Print

ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๑๔๙

TEARS SERIES 
ตอนที่ 12 ๛ ภูษาโยง ๛ (บทที่ 5 : นัตสึกิ)

wilasinee2โดย วิลาศินี




heal-149

ขอบคุณภาพจาก http://samurai71.blogspot.com/2009_11_01_archive.html
...
...
...

ในปี ค.ศ. 1945 สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง ญี่ปุ่นซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามอย่างราบคาบ ต้องพยายามกอบกู้ชาติและฟื้นฟูประเทศของตนขึ้นมาใหม่ แต่ด้วยความขยันหมั่นเพียรและไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ประเทศที่ได้ชื่อว่าพังพินาศลงไปในพริบตา ก็กลับพลิกฟื้นขึ้นมา ทั้งยังก้าวกระโดดไปเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น

อุตสาหกรรมสำคัญที่ช่วยชุบชีวิตและนำทางให้ญี่ปุ่นเจริญรุดหน้า ได้แก่ อุตสาหกรรมเหล็ก สิ่งทอ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ บวกกับการบริหารทางเศรษฐกิจและการเงินที่เข้มแข็ง ธนาคารแต่ละแห่งและอุตสาหกรรมหลายชนิดถูกผนวกเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเพิ่มรากฐานที่แข็งแรง จากนั้น เมื่อมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจพอสมควรแล้ว อุตสาหกรรมในหลายภาคส่วน ก็เริ่มทำการขยายกิจการด้วยการเข้าไปลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา อันได้แก่ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่สมบูรณ์และมีค่าแรงต่ำกว่าค่าใช้จ่ายจากการผลิตภายในประเทศอยู่หลายเท่า

อิจิยานางิ  เกนโซ เติบโตมาในครอบครัวใหญ่ ต้นตระกูลอิจิยานางิเป็นตระกูลขุนนางเก่า มีต้นทุนเดิมคือความเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมหาศาล จึงเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กและสิ่งทอร่วมกับอีกสองตระกูลใหญ่ อันได้แก่ ตระกูลฮงอิเด็น และตระกูลมิมูระ ซึ่งเป็นตระกูลประกอบการค้าเหล็กและสิ่งทอมายาวนาน ทั้งสามตระกูลมีความผูกสัมพันธ์ลึกซึ้งและเกี่ยวดองกันมานับแต่เริ่มกิจการ

จากรุ่นสู่รุ่น เกนโซเป็นรุ่นที่ 4 ของตระกูลอิจิยานางิ ซึ่งไม่ได้รับแรงกดดันมากเท่า อิจิยานางิ มาซารุ ซึ่งเป็นพี่ชายคนโต และต้องสืบทอดกิจการอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ขนาดใหญ่ในฟุกุโอกะ มาซารุดูแลกิจการได้เป็นอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง และยังได้เชื่อมความสัมพันธ์อันดีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จนภายหลังได้แต่งงานกับหญิงสาวซึ่งมีเชื้อสายของตระกูลฮงอิเด็น ซึ่งเป็นถึงผู้จัดการระดับภูมิภาคของธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศญี่ปุ่น ก็ยิ่งเป็นการส่งเสริมกิจการของครอบครัวให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นไปอีก

