ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๑๕๐
TEARS SERIES
ตอนที่ 13 ๛ ภูษาโยง ๛ (บทที่ 6 : เงา)
ขอบคุณภาพจาก http://www.looksfeelsworks.com/woods-a-lamp-inspired-by-the-trees-and-the-night-light/
อุโภ ปุญฺญญฺจ ปาปญฺจ................ยํ มจฺโจ กุรุเต อิธ
ตํ หิ ตสฺส สกํ โหติ..................ตญฺจ อาทาย คจฺฉติ
ตญฺจสฺส อนุคํ โหติ.....................ฉายาว อนุปายินี ฯ
ผู้ที่มาเกิดแล้วจําจะต้องตายในโลกนี้...ย่อมทํากรรมอันใดไว้คือ
เป็นบุญและเป็นบาป...ทั้งสองประการ
บุญและบาปนั้นแลเป็นสมบัติของเขา
และเขาจะเอาบุญและบาปนั้น...ย่อมเป็นของติดตามเขาไป
ประดุจเงาติดตามตนไปฉะนั้น ฯ
...
...
...
ใต้บรรยากาศมืดสลัวมีแสงไฟวับแวม แซมด้วยดนตรีจังหวะเร่งเร้าและผ่อนคลายเป็นระยะ ภาคิมนั่งหัวเราะครื้นเครงอยู่ในผับท่ามกลางวงล้อมเพื่อนฝูงมากมาย บางเรื่องเขาไม่ได้อยากหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะและแววไหวระริกในดวงตาของคนรอบข้าง ก็ต่างนำพาให้เขาหัวเราะได้ทั้งที่ไม่เป็นเรื่อง พอเสียงเพลงจังหวะคึกคักดังกระหึ่มขึ้น มือนุ่มในความมืดก็กึ่งลากกึ่งดึงให้ชายหนุ่มแหวกผู้คนไปยืนเบียดอยู่กลางฟลอร์ เสียงเครื่องดนตรีอัดจังหวะดังมาจากทั่วทิศทางและผู้คนกำลังโยกย้ายส่ายตัวไปตามจังหวะนั้น หญิงสาวตรงหน้าหัวเราะอย่างยั่วเย้าพร้อมเจ้าตัวยังโอบมือซุกไซ้ไปรอบลำคอ สัมผัสวาบหวามนั้นโน้มน้าวให้เขาขยับกายส่ายเต้นตามไปในที่สุด แต่ในความรื่นรมย์ที่ไม่สมประกอบนั้น เสียงเพลง เสียงหัวเราะ เสียงเบียดเสียดสีกันของเครื่องประดับและเสื้อผ้าในพื้นที่แคบ กลับนำพาให้ชายหนุ่มนึกไปถึงเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของนักนินในอ้อมกอด แววตาเหลือกค้างอย่างลนลาน และกลิ่นของเสียอันน่าคลื่นเหียนที่หญิงสาวอาเจียนออกมา พาลทำให้เขารู้สึกพะอืดพะอมและคลื่นไส้ ภาคิมปัดป่ายมือที่เคลื่อนไหวอยู่รอบลำคอออกแล้วเดินเบียดผู้คนกลับมานั่งที่ล็อบบี้
“รับอะไรดีครับ”
บาร์เทนเดอร์เคลื่อนตัวมาประกบอย่างรู้งาน ภาคิมสะบัดหน้าอย่างจะไล่ตะกอนความคิดที่ตามมาหลอกหลอน เขาตอบคำถามหนุ่มน้อยในคอกที่แวดล้อมไปด้วยเครื่องดื่มมึนเมาไปส่งๆ
“วิสกี้”
บาร์เทนเดอร์รับออเดอร์แล้วถามย้ำ
“เพียวเลยหรือครับ”
“เออ”
ภาคิมตอบรับเสียงห้วนแล้วเอามือกุมขมับอย่างหัวเสีย บาร์เทนเดอร์หนุ่มเลิกตอแยแล้วหันไปหยิบขวดเหล้าด้านหลังมาเปิดฝาแล้วรินใส่แก้วอย่างทะมัดทะแมง ทันทีที่วางแก้วเหล้าลงตรงหน้าชายหนุ่ม หญิงสาวอีกนางหนึ่งก็เคลื่อนตัวมานั่งข้างๆ
“ขอบลูมาการิต้าก็พอค่ะ”
เสียงนั้นหวานหยดย้อย เจือด้วยความหวาบหวามบางเบา ในแสงไฟมืดสลัว ภาคิมหันไปมองใบหน้านั้นไม่ถนัดตานัก รู้แต่ว่าเป็นดวงหน้าสวยเก๋ ฉาบทาด้วยเครื่องสำอางสีสันดึงดูดและยวนเย้า ริมฝีปากสีกุหลาบแดงสดขยับโปรยรอยยิ้มยั่ว บาร์เทนเดอร์เจ้าเก่าก็ให้บริการฉับไว ถึงอกถึงใจ เหล้าแก้วใหม่ถูกนำมาวางในเวลาไม่กี่อึดใจ หญิงสาวยกแก้วขึ้นด้วยแววตาท้าทาย
“เชียร์...”
