อนขยับตัวถอยหนี

ไม่ใช่ครับ ผมว่า ป้าจำคนผิดแล้วล่ะครับ

ไม่ผิดหรอก ป้าน่ะแก่แล้วแต่ยังความจำดีนา ถึงจะสิบปีมาแล้วก็เถอะ ป้าจำคุณหมอนพพรได้ คุณหมอน่ะสิ จำป้าไม่ได้ ที่ยืนร้องไห้อยู่หน้าห้องผ่าตัด ฉันเห็นหมอเดินเข้าไปแล้วกลับออกมา ท้ายที่สุด หมอก็ช่วยชีวิตลูกชายฉันเอาไว้ได้

ภาพในความทรงจำเมื่อประมาณ 10 ปีก่อนเริ่มฉายซ้อน หญิงสูงวัยตรงหน้ามีริ้วรอยน้อยกว่าปัจจุบัน แต่เวลานั้นใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตา สองมือและเสื้อผ้าก็เต็มไปด้วยคราบเลือด

คุณหมอขา ช่วยชีวิตลูกชายฉันด้วยนะคะ

ลูกชายของเธอถูกนำเข้าห้องผ่าตัดโดยเร่งด่วน และเขาถูกตามให้ไปช่วยผ่าตัดเอาเหล็กที่ฝังอยู่ตรงชายโครงออก ทีมงานในชุดสีเขียวเข้มเดินวนอยู่รอบห้อง นายแพทย์หนุ่มเปลี่ยนชุดและเดินเข้าห้องผ่าตัดอย่างฉับไว ทันทีที่เขาก้าวเข้าไป ทุกคนหลีกทางให้ แสงไฟสว่างจ้า มีดผ่าตัด ชิ้นเนื้อ และกลิ่นคาวเลือดที่คุ้นชิน การผ่าตัดใช้เวลานานร่วม 4 ชั่วโมงแต่ก็สามารถรักษาชีวิตผู้ป่วยเอาไว้ได้ ทุกอย่างเป็นไปราวกับปาฏิหาริย์ เหตุการณ์นั้นคงทำให้ผู้เป็นแม่จดจำไว้ไม่รู้ลืม นพพรนึกขึ้นได้แต่ยังคงส่ายหน้า

คงแค่คนหน้าคล้ายน่ะครับ และหมอที่ไหนจะมาใส่ชุดอาสาสมัคร ป้าช่วยหลีกทางด้วยนะครับ ผมจะเอารถออก

อาสาสมัครวัยกลางคนหันหลังให้ แล้วเดินไปดึงกระโปรงรถกระบะขึ้นมาปิดปัง ตามด้วยปิดประตูหลังคารถด้านหลัง สตรีสูงวัยคนดังกล่าวเริ่มถอยกลับไปด้วยท่าทางงุนงงและผิดหวัง ฝ่ายไอ้หงุนไม่รู้อิโหน่อิเหน่หิ้วกล่องข้าวส่งเสียงร่าเริงมาแต่ไกล

มาแล้วเฮีย ผัดกะเพราหมูไข่ดาวของโปรดเฮีย พร้อมกาแฟหนึ่งกระป๋อง รวดเร็วทันใจสมชื่อไอ้หงุน

ขึ้นรถเลยหงุน ไปหาที่จอดกินข้างหน้า

นพพรเลี่ยงไปขึ้นรถโดยไม่บอกลา ไอ้หงุนหันซ้ายหันขวาแล้วกระโดดขึ้นรถตามประสาคนคิดน้อย มันนึกในใจว่าไปหาที่จอดกินข้างหน้าก็ดีเหมือนกัน กินข้าวหน้าโรงพยาบาลมันให้อารมณ์สุนทรีเสียที่ไหน

คิดเพียงเท่านั้น ไอ้หงุนจึงไม่ผิดสังเกตแต่ประการใด เมื่อเห็นเฮียนพของมันขับรถไปด้วยอาการเงียบขรึมและปิดปากสนิทไม่เอ่ยอะไรสักคำ มันเดาว่าเฮียแกคงหิว ขืนไปทักหรือซักถามอะไรมาก เฮียจะโมโหหิวเสียเปล่าๆ