สิ่งเดียวที่อิจิยานางิ เกนโซ ผู้เป็นทายาทคนรองถูกมอบหมายให้ต้องรับผิดชอบ คือการแต่งงานกับลูกสาวคนใดคนหนึ่งในตระกูลมิมูระ เพื่อควบรวมกิจการสิ่งทอ โดยหญิงสาวที่มีรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ได้แก่ มิมูระ นัตสึกิ ซึ่งแม้จะมีศักดิ์เป็นลูกสาวคนโตของ มิมูระ ทากาชิ แต่ก็เป็นลูกสาวคนโตที่กำพร้าแม่ ทั้งยังมีโรคประจำตัวประหลาดจนไม่สามารถไปโรงเรียนได้ ทำให้ต้องเรียนหนังสืออยู่ที่บ้านและจำกัดการเดินทางออกไปไหนได้ไม่ไกลนัก ตรงกันข้ามกับ มิมูระ อายูมิ ซึ่งเป็นลูกสาวของภรรยารอง แต่เต็มไปด้วยความช่างอ้อน น่ารัก และโดดเด่นเฉิดฉายในหมู่เพื่อนนักเรียนหญิง และยิ่งมีผู้ติดตามมากมายเมื่อย้ายไปเรียนโรงเรียนสหศึกษาในชั้นมัธยมปลาย ความโดดเด่นนั้นทำให้เป็นที่หมายปองของนักเรียนชายอีกหลายคน

ยกเว้นแต่เกนโซที่มักจะปลีกตัวไปอยู่ในห้องสมุด หรือบางครั้ง เขาขึ้นไปนั่งเล่นอยู่บนดาดฟ้าของโรงเรียนที่ปราศจากผู้คน สุดปลายสายตาเป็นหาดทรายอยู่ไกลลิบ เกนโซมีสมุดวาดเขียน เขาวาดสิ่งที่เขาเห็นไว้ในสมุดภาพ ส่วนหนังสือที่เขาเปิดในห้องสมุดคือแผนที่โลกที่บอกได้ว่าห้วงมหาสมุทรแผ่ปกคลุมไปที่ใด และพาให้เดินทางไปยังจุดไหนได้บ้าง

มิมูระ อายูมิ มีตัวเลือกเป็นเพื่อนชายหลากหลายและไม่ซ้ำหน้า เด็กสาวคิดแต่เพียงว่า เธอเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวยอยู่แล้ว หากจะมีคู่ครองก็ควรเป็นชายที่เกิดในชาติตระกูลที่ใกล้เคียง และเอาอกเอาใจเธอให้มีความสุขได้ไม่รู้จบ...

ดังนั้นแม้อยู่โรงเรียนเดียวกัน เมื่อเดินสวนกับอิจิยานางิ เกนโซ เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะคุ้นหน้า ต่างฝ่ายจึงเพียงแต่เห็นกันแค่ปลายสายตา ที่ต่างกำลังจ้องมองหรือคิดใคร่ครวญเรื่องอื่น

ซึ่งล้วนไม่ใช่เรื่องงานหมั้นของสองตระกูลที่ผู้ใหญ่วางแผนไว้นานแล้ว...


* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *

มิมูระ นัตสึกิ ตักน้ำซุปในชามแล้วซดเป็นคำสุดท้าย ก่อนจะเอ่ยขอบคุณพ่อครัวดังๆ

“อร่อยจังเลยค่ะคุณลุง”

“โอ... คุณหนูทานหมดชามเลยหรือครับ มาครับๆ เดี๋ยวขอผมเก็บจานชามก่อน รับอะไรอีกไหมครับ”

“เอ... ไม่ล่ะค่ะ หนูอิ่มแล้ว ไม่เป็นไรค่ะคุณลุง เดี๋ยวหนูเก็บโต๊ะเองนะคะ”

ยิ่งเห็นพ่อครัวกุลีกุจอเดินออกมา นัตสึกิก็รีบรวบช้อนและเก็บชามนำไปส่งให้ที่หลังร้านด้วยท่าทีที่แคล่วคล่อง พ่อครัวยะมะดะรีบโค้งขอบคุณ นัตสึกิโค้งคำนับกลับและเดินออกมาจากหลังร้านด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ทันใดนั้น เสียงกรุ๋งกริ๋งจากหน้าร้านเป็นสัญญาณว่ามีลูกค้าเข้ามาใหม่ก็ดังขึ้น

ก่อนหน้านั้น อิจิยานางิ เกนโซ ในวัย 18 ปี บอกคนขับรถให้จอดที่ร้านอุด้งระหว่างทาง แทนที่จะตรงไปยังคฤหาสน์อันเป็นที่นัดหมาย