“เชียร์”
แก้วต่อแก้วชนกัน ความสับสนและหนักอึ้งในหัวเริ่มบรรเทาเบาบางลง ภาคิมตอบแทนน้ำใจหญิงสาวที่มานั่งข้างด้วยการสั่งเหล้าผสมที่ค่อย ๆ ลดความแรงลง เพื่อชะลอเวลาการออกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในสายเลือด เขาอาสาเป็นเจ้ามือให้แก้วต่อแก้ว กระทั่งเสียงเพลงเริ่มขาดหาย เพื่อนฝูงทยอยแยกย้าย หญิงสาวตรงหน้าเคลื่อนไหวและพูดจาด้วยอาการซวนเซ แต่ก็มีแรงตกปากรับคำเมื่อเขาชวนให้ไปต่อที่คอนโดส่วนตัวในย่านใจกลางเมือง
สำหรับภาคิม เขาพบว่า เรื่องนี้เป็นไปได้ง่ายจนเหลือเชื่อและน่าติดใจไปเสียแล้ว...
* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *
นักนินรู้สึกตะครั่นตะครอขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ อาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวและบีบมวนตรงท้องน้อยเกิดขึ้นเป็นระยะระหว่างที่อยู่บนเรือ หญิงสาวฝืนยิ้มและหลบตาเกนโซที่หันมาถามด้วยความเป็นห่วง นานามิร้องเพลงเป็นภาษาญี่ปุ่นเจื้อยแจ้วและหันมาชวนคุณพ่อและคุณแม่(จำเป็น)คุยเล่นเป็นระยะ หญิงสาวพยายามตอบรับด้วยความอ่อนโยน แต่ก็เริ่มโรยแรงลง จนบางครั้ง อ้อมกอดที่กอดเด็กสาว ดูสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด นักนินกัดฟันและบอกตัวเองให้เข้มแข็งเข้าไว้ อย่างน้อย เธอก็ไม่ควรแสดงความอ่อนแอให้นานามิเห็น
เมื่อกลับขึ้นฝั่งและมีรถมารับ หญิงสาวขอให้คนรถแวะซื้อยาแก้เมารถมาทานและหลับมาตลอดทาง โชคดีที่นานามิเองก็เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางและหลับยาวเช่นกัน เกนโซเป็นฝ่ายนอนไม่หลับและนิ่งมองสองสาวต่างวัยที่หลับไหลอยู่ข้าง ๆ กันด้วยแววตาครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจพานานามิไปส่งที่บ้านหลังใหญ่ เมื่อถึงที่หมาย ผู้เป็นพ่ออุ้มลูกสาวที่กำลังหลับสนิทส่งพี่เลี้ยง จากนั้นก็กลับขึ้นรถ ให้คนรถออกรถต่อ ชายหนุ่มคิดใคร่ครวญแล้วว่า การพาหญิงสาวเข้าบ้านในเวลานี้อาจดูไม่ดีนัก ไหนจะต้องจัดการกับธุระอีกหลายเรื่อง หากเธอไม่มีบ้านให้กลับ เขาก็ยังมีบ้านพักหลังเล็ก ๆ ที่ซื้อไว้ใกล้โรงงาน เพื่อใช้พักผ่อนเวลาเลิกงานดึกดื่น เธอน่าจะพออยู่ที่นั่นเป็นการชั่วคราวได้