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *

ปี พ.ศ. 2545

การผ่าตัดยังติดพันแต่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงกำหนดการสำคัญ นายแพทย์หนุ่มยังอยู่ในชุดผ่าตัดสีเขียวเข้มใต้แสงไฟสว่างจ้า อุปกรณ์ผ่าตัดถูกส่งมาให้ตามคำสั่งเรียกใช้ นพพรยืนผ่าตัดจนเกือบลืมเวลาไปแล้ว หากไม่มีเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ขับรถมาจากต่างจังหวัดเพิ่งมาถึง เขาทำการสวมชุดผ่าตัดและใส่อุปกรณ์ป้องกันเรียบร้อย และเดินเข้ามาสะกิด

ไปเหอะนพ เดี๋ยวไม่ทัน

เออ จริงด้วย ขอบใจมากเพื่อน

นพพรส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยทำการผ่าตัดรับทราบการเปลี่ยนแพทย์ผู้ควบคุมการผ่าตัด ส่วนตัวเองเดินออกมาเข้าห้องน้ำทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อย หวีผมเผ้านิดหน่อยแล้วหยิบสูทหรูที่แขวนไม้ไว้รอท่าตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วมาสวมใส่

หมอเขาจะไปไหนเหรอ

พยาบาลที่อยู่เวรเฝ้าห้องผ่าตัดอีกห้องที่ว่างอยู่ แอบกระซิบถามกันเมื่อชำเลืองเห็นนพพรในชุดสูทสีขาวเพิ่งเดินผ่านไป

ไปแต่งงาน

หา!

อือ พิธีสงฆ์เจ็ดโมงเช้า ก็ออกไปตอนตีสี่นี่ไง

แต่หมอเค้าเพิ่งเข้าผ่าตัดไปเมื่อตอนสี่ทุ่มนะ

อืม ก็คิวผ่าตัดเลื่อนไม่ได้ ก็เลยต้องผ่าตั้งแต่สี่ทุ่ม ตีสี่ยังผ่าไม่เสร็จ เพื่อนที่นัดไว้ว่าจะให้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ก็เลยมารับช่วงผ่าตัดต่อที่เหลือให้เสร็จ

โห! สปิริตสูงมาก!

ศัลยแพทย์ใหม่ไฟแรงก็อย่างนี้แหละ เสียดายมีเจ้าของไปเสียแล้วสิ

เอ๊ะ พูดอย่างกับตัวเองว่าง เมื่อวันก่อนเห็นนะ ไปกินข้าวกับหมอเต้ยมาใช่ไหม

บทสนทนาถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น เช่นเดียวกับหลากหลายเรื่องที่เกิดขึ้นภายในโรงพยาบาล ผู้ป่วยรอดชีวิต ผู้ป่วยเสียชีวิต ญาติผู้ป่วยฟ้องร้อง แพทย์แต่งงาน พยาบาลลาออก ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนให้เกิดการแลกเล่าและตั้งวงสนทนาเป็นปกติวิสัย

...

...

...

เจ้าสาวของคุณหมอนพพรหรือนายแพทย์นพพร เป็นแอร์โฮสเตสสาวที่ชื่อ ลลิตา ทั้งคู่พบกันในเที่ยวบินที่นพพรเดินทางไปดูงานที่ฝรั่งเศส ลลิตาเป็นฝ่ายจำได้ว่า นพ.นพพร คงคาภพ ที่ลดหนังสือพิมพ์ลงมาขอกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล คือเพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่เธอเคยเรียกว่า นายแว่น หญิงสาวเรียกเขาด้วยชื่อดังกล่าวเบา ๆ ระหว่างที่ส่งกาแฟให้ เป็นการเซอร์ไพรส์ที่ทำเอานายแพทย์หนุ่มสะดุ้งและตกตะลึงงันจนทำกาแฟหกรดเสื้อผ้า ลลิตารับผิดชอบด้วยการพาเพื่อนเก่าไปเดินท่องกัวลาลัมเปอร์อยู่ครึ่งวันระหว่างรอเวลาเครื่องจอดพักที่มาเลเซีย เธอคอยดูแลเอาใจใส่ระหว่างการเดินทาง และเมื่อถึงจุดหมาย ยังคอยอำนวยความสะดวกให้ตลอดเวลาที่เขาอยู่ในปารีส