“ผมอยากกินอะไรรองท้องก่อนน่ะครับ กลัวไปถึงงานแล้วทำตัวไม่ถูก กินอะไรไม่ลง”

เขาให้เหตุผลกับคนรถง่ายๆ เมื่อเดินเข้าไปในร้าน ก็พบว่าเป็นร้านอุด้งเล็กๆที่ดูสะอาดตา และแทบจะไม่มีลูกค้า ทั้งที่มีเด็กเสิร์ฟหน้าตาน่ารักยืนยิ้มเตร็ดเตร่ไปมาอยู่คนหนึ่ง

“ขออุด้งชามนึงครับ”

“คะ”

“ครับ อุด้งน้ำใส ตามป้ายหน้าร้านไงครับ”

“เออ... ค่ะ”

เด็กสาวตรงหน้าทำหน้ามึนงงและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้างด้วยสายตาแพรวพราว หันกลับไปที่หลังร้าน

“คุณลุงยะมะดะค้า ขออุด้งน้ำใสอีกชามนึงค่า”

“ครับคุณหนู ได้เลยครับๆ”

เกนโซรู้สึกแปลกใจกับสรรพนามที่ได้ยิน เด็กสาวยังคงยิ้มสดใสก่อนจะพยักหน้าให้แล้วปลีกตัวไปนั่งที่โต๊ะมุมในสุดเกือบหลังร้าน โต๊ะนั้นมีร่องรอยการใช้งานอยู่เล็กน้อย ทั้งยังมีสมุดบันทึกและอัลบั้มรูปต่างๆวางอยู่หลายเล่ม เด็กสาวคนนั้นพลิกดูสมุดควบคู่กับอัลบั้มรูปแล้วพยักหน้าพึมพำอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว

“มาแล้วครับคุณหนู”

พ่อครัวนำอุด้งชามใหญ่มาเสิร์ฟเองจากหลังร้าน นัตสึกิส่ายหน้าแล้วชี้โบ้ยไปที่โต๊ะของเกนโซ

“เปล่าค่ะ ของโต๊ะนั้น หนูรับออเดอร์ให้คุณลุงไงคะ”

“โอ ครับๆ ขอบคุณครับ”

เกนโซกะพริบตาปริบๆ ตกลงเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่เด็กเสิร์ฟของร้าน เขาโค้งศีรษะตอบรับพ่อครัวที่นำชามอุด้งมาส่งและหันไปขอโทษเด็กสาว แต่ก็พบว่าเธอกำลังใช้สมาธิกับสมุดบันทึกตรงหน้าอย่างขะมักเขม้น

“พอจะจำได้มากขึ้นแล้วนะครับ”

“ฮืมม์.... ค่ะ จำได้ตั้งเยอะแล้วล่ะ”

บทสนทนาของพ่อครัวและเด็กสาวก็ดูแปลกๆ เกนโซคีบเส้นอุด้งใส่ปากแต่สายตาก็ยังมองที่เด็กสาวไม่วางตา ฝ่ายลุงยะมะดะ พ่อครัวประสาทไว ก็หันขวับมาจ้องหน้าเขา

“เอ... คุณหนูคนนี้ คุณหนูรอง ของตระกูลอิจิยานางิหรือเปล่าครับ”

เกนโซถือตะเกียบค้าง ขณะที่นัตสึกิอุทานเบาๆ

“เฮ้... หนูอ่านถึงตรงนี้พอดีเลยค่ะ อิจิยานางิ เกนโซ คนที่พอถึงวันนึง จะต้องเข้าพิธีแต่งงานกับมิมูระคนใดคนหนึ่ง อาจจะเป็นนัตสึกิ หรืออายูมิก็ได้ อา...”

