Print

ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๑๔๘

TEARS SERIES 
ตอนที่ 11 ๛ ภูษาโยง ๛ (บทที่ 4 : ลูกสาว)

wilasinee2โดย วิลาศินี




heal-148

ขอบคุณภาพจาก http://littlerosetrove.blogspot.com/2011/10/nina-in-japan.html
...
...
...

วินาทีที่ถอยหลังมาจนถึงปลายระเบียง นักนินเห็นภาคิมวิ่งถลาเข้ามาหา สายตาของชายหนุ่ม ณ ขณะนั้น ดูโกรธขึ้ง ละล้าละลัง และอ่อนแอถึงที่สุด ชั่ววินาทีที่นักนินลังเลว่าควรกลับไปหา สายลมวูบหนึ่งพัดกรูขึ้นมาจากหน้าผา เหมือนจะโชยพัดมาโอบกอดเธอไว้และส่งสัญญาณปลอบใจว่า เธอไม่อาจช่วยอะไรเขาได้มากกว่านี้

รอยยิ้มหนึ่งผุดขึ้นมาเมื่อตระหนักได้ว่าหนทางนี้ตนเองเป็นผู้เลือก หากมีใครถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภาคิมอาจตอบได้ว่าเธอเป็นคนกระโดดลงจากหน้าผาเอง ประโยคนั้นเขาคงพูดออกมาโดยไม่รู้สึกผิดใดๆ นักนินยิ้มให้คนรักอย่างให้อภัยด้วยแววตาที่แสนเศร้า ก่อนจะทิ้งตัวลงกลางอากาศที่ว่างเปล่า

สายลมที่พัดกรูดึงร่างบางให้ลอยละลิ่วเหมือนถูกจับโยนลงไปเบื้องล่าง นักนินไม่อาจละสายตาจากแสงไฟตรงขอบระเบียงที่ค่อยๆ ริบหรี่และเล็กลงเมื่อเธอลอยคว้างห่างออกมา หลอดไฟเล็กๆหลอดนั้นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่เธอยึดเหนี่ยวไว้ก่อนสายใยทุกอย่างจะขาดผึง

โดยไม่ทันตั้งตัว เสียงตูมสนั่นดังกึกก้องในโสตประสาท สัมผัสที่กระทบผืนน้ำด้วยความแรงทำให้ปวดร้าวไปทั่วร่าง หลอดไฟตรงปลายระเบียงคล้ายถูกกระชากแล้วระเบิดเปรี๊ยะอยู่ภายในหัว ความมืดมิด ปวดร้าว และหนาวเย็นเข้ามาแทนที่ สัมผัสของมหาสมุทรที่โอบล้อมและกลืนเธอลงสู่ท้องทะเลกว้าง คล้ายจะดูดกลืนทั้งร่างลงสู่อุโมงค์มืดมิดไร้ขอบเขต มิหนำซ้ำ อุโมงค์นั้นยังอัดแน่นไปด้วยพลังงานมหาศาลผลักดันให้ร่างนั้นไหลไปตามกระแสคลื่นใต้น้ำที่เชี่ยวกราก รสของน้ำทะเลเค็มจัดเมื่อท่วมทะลักเข้ามาทางปากและจมูก สัญชาตญาณการเอาตัวรอดผลักดันให้นักนินหาทางโผล่พ้นน้ำขึ้นมาหาอากาศหายใจ  แต่แล้วก็ต้องจมลงไปอีกเมื่อถูกคลื่นซัดสาดโดยไร้ที่ยึดเกาะ
ชุดนอนผืนบางทำให้ไม่ถูกถ่วงด้วยน้ำหนักมากนัก แต่ร่างกายก็อ่อนล้าจนแทบไร้แรงต้าน นักนินว่ายน้ำได้ แต่ก็ไม่เคยว่ายอยู่ในทะเลเป็นเวลานาน คลื่นที่ซัดระลอกแล้วระลอกเล่าพัดพาเอาร่างบางลอยไปปะทะกับวัตถุชิ้นหนึ่งที่ลอยอยู่บนผืนน้ำ มันคือกล่องโฟมขนาดกลางและเก่าคร่ำคร่าที่ลอยมาผิดที่ผิดทาง นักนิน คว้ากล่องนั้นมากอดไว้ มันช่วยพยุงร่างกายส่วนบนให้โผล่พ้นผืนน้ำขึ้นมาได้โดยไม่ต้องออกแรงมากนัก