นั่นคือประสบการณ์หวานซึ้งหลังจากขาดการติดต่อกันไปยาวนาน นับตั้งแต่นพพรได้รับทุนไปเรียนแพทย์ ทั้งคู่ได้หวนกลับมาทำความรู้จักและคุ้นเคยกันใหมในช่วงเวลาที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์ ต่างฝ่ายต่างมีทุกอย่างเกือบบริบูรณ์พร้อม ขาดก็แต่ลลิตาเพิ่งแยกทางจากคนรัก ส่วนนพพรสารภาพว่าไม่เคยคบกับใครอย่างจริงจังมาก่อน ลลิตานั่นเองที่เป็นรักแรกสมัยวัยรุ่นแต่เขาเก็บงำเอาไว้

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงรุดหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อต่างพร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกัน นพพรจึงขวนขวายให้มีการจัดงานแต่งงานทั้งที่คิวผ่าตัดอัดแน่น ลลิตาเองก็ประจำอยู่สายการบินต่างประเทศ ที่ต้องบินไปไกลๆ และไม่ค่อยอยู่กับบ้าน แม้โอกาสจะอยู่ด้วยกันนานๆ ยังน้อยนัก แต่งานแต่งงานและทะเบียนสมรสก็ทำให้เกิดความสบายใจที่จะอยู่บ้านเดียวกันได้อย่างเปิดเผย นพพรสู้อุตส่าห์ทำงานหนักและเก็บเงินสะสมเรื่อยมา เพื่อเป็นหลักประกันว่า เขาพร้อมจะให้ลลิตาปลดประจำการมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว และอยู่คอยดูแลสามีอันเป็นที่รัก อย่างไม่ต้องพลัดพรากจากกันไปนานๆ อีก

มะรืนนี้คุณผ่าตัดเคสมะเร็งลำไส้เสร็จ เที่ยวบินสุดท้ายของฉันก็คงกลับถึงไทยพอดี

ลลิตารำพึงรำพันในอ้อมกอดเขา แชมพูกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ภรรยาใช้กรุ่นละมุนอยู่ที่ปลายจมูก นพพรเอียงหน้าไปหอมที่เรือนผมของคนรักก่อนเอ่ยคำ

คราวนี้เวลาเหลือเฟือที่รัก รออยู่ที่สนามบินนะ ผมจะไปรับ

ฮื้อ ไหวหรือคะ

ทดสอบคืนนี้ก่อนไหม

นายแพทย์หนุ่มพลิกตัวนอนคว่ำ โดยเบื้องล่างเป็นเรือนกายของภรรยาสุดที่รัก เขาจรดริมฝีปากหอมแก้มซ้ายขวาเบาๆ แต่ลลิตาเอามือมาบังไว้

ฮือ... วันนี้ขอพักได้ไหมคะ ปวดท้องอย่างไรบอกไม่ถูก เมื่อเช้าเหมือนจะเริ่มมีประจำเดือนด้วย แปลกดี รอบนี้มาห่างมาก

หืม? ไหน...ขอผมดูหน่อย

ไม่เป็นไรมังคะที่รัก อาจจะแค่ประจำเดือนมาไม่ปรกติ นอนพักหน่อยก็หาย

เอ... เดี๋ยวสิ คุณมีประจำเดือนมาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?

ก็...

ลลิตายังไม่ทันอ้าปากตอบคำถาม เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างเตียงก็ดังขึ้น นพพรพลิกตัวลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นสายที่ต่อมาจากโรงพยาบาลก็ทำท่าลังเลไม่อยากรับ

รับเถอะค่ะ อาจจะเป็นเรื่องสำคัญ ไม่อย่างนั้นคงไม่โทรมาเอาตอนนี้

นาฬิกาที่หัวเตียงเป็นเวลาสามทุ่มครึ่ง นพพรมองหน้าภรรยาที่ลุกขึ้นมานั่งกอดเข่าและส่งยิ้ม คะยั้นคะยอให้รับสาย