เกนโซไม่เข้าใจที่คุณลุงและเด็กสาวคนนี้พูด เขาก้มหน้างุดและโกยอุด้งเข้าปาก

“เราชอบอุด้งเหมือนกันเลย ถ้าอย่างนั้น คุณก็มาแต่งงานกับนัตสึกิเถอะนะคะ”

เกนโซสำลักเส้นอุด้งพรวดออกทางปากและจมูก ทั้งมือก็ยังปัดไปโดนเครื่องเทศหกเลอะเทอะ ลุงยะมะดะต้องเข้ามาช่วยเก็บกวาดและพาเขาไปล้างมือล้างหน้าในห้องน้ำ

ระหว่างนั้น นัตสึกิอมยิ้มขำแต่ก็มองตามด้วยความเห็นอกเห็นใจ น่าแปลกที่เหตุการณ์เกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น แต่ตาต่อตาที่ประสานกัน กลับบอกเล่าความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ชัดเจนอย่างประหลาด...


* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *


ไคริเซอิ ตนโซ*~

ยะมะดะพึมพำเบาๆ ตรงอ่างล้างมือที่เด็กหนุ่มยืนล้างมืออยู่ที่หลังร้าน

ครับ?”

เกนโซขมวดคิ้วทวนคำ

“ขออภัยครับ ผมเรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษไม่ถูกเหมือนกัน แต่มันเป็นโรคประหลาดที่คุณหนูนัตสึกิเป็นตั้งแต่ตอนขึ้นชั้นประถมครับ คุณหมอเรียกเจ้าโรคนี้ว่า ไคริเซอิ ตนโซ~

“ไคริเซอิ ตนโซ~...”

เกนโซทวนคำตาม เขาผละจากอ่างน้ำ ลากเก้าอี้มานั่งในครัวและสนทนากับลุงยะมะดะอย่างจริงจัง

“มันคืออะไรหรือครับ”

“คืออย่างนี้ครับ...”

ยะมะดะพยายามให้คำอธิบาย

“เรื่องมันเริ่มจาก อยู่มาวันนึง แทนที่จะขึ้นรถไปโรงเรียน คุณหนูนัตสึกิก็ถือกระเป๋าเดินเตร่ไปตามท้องถนนเรื่อยๆ โดยที่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหน แต่พอดีหิว ก็แวะไปกินอุด้งที่ร้านข้างทางร้านนึงเข้า เจ้าของร้านจำคุณหนูนัตสึกิได้ แต่เจ้าตัวจำตัวเองไม่ได้”

“อย่างนั้นหรือครับ...”

เกนโซได้แต่ทวนคำถาม สมองได้รับข้อมูลใหม่ เพิ่มเติมจากที่เคยได้ยินแค่ ...นัตสึกิป่วยเป็นโรคประหลาด ทำให้ไปโรงเรียนตามปรกติไม่ได้... เหตุผลก็คงเป็นเพราะ ถ้าหายตัวไปจากโรงเรียน ก็คงจะตามหาตัวยากกว่าสินะ

หลังจากตามตัวกลับมาได้ คุณผู้ชายก็พาคุณหนูไปรักษา จิตแพทย์บอกว่า เป็นโรคทางสมองอย่างหนึ่งครับ คุณหมอบอกว่า คนที่ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่ มักจะเคยได้รับความกระทบกระเทือนใจบางอย่างมากๆ เลยเกิดกลไกป้องกันจิตใจขึ้นมาครับ”

“แล้ว นัตสึกิเจ็บปวดจากอะไรล่ะครับ”

“เอ่อ... อันนี้เป็นความลับของตระกูลมิมูระครับ กระผมเปิดเผยไปก็เกรงว่าจะไม่เหมาะ”

“ครับ”

เกนโซพยักหน้า เขารู้สึกผิดหวังแต่ก็เข้าใจดีว่าหากตนเองเป็นยะมะดะก็คงต้องตอบเช่นนี้

“เออะ แต่คุณเกนโซอย่าเข้าใจผิดนะครับ คุณนัตสึกิไม่ได้ถูกทำทารุณกรรมทางร่างกายแบบในหนังนะครับ ผมรับรองได้ โอย ผมจะเล่ายังไงดี”