เมื่อกลับมาขึ้นรถและได้นั่งข้างกายหญิงสาว เกนโซเขย่าไหล่เธอเบาๆ แต่ร่างนั้นกลับเอนมาซบอย่างปวกเปียก เกนโซเบี่ยงตัวหลบเพียงนิดเดียว หญิงสาวก็เอนพับลงกับตักโดยไม่มีวี่แววว่าจะรู้สึกตัว ระหว่างนั้น แผงยาแก้เมารถจึงร่วงจากมือลงบนเบาะรถ นาทีนั้น เกนโซจึงได้หยิบยาแผงนั้นขึ้นมาดู และพบว่า ทั้งแผงมีแต่ความว่างเปล่า หญิงสาวกินยาเข้าไปจนหมดแผง
“คุณ... คุณครับ”
เกนโซลงมือเขย่าตัวแรงขึ้น แต่หญิงสาวก็ยังไม่ลืมตาตื่น มีเพียงลมหายใจรวยรินและหน้าอกที่ยังกระเพื่อมไหวเมื่อหายใจเข้าออกทีบ่งบอกว่าอาการยังไม่เลวร้ายเกินไปนัก
“พาไปโรงพยาบาลก่อน”
เกนโซออกคำสั่งอย่างร้อนรน คนขับรถบ่ายหน้ากลับรถไปอีกทาง เพื่อตรงไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
การเดินทางในช่วงบ่ายของวันนั้น นักนินกินยาเพื่อระงับอาการทุรนทุรายที่ก่อตัวขึ้นช้าๆทว่ารุนแรง ยาแก้เมารถที่ส่งผลให้ง่วงซึมทำให้อาการค่อยทุเลาลง หญิงสาวแกะยามาทานเพิ่มเมื่อเห็นว่าได้ผล และค่อยๆเพิ่มปริมาณจนหมดแผง ก่อนจะดำดิ่งสู่นิทราที่มืดสนิท สัมผัสของชายหนุ่มที่มาเขย่าตัวและเสียงเรียกข้างหูนั้นพอรับรู้ได้แต่ไม่อาจลืมตาขึ้นตอบสนอง
เมื่อถึงมือหมอ หญิงสาวได้รับการรักษาพยาบาลจนปลอดภัย ยาแก้เมาแค่สิบเม็ดไม่ถือว่าแรงจนเกินไปนัก แต่ร่างกายของผู้ป่วยอ่อนเพลียมาก จึงได้รับการแนะนำให้พักผ่อนรอดูอาการ
“สรุปว่าต้องนอนให้น้ำเกลือในโรงพยาบาลสักคืนนึงก่อนนะคะ”
พยาบาลบอกข้อมูลต่างๆ ให้เกนโซฟังช้าๆ และเป็นไปตามลำดับ
“あなたは彼女の夫ですか?“
(คุณเป็นสามีเธอใช่ไหมคะ)
พยาบาลคนใหม่ในชุดขาวท่าทางมาดมั่นเดินเข้ามาพร้อมเอกสารการ admit เข้าโรงพยาบาล เธอออกปากสนทนาด้วยภาษาญี่ปุ่นตะกุกตะกัก เกนโซฟังแล้วส่ายหน้ายิ้ม
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ เขาพูดภาษาไทยได้”
พยาบาลคนเก่าหันไปตอบคำถามแทน เนื่องจากได้รายงานการรักษากับคนที่พาผู้ป่วยมาได้สักครู่แล้ว คนมาใหม่จึงได้แต่ยิ้มอย่างเสียดายที่ไม่ได้ฝึกภาษา แต่ก็ยังหันมาถามย้ำ
“แล้วที่ส่ายหน้า คือไม่ต้องพูดภาษาญี่ปุ่นก็ได้ หรือไม่ใช่สามีเธอคะ”
“ไม่ต้องครับ เอ่อ ครับ เป็นสามี ก็ได้ครับ”
ท่าทางของเกนโซทำให้พยาบาลสาวทั้งสองคนอดอมยิ้มไม่ได้