ครับ

นพพรกรอกเสียงเข้าไปในโทรศัพท์

อาจารย์คะ ช่วยมาดูคนไข้ที่โรงพยาบาลหน่อยได้ไหมคะ เราติดต่อศัลยแพทย์ท่านอื่นไม่ได้เลย หมอเวรก็รับมือไม่ไหว"

"มีอะไรเกิดขึ้นหรือครับ"

"เด็กตกจากระเบียงค่ะ โดนปลายประตูที่เป็นเหล็กดัดทิ่มทะลุ มีคนงัดออกมาให้แต่เหล็กดัดยังปักอยู่ที่ชายโครง ตอนนี้อาการร่อแร่เลยค่ะ

หาหมอดมยาได้ไหม

ได้ค่ะ มาสแตนบายแล้ว ตอนนี้เหลือแต่รอหมอผ่าตัด

งั้นส่งเข้า OR เลย เดี๋ยวผมไป

นายแพทย์หนุ่มตกปากรับคำแล้ววางสาย ก่อนจะก้มหน้ากุมขมับเป็นสัญญาณว่าพลาดท่าเสียทีอีกแล้ว

ไปเถอะค่ะ

ภรรยาสาวลุกมาลูบไหล่เบาๆ

ผ่าเสร็จแล้วกลับบ้านไม่ไหวก็นอนที่โรงพยาบาลนะคะ ฉันขึ้นแท็กซี่ไปสนามบินเองได้ แต่ขากลับห้ามลืมไปรับเด็ดขาด

ครับที่รัก

นพพรรวบตัวภรรยามากอดแน่นๆ และหอมแรงๆ อีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะผลุนผลันขับรถออกจากบ้านไป โดยลืมเรื่องที่คุยกับภรรยาค้างไว้เสียสนิท

ปี พ.ศ. 2555

ภาพในอดีตเริ่มกลับมาหลอกหลอน สิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าวันต่อมาคือเขาปิดการผ่าตัดฉุกเฉินลงได้อย่างสวยงาม ผู้ป่วยปลอดภัย นพพรเดินครึ่งหลับครึ่งตื่นไปยังห้องพักแพทย์เพื่อล้มตัวลงนอนและตื่นมาในเวลาที่เครื่องบินโบอิง 777 พร้อมด้วยผู้โดยสาร 300 กว่าชีวิต นักบินและลูกเรืออีก 15 ชีวิตเหินฟ้าไปยังจุดหมายปลายทางที่ห่างไกลออกไปอีกเกือบสองพันไมล์ หนึ่งชีวิตในเครื่องบินลำนั้นคือ ลลิตา แอร์โฮสเตสสาวและภรรยาที่เขารักสุดหัวใจ เธอขึ้นเครื่องเพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นครั้งสุดท้ายแม้สภาพร่างกายรู้สึกไม่สู้ดีนัก

และบ่ายวันนั้น ภาพที่ยังพอจะคุ้นตาคือห้องผ่าตัด Elective case ที่จัดตารางเอาไว้ล่วงหน้า นพพรก้าวเข้าไปในห้องผ่าตัดเพื่อทำการผ่าตัดผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ที่ใช้เวลายาวนานกว่าจะแล้วเสร็จ แสงไฟสว่างจ้า มีดผ่าตัด ชิ้นเนื้อ กลิ่นคาวเลือดที่คุ้นชิน และผนังกั้นระหว่างห้องผ่าตัดและห้องพักแพทย์ที่ถูกแยกส่วนออกไปยาวไกล เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวดังขึ้นในล็อคเกอร์ของนายแพทย์หนุ่มอย่างยาวนาน และดังซ้ำอีกหลายสายแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

เหตุการณ์คู่ขนานที่ได้ฟังเพียงการบอกเล่าในเวลาต่อมา จึงปรากฏขึ้นเฉพาะในมโนสำนึกแต่ก็ยังเฝ้าตามมาหลอกหลอน ลลิตาเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่บนเครื่องบินได้ หญิงสาวขอตัวไปพักในห้องพักลูกเรือ ต่อมาไม่นาน อาการปวดทวีความรุนแรงขึ้น พร้อม ๆ กับอาการตกเลือดที่มากขึ้นเรื่อยๆ หยูกยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์บนเครื่องไม่สามารถบรรเทาอาการได้ ถึงกับต้องมีการประกาศหาแพทย์ที่อยู่ในลำโดยสาร แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้อีกเช่นกัน