“เปล่าครับ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย คุณลุงกรุณาเล่าเฉพาะส่วนที่พอจะเล่าได้ให้ผมฟังเถอะนะครับ”

เกนโซขอร้องอย่างสุภาพ

“แหะๆ ครับ คือโรคนี้ยังไม่มียารักษา คุณหนูก็เลยอาจจะมีอาการได้อีกเรื่อยๆครับ คุณผู้ชายก็เลยให้คุณหนูงดไปโรงเรียน มีครูมาสอนหนังสือให้ที่คฤหาสน์ ทางออกจากคฤหาสน์ก็ทำเป็นทางบังคับให้ออกมาที่ถนนเส้นนี้ ให้ผ่านร้านอุด้งร้านนี้ และให้ผมมาคอยเฝ้าอยู่ที่นี่

“อย่างนั้นหรือครับ...”

เกนโซเข้าใจมากขึ้น แต่ก็ทำได้เพียงตอบรับ ไม่กล้าถามอะไรเพิ่ม

“พอคุณหนูเดินผ่านร้านอุด้ง เธอก็จะแวะเข้ามาสั่งอุด้งน้ำใส 1 ชาม และผมก็จะค่อยๆ ชวนเธอคุย และให้เธออ่านบันทึกที่จดรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับตัวเธอไว้ สักพัก เธอก็จะนึกขึ้นได้ แล้วกลับไปที่คฤหาสน์ตามเดิม ปีนึง มีเหตุการณ์อย่างนี้ไม่กี่ครั้งหรอกครับ คุณหนูเกนโซมาเจอแจ็กพอตพอดี”

“แปลว่าคุณลุง ก็ไม่ใช่พ่อครัวทำอุด้งจริงๆสินะครับ”

เกนโซตั้งคำถาม ทั้งที่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมกำลังจะปลดเกษียณจากหน้าที่คนขับรถของตระกูลมิมูระอยู่พอดี เลยไปเรียนทำอุด้งมานิดหน่อย ถึงคุณหนูนัตสึกิไม่แวะมา ตอนนี้ก็พอจะมีลูกค้าคนอื่นเข้าร้านแล้วล่ะครับ”

“นั่นซีครับ อย่างผมนี่ไง ฝีมือคุณลุง อร่อยใช้ได้เลยนะครับ”

เกนโซชมจากใจจริง ยะมะดะยิ้มเขินๆ


“ส่วนเรื่องคุณหนูนัตสึกิ คุณหนูเกนโซอย่าถือสาหาความเธอเลยนะครับ เวลาอยู่ในคฤหาสน์ เธอก็ไม่ได้ร่าเริงขนาดนี้ บางที ผมก็รู้สึกว่าเธออาจจะแกล้งทำเป็นลืมๆ แล้วออกมาเที่ยวเล่น”

“ครับ”

เกนโซตอบรับแล้วยิ้มน้อยๆ

“โอ... อย่าบอกนะครับ ว่าคุณหนูเกนโซ ตกหลุมรักคุณหนูนัตสึกิเข้าให้แล้ว ฮ่าๆๆๆ”

เสียงหัวเราะของลุงยะมะดะดังลั่นหลังร้าน จนนัตสึกิต้องหันหลังเอี้ยวตัวไปดู คนขับรถของเกนโซเองก็เดินตามเข้ามาในร้าน และเตือนว่าใกล้ถึงเวลานัดหมาย ไปร่วมงานวันเกิดของอายูมิ ที่คฤหาสน์ของตระกูลมิมูระแล้ว

ก่อนออกจากร้าน เกนโซหันไปมองนัตสึกิที่โบกมืออำลาก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านสมุดบันทึกต่อ ราวกับเมื่อครู่นี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น อิจิยานางิ เกนโซ เดินออกจากร้านไปสามก้าว แล้วบอกกับคนขับรถอย่างเด็กหนุ่มที่พยายามจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว

“ฝากขอโทษคุณพ่อด้วยครับ ว่าผมไม่สะดวกไปงานเลี้ยงจริงๆ แต่ผมไม่ได้หนีไปเที่ยวเตร่ที่ไหน สิ่งที่ผมจะทำตอนนี้ คือการช่วยดูแลลูกสาวคนโตของคุณอาทากากิอยู่ที่ร้านนี้นะครับ”

คนขับรถที่เปิดประตูรถไว้รอถึงกับอ้ำอึ้ง

“กรุณาด้วยนะครับ”

เกนโซโค้งให้ชายคนขับรถอย่างไม่ถือตัวและไม่ยอมเงยหน้าขึ้น จนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูรถ เด็กหนุ่มจึงค่อยยืดตัวตรง ทันใดนั้น เขาก็ได้เห็นรอยยิ้มและแววตาชื่นชมจากสารถีคู่ใจ

“เดี๋ยวผมจะรายงานให้นะครับคุณหนู”

คนขับรถโค้งให้ด้วยท่าทีขึงขัง จากนั้นจึงหันกลับไปนั่งในที่นั่งคนขับ และขับรถที่ไร้ผู้โดยสารตรงไปยังคฤหาสน์อันเป็นที่หมาย ส่วนเกนโซหันหลังกลับไปเปิดประตูร้านขายอุด้งใหม่อีกครั้งหนึ่ง

เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังกรุ๋งกริ๋งแว่วหวาน เกนโซเดินไปขออนุญาตนั่งที่โต๊ะของนัตสึกิอย่างมีมารยาท บทสนทนาเริ่มต้นอย่างเก้ๆ กังๆ แต่ก็ต่อเนื่องยาวนานจนกระทั่งงานเลี้ยงเลิก...


* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *

“แล้ว... คุณขอเธอแต่งงานตอนไหนคะ”

นักนินถามคำถามขึ้น ทั้งที่ไม่อยากขัดจังหวะนัก ระหว่างที่เล่าเรื่องการพบกันครั้งแรก ดูท่าทางเกนโซมีความสุขมาก

“ก็...”

“อย่าบอกนะคะ ว่าวันนั้นเลย”

“ครับ...”

เกนโซก้มหน้าเขินอายเหมือนกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นอายุ 18 ปีอีกครั้งหนึ่ง นักนินหลุดหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู เกนโซเงยหน้าขึ้นมาเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มร่าเริงนั้นพอดี เขายิ้มบางๆ อย่างคนรู้สึกผิด นักนินเองก็นึกอะไรขึ้นได้

“คุณคงไม่ได้ขอเธอแต่งงานเพราะความสงสารหรอกนะคะ”

“เปล่าครับ เอ่อ ไม่ จริงๆ ก็มีส่วน”

“คะ?”

“นัตสึกิเป็นคนที่น่าสงสารจริงๆ ตั้งแต่เธอเป็นโรคที่ว่านั้น เธอก็ไม่เคยได้ไปไหนไกลกว่าร้านอุด้งจนกระทั่งได้พบกับผมตอนอายุ 15”

“อืมม์...”

“แต่สิ่งที่มีมากกว่าความสงสาร คือความอ่อนโยน เป็นกันเอง และความเอาใจใส่ที่เธอมีให้ผม เราเหมือนได้ตั้งต้นรักกันใหม่ทุกวัน สมุดที่เธอจดบันทึกไว้ทุกคืนมักลงท้ายด้วย ฉันมีคนรักชื่อเกนโซ มันทำให้เมื่อไรที่หลงลืม เราก็จะเริ่มต้นกันใหม่ได้ง่ายขึ้น”

“ค่ะ”