อย่างน้อยก็ทำให้หายใจได้โล่งขึ้น และช่วงเวลาที่ได้โผล่มาหายใจนั้นทำให้รู้ว่า เบื้องบนฝนฟ้ากำลังคะนองและฝนเม็ดเล็กๆ ร่วงพราวสาดเทลงมาเป็นสาย

สายลมพัดโกรกทำให้ร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความหนาว นักนินยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบาๆ ก่อนจะ โอบกอดกล่องโฟมชิ้นนั้นให้มั่นคงขึ้น คลื่นซัดพัดพาให้ร่างที่ลอยคออยู่กลางทะเลนั้นลอยคว้างไปเรื่อยๆ อย่างไร้ทิศทาง นอกจากร่างกายที่หนาวสั่น หญิงสาวยังรู้สึกง่วงงุนและอ่อนล้า ลำตัวท่อนล่างที่จมอยู่ใต้น้ำคล้ายกับไม่ใช่ร่างของเธออีกต่อไป มันแทบจะขยับเขยื้อนเองไม่ได้ นอกจากจะปล่อยให้คลื่นซัดและพัดพาไปอย่างไม่รู้จุดหมาย

คลื่นลมและฝนสาดจางลงผืนทะเลกว้างไหววูบด้วยท่วงทำนองที่แผ่วเบาลง เบื้องบนเป็นท้องฟ้าที่เริ่มมีดวงดาวโผล่มากระพริบพรายแสง หลังจากเมฆดำผ่านพ้นบนท้องฟ้าจึงเปลี่ยนมาดารดาษด้วยแสงดาวน้อยใหญ่ แสงดาวพราวพรายนั้นเหมือนแดนสวรรค์ที่โน้มต่ำลงมาอยู่ใกล้แค่เอื้อม

น้ำทะเลที่นักนินกลืนลงไปเป็นจำนวนมากกำลังทำปฏิกิริยาในร่างกาย รสเค็มของน้ำทะเลประกอบไปด้วย โซเดียมคลอไรด์ แมกนีเซียมคลอไรด์ แคลเซียมคลอไรด์โพแทสเซียมคลอไรด์ และโซเดียมคาร์บอเนต ซึ่งล้วนเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ตามสมดุลธรรมชาติ แต่หากร่างกายได้รับแร่ธาตุแต่ละชนิดมากเกินไป กลับจะ ทำให้เกิดผลเสียอย่างร้ายแรงตามมา

โซเดียมที่มากเกินไป จะทำให้ทำให้เกิดอาการทางระบบประสาท เห็นภาพหลอน แขนขาอ่อนแรง แมกนีเซียมที่มากเกินไป ทำให้หลอดเลือดขยายตัว การรู้สึกตัวลดลง หัวใจเต้นช้าและหายใจช้าลง แคลเซียมที่มากเกินไปจะดูดน้ำออกจากเนื้อเยื่ออ่อนๆ ทำให้คอแห้ง กลืนลำบาก ประจุของโพแทสเซียมและแคลเซียมจำนวนมาก จะทำให้กระบวนการแลกเปลี่ยนพลังงานภายในร่างกายเกิดความแปรปรวน ส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้ออ่อนแรงและเกิดอัมพาต คลอไรด์ที่มากเกินไปทำให้เกิดภาวะสูญเสียน้ำ และอาจช็อคได้ เมื่อร่างกายถึงขีดจำกัด

บางครั้งความตายอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกแต่ไม่อาจตาย