กัปตันตัดสินใจนำเครื่องลงกลางทางและให้เจ้าหน้าที่ในสนามบินพาหญิงสาวไปส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ระหว่างนั้น เพื่อนแอร์โฮสเตสที่ไปด้วย พยายามติดต่อญาติของลลิตารวมทั้งสามีของเธอที่เป็นหมอเพื่อขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

ท้ายสุดเมื่อติดต่อกับนพพรได้ นั่นคือเมื่อกระบวนการทุกอย่างเกือบแล้วเสร็จ...

ภรรยาของเขาตั้งครรภ์นอกมดลูกและมีการแตกของท่อนำไข่ กว่าจะนำส่งโรงพยาบาล บอกอาการแก่แพทย์ซึ่งพูดคนละภาษา การแก้ไขและรักษาเป็นไปอย่างเชื่องช้า ผลลัพธ์ที่ตามมาคือไม่สามารถรักษาชีวิตผู้ป่วยเอาไว้ได้

ลลิตาเสียชีวิตในดินแดนที่เธอเคยแวะเวียนผ่าน แต่ไม่เคยคิดที่จะไปตั้งรกราก แน่นอนว่าไม่คิดสักนิดว่าจะไปตายที่นั่น

หากเขามีเวลาให้ภรรยามากกว่านี้อีกนิด คงได้ซักถามอาการและสั่งห้ามไม่ให้เธอไปกับเครื่องบินลำนั้น หรือหากมีใครพาภรรยาเขาไปส่งโรงพยาบาลและอธิบายให้แพทย์เข้าใจอาการอย่างทันท่วงที เธออาจจะรอดก็ได้

แต่มันผ่านมาแล้ว และเป็นไปไม่ได้ ไม่ได้เลยสักเงื่อนไข

น้ำตาหยดหนึ่งไหลซึมจากดวงตา เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่เขากลับมาร้องไห้ หลังจากสิบปีก่อนหน้านั้นเขาร้องไห้ไปจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาเป็นสายเลือด

ผ่าเสร็จแล้วกลับบ้านไม่ไหวก็นอนที่โรงพยาบาลนะคะ ฉันขึ้นแท็กซี่ไปสนามบินเองได้ แต่ขากลับห้ามลืมไปรับเด็ดขาด

เสียงใสๆ ของภรรยายังแว่วหวาน นพพรทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ เขาบินตรงไปรับศพภรรยาและดำเนินเรื่องพาเธอกลับบ้านเกิดเพื่อดำเนินการทำพิธีทางศาสนา นายแพทย์หนุ่มยื่นใบลาออกอย่างไร้จุดมุ่งหมายว่าพอลาออกแล้วจะไปทำอะไรต่อ...

เมื่อเวลาล่วงเลยมานานเกือบสิบปี ระลึกถึงอีกครั้งก็ยังมีน้ำตารินไหล นพพรปล่อยให้น้ำตาหยดนั้นเหือดแห้งไปด้วยความเข้มแข็งที่เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา เขาหันมาเลือกการดำเนินชีวิตที่ต่ำต้อยด้อยค่า แต่ช่วยลดทอนความรู้สึกผิดให้น้อยลงและน้อยลงเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ทำให้หลายคนรอดชีวิต บางคนที่ไม่รอดชีวิตได้นำร่างกลับไปส่งให้ญาติ...

นพพรจอดรถเมื่อถึงที่หมาย มันคือร้านยาดองเหล้าที่เขามักแวะเวียนมานั่งฆ่าเวลากับไอ้หงุน ลูกสมุนตัวแสบสะดุ้งตื่นหันซ้ายหันขวา เมื่อเห็นโถดองยาอยู่ในระยะสายตาก็กระชุ่มกระชวยขึ้นมาเต็มที่ รีบลงจากรถไปจับจองที่นั่งไว้ล่วงหน้า แม่ค้าลัดดาคนสวยโปรยยิ้มให้

ชายวัยกลางคนลงจากรถด้วยท่าทีสงบนิ่ง...

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *

- โปรดติดตามตอนต่อไป