นักนินยิ้มบางๆ รอให้เขาเล่าต่อ

“ผมมีเครื่องเล่นดีวีดีที่ประมวลรูป กับคลิปวิดีโอ กับโน้ตต่างๆให้เธอดู ฟัง และอ่านแทนสมุดบันทึก และก็หาโทรศัพท์มือถือที่แสดงตำแหน่ง GPS ได้เพื่อเป็นหลักประกันว่าเธอจะไม่หายไปไหน และเมื่อไหร่ที่เธอหลงลืม ผมมีสารพัดอุปกรณ์ที่จะทำให้เธอจำผมได้ใหม่”

“เมื่อเธอแต่งงานกับคุณแล้ว คุณก็เลยพาเธอไปไหนต่อไหนได้”

“ครับ เราพากันมาฮันนีมูนที่เมืองไทย พอผมมีอำนาจในการลงทุน ผมก็ตัดสินใจมาลงทุนทำโรงงานทอผ้าที่เมืองไทยเพื่อส่งกลับไปขายที่ญี่ปุ่นตามที่นัตสึกิขอร้อง เธออยากมีบ้านพักตากอากาศที่นี่”

“ฮือ... น่ารักจังเลยค่ะ ฉันขอสารภาพเลยว่า กำลังอิจฉาความรักของคุณทั้งคู่”

นักนินชื่นชมอย่างจริงใจ ทันใดนั้น เธอเห็นประกายตาวาบไหวของชายหนุ่มตรงหน้า เขาเคยบอกเธอแล้วว่า นัตสึกิจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่อย่างไร และเมื่อไร หญิงสาวไม่กล้าถามต่อ

“เธอไม่ได้เป็นแค่โรคประหลาดที่ผมเล่ามาเท่านั้นครับ แต่เป็นเนื้องอกในสมองด้วย กว่าพวกเราจะรู้ นัตสึกิก็ตั้งครรภ์นามิได้ 6 สัปดาห์แล้ว และเธอไม่ยอมรักษาด้วยคีโมใดๆ ทั้งสิ้น นัตสึกิมีชีวิตอยู่ต่อมาเพื่อดูแลนามิได้ถึงแค่ 3 ขวบเท่านั้น”

เกนโซเป็นฝ่ายเล่าเสียเอง เขาบอกเล่าเรื่องราวตอนจบด้วยประโยคราบเรียบอย่างคนเก็บงำความรู้สึกปวดร้าวเอาไว้

“เสียใจด้วยนะคะ...”

“ขอบคุณครับ ผมทำใจได้นานแล้ว ทีนี้ก็ ตาคุณเล่าบ้าง”

“ฉัน...”

นักนินอ้ำอึ้งและเริ่มรู้สึกลังเล นึกตำหนิว่าตัวเองโง่มากที่เสนอตัวไปสวมรอยแทนนัตสึกิ หญิงสาวที่ดีพร้อมขนาดนั้น ช่างแตกต่างกับสถานะของเธอในปัจจุบันราวฟ้ากับเหว

“ฉัน...”

เป็นต้นเหตุให้คนรักขับรถชนตาย ทำให้เพื่อนรักและคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องตายด้วยอุบัติเหตุ ถูกคนรักมอมยาและจับกรอกยาจนต้องกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย

หญิงสาวกัดริมฝีปาก น้ำตาเริ่มคลอตา

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณไม่พร้อมจะเล่า ก็ไม่ต้องเล่าก็ได้”

“ขอโทษค่ะ”

นักนินก้มหน้า ยอมรับสภาพและเตรียมฟังคำปฏิเสธจากชายตรงหน้า

“แต่ผมก็ยังอยากให้คุณรับบทเป็นแม่ของนามิอยู่ดี อย่างน้อยก็ ช่วยกระตุ้นให้เธอเรียนภาษาไทย แต่ต้องอยู่บนสัญญาข้อที่ว่า คุณเป็นแม่ปลอมๆ เท่านั้น เราจะไม่มีการจดทะเบียนสมรสกัน คุณมีสิทธิ์เรียกร้องค่าตอบแทน วันหยุด ค่ารักษาพยาบาล ค่าสวัสดิการต่างๆ ได้เหมือนกับ...”