“คุณคงจะตั้งใจพูดว่า ไม่ต้องพูดญี่ปุ่นก็ได้ แต่เป็นสามีเธอใช่ไหมคะ”
“เอ่อ... ครับ”
ที่จริงเขาหมายความตามที่พูดแต่แรกจริงๆ แต่พยาบาลจะเข้าใจอย่างนั้น ก็พอได้
“ภรรยาคุณอยู่ที่ห้อง 406 นะคะ ตอนนี้ให้เธอพักผ่อนก่อน อีกสักพักคุณค่อยขึ้นไปเยี่ยมเธอก็ได้”
“ขอบคุณครับ ให้เธอพักก่อนก็ได้ครับ พรุ่งนี้ผมค่อยมารับอีกที”
เกนโซโค้งตัวให้สองพยาบาลสาวและลาจากไป สองพยาบาลหันหน้ามาร่วมกันวิพากษ์ ว่าสามีน่ารักขนาดนี้ สงสัยภรรยาจะขี้งอนมาก ถึงกับต้องเรียกร้องความสนใจด้วยการกินยานอนหลับไม่กี่เม็ด ดีแล้วที่ไม่อยู่เฝ้า ปล่อยให้นอนหนาวคนเดียวเสียให้เข็ด
“ปะ ได้เวลาแล้ว ลงเวรกันดีกว่า”
ทั้งสองสนทนากันอีกไม่นานนักเพราะเป็นช่วงเวลาผลัดเปลี่ยนเวร ดึกดื่นค่อนคืนที่ความเงียบและความมืดปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ นักนินนอนหนาวอย่างเดียวดายในห้องผู้ป่วย อย่างที่พยาบาลบอกไว้ไม่มีผิดคำ...
* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *
ภาคิมนอนกอดก่ายหญิงสาวแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันชั่วข้ามคืนอยู่จนเกือบรุ่งสาง ความมืดมิดของราตรีกาลยังไม่ผ่านพ้น แต่อาการปวดหัวตื้อๆจากการแฮงค์เหล้าเข้ามาคุกคาม ทำให้ภาคิมเริ่มพลิกตัวและลืมตาตื่นอย่างยากลำบาก
หญิงสาวข้างตัวก็พลิกตัวขึ้นมาเช่นกัน ผมยาวปรกหน้านั้นค่อยๆผงกขึ้น มือเรียวยาวขาวซีดขยับขึ้นมาจากใต้ผ้าห่มเคลื่อนมาโอบกอดชายหนุ่มเอาไว้
“คิว...”
ร่างนั้นไต่ขึ้นมาทาบทับบนตัวเขา ภาคิมโอบกอดร่างนั้นเข้ามาตามสัญชาตญาณด้วยความงัวเงีย
“คุณ เอ่อ... คุณชื่ออะไร แล้วรู้จักชื่อผมได้ยังไง”
“ฮึก ๆ ... ฮือ...”
ร่างนั้นค่อย ๆ สะอื้นไห้ ภาคิมผงกหัวขึ้นเขม้นมองด้วยสายตาที่ยังปรับโฟกัสไม่ชัดนัก
“ลืมนิ่มแล้วเหรอ ไม่เชื่อหรอก นี่ไง คุณลืมนิ่มไม่ได้”
ใบหน้าซีดเซียวนั้นเกยคางอยู่บนหน้าอกเขา หญิงสาวเอียงหน้าด้วยแววตาตัดพ้อ ประเดี๋ยวร้องไห้ ประเดี๋ยวยิ้ม มือสองข้างเลื่อนมากอดก่ายและประคองใบหน้าของเขาไว้
“นะ... นิ่ม”
ด้วยสองมือที่ประคองใบหน้าเขาขึ้นมา ตาต่อตาประสาน ดวงตาของหญิงสาวตรงหน้าดูดำขลับและกลมโตทว่าเอ่อท้นด้วยน้ำใสไหลซึมออกมาจนอาบทาสองแก้ม มันคือใบหน้าของนักนินที่เขาเห็นในคืนนั้นนั่นเอง
“เฮ้ย!!!”
ภาคิมทะลึ่งตัวลุกขึ้นอย่างแรงแล้วผลักร่างที่นอนทับจนกระเด็นไป เขาได้ยินเสียงร่างนั้นร้องโอ๊ยเบาๆ หญิงสาวที่ถูกผลักสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงียกึ่งประหลาดใจ
ชายหนุ่มยันศอกลุกขึ้นอย่างโงนเงน เมื่อจ้องมองร่างที่เขาเพิ่งผลักตกลงจากเตียงไปกองกับพื้น คนที่โอบกอดเขาเมื่อครู่คือนักนินชัดๆ แต่เธอจะมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเพิ่งตกทะเลไปเมื่อคืนวาน หรือจะเป็นผี หรือจะเป็นแผนซ้อนแผน หรืออะไรกันแน่!!
“ไหน ใช่เธอจริงหรือเปล่านิ่ม”
ภาคิมต้องพิสูจน์ให้แน่ใจ ท้ายสุดเขาตวัดผ้าห่มทิ้งและเดินลงมาจากเตียงทั้งร่างที่เปลือยเปล่า
หญิงสาวบนพื้นหันมองไปรอบตัวด้วยเพิ่งตื่นมารับรู้ชะตากรรมของตนเอง พอเห็นภาคิมย่างสามขุมเข้าไปหาก็ร้องว้ายและรีบถอยหนี แต่สิ่งที่ภาคิมเห็นกลับเป็นภาพของนักนินนั่งกวักมือเรียก
“มาสิคิว มาเลย มาหานิ่ม...”
ภาคิมร้องคำรามและสบถไม่เป็นคำ ร่างที่ขยับหนีหัวซุกหัวซุนนั้นถอยห่างไปได้ไม่ไกล พอชายหนุ่มคว้าตัวได้ก็นั่งคร่อมแล้วบีบคอหญิงสาวตรงหน้าด้วยความแรง
“อ่อก...”
หญิงสาวโดนกดทับไว้ด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ซ้ำยังถูกบีบคอไว้ด้วยแรงส่งจากลำแขนแข็งแรง หล่อนขยับดิ้นด้วยดวงตาเหลือกโปน
“ขอดูหน่อยซิ ว่าผีจะตายได้ไหม”
เมื่อสับสนจนเลือดเข้าตา ไม่ว่านักนินจะมาในรูปแบบไหน เขาก็ควรมีสิทธิ์ในการปกป้องตัวเอง และวิธีปกป้องตัวเองของภาคิม ก็คือทำร้ายเสียก่อนจะโดนทำร้าย
หญิงสาวถูกจู่โจมโดยไม่คาดหมาย หล่อนดิ้นพล่านอยู่ใต้ร่างสูงใหญ่ของภาคิม สองมือที่ว่างอยู่เริ่มกวาดเปะปะจนคว้าแจกันที่วางอยู่ริมผนังได้ ก็จับมาหวดใส่ชายวิปริตที่หวิดจะฆ่าเธออยู่รอมร่อ
“โอ๊ย!”
ภาคิมปล่อยมือจากลำคอของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย เป็นจังหวะที่เธอผลักเขาออกได้ และลุกหนีออกไปไกลคนละมุมห้อง
“แค่ก...ๆ ๆ ๆ ไอ้บ้า ไอ้สารเลว เป็นพวกซาดิสม์ก็ไม่บอก ฮือๆ...”
ปากก็ร้องบ่นและพ่นคำด่า แต่มือและร่างนั้นเคลื่อนไหวฉับไว ระหว่างที่ภาคิมยังกุมหัวที่โดนแจกันหวดด้วยความปวดตื้อและงงงวย หญิงแปลกหน้าที่หิ้วมาจากผับก็สวมใส่เครื่องแต่งกายอย่างฉับไวและคว้าเอากระเป๋าเงินและสิ่งของมีค่า ทั้งของตนเองและของภาคิมกวาดใส่กระเป๋าและเผ่นหนีออกจากประตูอย่างรวดเร็ว
“ตอนแรกก็กะว่าจะจากไปดี ๆ แต่มาทำกันแบบนี้ก็สมน้ำหน้าแล้ว”
หญิงสาวปิดประตูดังปัง ภาคิมที่เพิ่งตั้งสติได้ลุกขึ้นยืนมือไม้สั้น รู้สึกปวดแปลบที่ขมับข้างขวาตุบๆ พอยกมือขึ้นลูบก็เห็นเลือดติดมากับนิ้วมือด้วย
“เลือด...เลือด... เวรเอ๊ย!!”