“เหมือนกับเป็นพนักงานคนหนึ่งของคุณ”

นักนินเติมให้ ฟังแล้วก็ยุติธรรมดี อีกไม่นานคงมีเอกสารปึกใหญ่มาให้เซ็นรับทราบข้อตกลงต่างๆ นักนินค่อยแน่ใจในสถานภาพของตนเองขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

“ฉันไม่ต้องการค่าตอบแทนหรือสวัสดิการใดๆ ทั้งนั้นค่ะ ฉันยินดีทำงานให้คุณแบบไม่ต้องมีวันหยุด ขอแค่ที่ซุกหัวนอน กับอาหารให้กินครบสามมื้อเท่านั้น เพราะตอนนี้ ชีวิตของฉันก็แทบไม่เหลืออะไรเลย”

แวบหนึ่งนักนินนึกขึ้นมาได้ ที่จริงเธอยังเหลือแม่ แต่ถ้าแม่รู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ ภาคิมก็ต้องรู้ด้วย สู้เธอหลบซ่อนตัวต่อไปจะปลอดภัยกว่า

“ครับ แล้วตกลงคุณบอกผมได้ไหม ว่าคุณชื่ออะไร”

นักนินลังเล ดวงตากลมโตยังมีน้ำตาเอ่อคลอตา เธอฝืนยิ้มแล้วตอบว่า

“นัตสึกิค่ะ ฉันเป็นนัตสึกิได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย”

เกนโซซึ่งปัจจุบันอายุ 38 ปีเข้าใจได้ ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีเหตุจำเป็นให้ต้องปิดบังตนเองไม่ให้ใครรู้จัก ในแง่ธุรกิจถือว่าเป็นคู่สัญญาที่ไม่น่าไว้ใจที่สุด ชายหนุ่มลอบถอนใจเบาๆ แต่แล้วก็พยักหน้า

“ตกลงครับ”

เขาเห็นนัตสึกิมือใหม่ลอบถอนหายใจเช่นกัน เธอคงกังวลอยู่กับเรื่องของตนเองจนลืมถามไปว่า นัตสึกิหน้าตาและท่าทางเป็นอย่างไร ซึ่งก็คงมีแต่เกนโซและนามิเท่านั้นที่ยืนยันได้ ว่าละม้ายคล้ายคลึงกับผู้หญิงตรงหน้าเพียงใด

หรือจะเป็นศัลยกรรมตกแต่ง?
หรือจะเป็นบริษัทคู่แข่งส่งเธอมา?

ท่าทีวิงวอนและยินยอมทำทุกอย่างที่เขาเสนอก็ดูน่าสงสัยไปเสียทุกเรื่อง เกนโซมีเหตุผลมากมายที่สมควรผลักไสเธอกลับไปในที่ที่เธอจากมาเสียแต่เนิ่นๆ แต่เขาก็กลับทำไม่ได้ เหมือนมีสายใยบางอย่างผูกรัดให้เขาต้องช่วยเหลือเธอคนนี้

เอาเถอะ สักวันคงมีคำตอบ...

เกนโซปลอบใจตัวเองเช่นนั้น



โปรดติดตามตอนต่อไป

----------------------------------------------------------------------

解離性遁走 (Kairi-sei tonsō)*~ หรือโรคที่มีชื่อสามัญว่า Dissociative fugue เป็นโรคที่เกี่ยวกับการหลีกหนีเหตุการณ์เจ็บปวดในอดีต จิตใจของผู้ป่วยทำการสร้างกลไกขึ้นมาป้องกัน ระหว่างที่มีอาการ ผู้ป่วยจะกลายเป็นอีกคนหนึ่ง นิสัยอาจเปลี่ยน จำเหตุการณ์ในอดีตไม่ไดั เดินทางหาตัวตนไปเรื่อย แต่ยังสามารถเรียกความจำกลับคืนมาได้เมื่อถูกกระตุ้น