อารมณ์โกรธพุ่งพล่าน ภาคิมคว้าวัตถุใกล้ตัวเหวี่ยงไปทั่ว จนข้าวของแตกกระจาย จนรุ่งเช้า แม่บ้านที่มาทำความสะอาดต้องเข้ามาห้ามปรามจนโดนลูกหลงไปชุดใหญ่ กว่าภาคิมจะยอมไปโรงพยาบาลเพื่อเย็บแผล
* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *
เวลาใกล้รุ่ง...
นักนินรู้สึกหนาวจนจับขั้วหัวใจ ในความมืดมนนั้น เหมือนถูกฉุดรั้งลงไปใต้ทะเลอีกครั้งหนึ่ง แต่ใต้ทะเลนั้นไม่ได้ท่วมท้นด้วยน้ำทะเลอย่างที่เคยจมลงไป มันกลับเป็นโคลนเฉอะแฉะ เหนียวหนึบอยู่ที่ท่อนแขนและกลางหลัง
ติ๋ง...
ติ๋ง...
เสียงน้ำหยดแหมะจากที่ไหนสักแห่งไม่รู้ทิศทาง เมื่อมีแรง นักนินค่อยๆ เปิดเปลือกตาเพื่อลืมตาขึ้น ในความมืดสลัวนั้น มีร่างหนึ่งยืนค้ำอยู่ข้างเตียง ใบหน้านั้นอีกแล้ว คราวนี้ โภค รมดวล ปรากฏตัวขึ้นมาเพียงคนเดียว ร่างที่ชุ่มโชกเลือดนั้นโน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วพูดอะไรบางอย่างอยู่ข้างหู
"จ้..ว.ย..พ..อ.ง..โ.ข.ญ..ม..จ่..อ.ง..โ.ต้..ว.เ..พ..เ.ตี..ย.ะ"
ประโยคที่ได้ยินนั้น นักนินไม่รู้ความหมาย ได้แต่พยายามขยับตัวหนีแต่ก็ไม่มีแรง เสียงหยดติ๋ง ๆ คือเลือดที่ไหลออกมาจากหน้าผากที่เปิดอ้าเห็นมันสมองไหลเยิ้มหยดไหลลงมา นักนินขยับปากจะกรีดร้องแต่ก็ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดรอดออกจากลำคอ แขนข้างหนึ่งถูกผีหัวเบะลากให้ลงจากเตียงโดยที่หญิงสาวไร้แรงต้าน แขนข้างนั้นที่ถูกดึงออกไปมีเลือดไหลซึมท่วม นักนินขยับศีรษะมองเตียงที่เธอนอนอยู่ก็พบว่ากำลังชุ่มโชกไปด้วยเลือด
“ช่วย...ด้วย...”
ในห้องพักผู้ป่วยวีไอพีที่ไม่มีคนเฝ้า การส่งเสียงร้องเบาๆไม่มีความหมาย นักนินเริ่มขยับตัวได้จากทางซีกซ้าย จึงค่อยๆเอื้อมมือไปคว้าเสาน้ำเกลือแล้วผลักออกไปเต็มแรง
เพล้ง!!... !!
น้ำเกลือร่วงจากเสาตกกระทบแก้วและจานอาหารแตกกระจาย เสียงนั้นจึงดังออกไปนอกห้องและผู้ช่วยพยาบาลกรูกันเข้ามา สายน้ำเกลือหลุดจากถุงตั้งแต่ค่อนคืนพลันร่วงตกพื้น เลือดที่ค้างอยู่ในสายเทไหลลงพื้นเจิ่งนอง พยาบาลวิ่งเข้ามาประคองหญิงสาวในชุดผู้ป่วยชุ่มโชกไปด้วยเลือดและกำลังจะตกเตียง เจ้าหน้าที่ดึงเข็มที่ปักน้ำเกลือออกแล้วส่งเสียงบอกกันด้วยความกระวนกระวาย
ท่ามกลางความชุลมุนนั่น ร่างชุ่มโชกเลือดของรมดวลผละหายไป ไม่เห็นอีกแม้แต่เงา
“มาช่วยกันหน่อยเร็ว คนไข้สายน้ำเกลือหลุด ไม่มีคนดูแลเลย”
นักนินรู้สึกเจ็บแปลบตรงแขนซ้ายตอนที่เจ้าหน้าที่ดึงเข็มออก พยาบาลสองสามคนกรูกันเข้ามาขอโทษขอโพย เปลี่ยนผ้าปู เปลี่ยนชุด และปักเข็มน้ำเกลือให้ใหม่ น้ำเสียงแสดงความเสียใจนั้นไม่วายมีคำตำหนิออกมาเล็กน้อย
“ถ้ามีอะไร คนไข้กดปุ่มขอความช่วยเหลือตรงหัวเตียงได้นะคะ อย่าพังข้าวของแบบเมื่อกี้อีก”
พยาบาลคนสวยเผลอสั่งแล้วตั้งการ์ด ปรกติผู้ป่วยที่ทำลายข้าวของมักมีปัญหาทางด้านอารมณ์และจิตใจ พอมีแรงก็อ้าปากโวยวายให้ลั่นวอร์ด เธอต้องดักทางเสียก่อนและเชื่อแน่ว่าไม่ว่าผู้ป่วยจะอาละวาดอย่างไรก็คงรับมือไหว
“ฉันไม่ได้ตั้งใจค่ะ ขอโทษนะคะ”
ผิดคาด ผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียวกลับยกมือไหว้แล้วขอโทษทั้งน้ำตา พยาบาลสาวถึงกับใจอ่อนยวบ
“มะ ไม่ใช่ความผิดร้ายแรงอะไรหรอกค่ะ ทางเราก็ขอโทษอีกครั้ง คนไข้เสียเลือดมาก ตอนนี้นอนพักต่อจะดีกว่า”
“แต่ฉัน... ฉันกลัวค่ะ คุณพยาบาล หรือใครก็ได้ อยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหมคะ”
นักนินขอร้องด้วยน้ำเสียงวิงวอน เนื้อตัวยังสั่นเทา พาลทำให้เจ้าหน้าที่ข้างเตียงพลอยร้อน ๆ หนาว ๆ ไปด้วย หรือในห้องนี้จะมีอาถรรพ์ มีผีมาหลอกกันแต่เช้าตรู่
“แป๋ม อยู่เฝ้าคนไข้ในห้องนี้อีกสักพักนะ เดี๋ยวญาติเขาก็คงมาแล้ว”
“ค่ะพี่สา”
ผู้ช่วยพยาบาลรับคำสั่งอย่างเสียไม่ได้ แต่หันมามองตาละห้อยของคนไข้แล้วก็อดสงสารไม่ได้เหมือนกัน
“ขอบคุณนะคะ”
นักนินยิ้มและยกมือไหว้ขอบคุณอย่างจริงใจ พออุ่นใจขึ้นเมื่อรู้ว่ามีใครบางคนอยู่ใกล้ ๆ หญิงสาวค่อยผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนแรง
เมื่อเกนโซปลีกตัวมาเยี่ยมได้ เจ้าหน้าที่เฝ้าไข้ก็หลีกทางให้ชายหนุ่มได้มาดูแลหญิงสาวอยู่ข้างเตียง เกนโซได้เห็นหญิงสาวนอนแบ่บอยู่บนเตียง นักนินผ่านทั้งการตากฝน จมทะเล แล้วยังเสียเลือดไปอีกเป็นจำนวนมาก ใบหน้านั้นจึงซีดเซียวไม่ผิดกับคนป่วยหนักใกล้ตาย ภาพนั้นยิ่งทำให้เกนโซหวนคิดถึงนัตสึกิในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต หรือนี่จะเป็นโชคชะตาที่ลิขิตมาให้เขาได้แก้ตัวอีกครั้ง เกนโซตั้งใจอย่างแน่วแน่ ที่จะถนอมรักษาเธอให้หายดีเป็นปรกติโดยไวที่สุด
“นัตสึกิ... นัตสึกิ...”
ชายหนุ่มจับมือนุ่มข้างหนึ่งมากุมไว้และเรียกชื่อเธอเบาๆ เขาได้ยินเสียงตอบรับแว่วหวานผ่านสายลมแผ่วพลิ้วที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน
“เกนโซ...”
ชายหนุ่มเงี่ยหูฟังอีกครั้ง จึงจับทิศทางได้ว่าเสียงเครือสั่นนั้นดังแว่วมาจากปากของคนที่อยู่บนเตียงนั่นเอง หญิงสาวพยายามยันตัวลุกขึ้นมาคุยกับเขาในท่านั่ง
“เบา ๆ ครับ ตอนนี้คุณต้องค่อย ๆ ลุก”
“ฉัน นึกว่าคุณจะทิ้งฉันไว้ ไม่กลับมาแล้ว”
พูดแล้วน้ำตาก็ไหลลงมาเป็นทาง นักนินอดเจ็บใจไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะฤทธิ์ยาและสถานการณ์บีบคั้นมากมายรายล้อม เธอคงไม่อ่อนแอขนาดนี้
“กลับซีครับ คุณกับผม เรามีสัญญาตกลงกัน จำได้ไหมครับ”
เกนโซบีบมือนุ่มนั้นเบา ๆ นักนินปาดน้ำตา พยักหน้า
“เมื่อคืนผมต้องกลับไปดูนานามิ และอยากให้คุณได้พักผ่อนเยอะ ๆ ตอนที่ผมไม่อยู่ มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ”
นักนินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาไม่รู้ และไม่จำเป็นต้องรู้
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
เกนโซฟังแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบ ปฏิกิริยาของหญิงสาวไม่ชวนให้เชื่อถือเลยสักนิด ว่าไม่มีอะไร
“ผมบอกพยาบาลว่าคุณเป็นภรรยาผม ตอนทำแฟ้มประวัติในโรงพยาบาลก็ใช้หลักฐานเดียวกับที่นัตสึกิใช้ในเมืองไทย เธอไปเสียชีวิตที่ญี่ปุ่น ผมเลยไม่ได้แจ้งตายไว้ที่นี่ ขออนุญาตนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
น้ำใจของเกนโซยิ่งทำให้หญิงสาวตื้นตันจนน้ำตาไหลลงมาอีก
“พักผ่อนเถอะนะครับ เดี๋ยวออกจากโรงพยาบาลแล้วผมจะพาคุณไปดูบ้านพัก มันเป็นบ้านหลังเล็กๆ ให้คุณอยู่ชั่วคราวช่วงปรับตัว ถ้าคุณพร้อมจะกลับบ้านจริงๆของคุณเมื่อไร ค่อยบอกผมอีกทีนะครับ”
“ค่ะ...”
“เลิกร้องไห้ด้วยนะครับ ผมบอกพยาบาลว่าคุณเป็นภรรยาผม พอผมเข้ามาคุณก็เอาแต่ร้องไห้ คนอื่นจะคิดว่าผมรังแกคุณไม่หยุดกันพอดี”
“ค่ะ...”
นักนินหัวเราะออกมาได้ เอามือป้ายน้ำตาออกป้อยๆ เธอตั้งใจเอาไว้ ว่าอาการดีขึ้นเมื่อไร จะหาโอกาสเหล่าทุกอย่างให้ชายหนุ่มตรงหน้าฟังทั้งหมดอย่างไม่มีปิดบัง ระหว่างนั้นเกนโซปล่อยให้ภรรยากะทันหันได้พักผ่อนจนใกล้เที่ยง ค่อยพากันออกจากโรงพยาบาล
ช่วงเวลาที่พยาบาลดำเนินเอกสารการส่งผู้ป่วยกลับบ้าน (Discharge) ให้กับ อิจิยานางิ นัตสึกิ เป็นช่วงเวลาเดียวกับการเรียกชำระเงินจากการเย็บแผลของ ภาคิม เดชาพิชิต และเคราะห์ดีที่คนชำระเงินให้นัตสึกิเป็นเกนโซ
สองหนุ่มต่างวัยจึงเดินสวนกันไปโดยไม่มีอาการระแคะระคายใด ๆ เลยสักนิด
* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *
…
…
…
- โปรดติดตามตอนต่อไป –