บางครั้งไม่อยากตายแต่ร่างกายก็จนปัญญาจะต้านทานไหว

แสงดาวกระพริบพรายที่นักนินเห็นตั้งแต่โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำดูเลือนรางลง ขณะเหลียวหน้ามองแสงสุดท้ายที่ปลายขอบฟ้า ในความพร่ามัวนั้นเธอเห็นแสงสว่างบางชนิดแทรกตัวผ่านความมืดผลุบขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า แสงนั้นคงเป็นแสงอาทิตย์ยามเช้า แต่กลับถูกบดบังด้วยวัตถุรูปสี่เหลี่ยมคางหมูขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง หญิงสาวเขม้นมองวัตถุนั้นด้วยสายตาพร่าเลือน นักนินพยายามยกมือขึ้นเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือแต่ไม่สามารถแม้กระทั่งจะหายใจเข้าให้ยาวขึ้น ลมหายใจของเธอเริ่มขาดห้วง พร้อมสติที่ริบหรี่และค่อยๆดับวูบ


ช่วงเวลาที่หมดสติลงไปนั้นนักนินจึงไม่ได้ยินเสียงร้องวี้ดว้ายของเด็กหญิงตัวจ้อย กับสัมผัสของร่างกายกำยำที่กระโดดลงมาจากเรือลำหนึ่งแล้วว่ายลงมาฉุดเธอให้ขึ้นจากผืนน้ำได้ทันเวลา ก่อนความตายจะฉุดพรากไปอย่างเฉียดฉิว...

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *

ภาคิมนั่งกอดเข่าอยู่ริมฝั่งจนเช้า เฝ้ารอการกลับมาแจ้งข่าวจากเรือกู้ชีพซึ่งลงไปค้นหากลางทะเลตั้งแต่   ตีหนึ่งเป็นจำนวนสองลำ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าบริเวณนั้นมีคลื่นใต้น้ำไหลค่อนข้างแรงเรือไม่สามารถเข้าไปค้นหาได้ในระยะใกล้ แต่เมื่อรอน้ำลงและค้นหาโดยรอบแล้วก็ยังไม่พบอะไรจนรุ่งสาง
พอใกล้รุ่ง ชาวประมงก็เริ่มกลับจากหาปลากันแล้วครับ ตอนรุ่งเช้ามีเรือไดหมึกผ่านเข้ามาในเส้นทาง ผมให้คนไปดักค้นตรงท่าเรือก็ไม่เจออะไรนอกจากกุ้งหอยปูปลา แต่ผมก็ลองส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปรอบๆ เผื่อใครเจออะไรแปลกๆ ลอยไปหาก็ให้รีบแจ้ง

แล้วมีตอบกลับมาไหมครับ

ไม่มีเลยครับ ช่วงกลางดึกมีฝนตกด้วย คลื่นลมแปรปรวนมาก ถ้ามีอะไรร่วงลงทะเลช่วงเวลานั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะลอยไปทางทิศไหน ตอนสายผมออกไปหาอีกรอบ ว่าจะลองใช้เรือเล็กเลาะไปดูตามหินโสโครก เผื่อว่าจะเอ่อ...

ครับ...ถึงเป็นศพไปแล้วก็ช่วยพากลับมาด้วยนะครับ

คนตอบรับรายงานเป็นพัลลภ ซึ่งมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วความช่ำชองของผู้เป็นอาช่วยจัดฉากในห้องภายในเวลาไม่นานให้ดูเรียบร้อยก่อนจะให้หน่วยรักษาความปลอดภัยเข้ามาตรวจดูสภาพ

ช่วงเวลาที่ดึกดื่นและฝนฟ้าอากาศที่ไม่เป็นใจ ทำให้การออกไปค้นหาร่างของหญิงสาวล่าช้ากว่าที่      ควรจะเป็นและยังคว้าน้ำเหลว ผู้บริหารของโรงแรมรีบรุดมาคุมสถานการณ์ด้วยตนเองและมีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจเป็นอันมาก เพราะไม่อยากให้เสียภาพลักษณ์ว่าระบบคุ้มครองความปลอดภัยในโรงแรมระดับห้าดาวของตนมีความบกพร่อง

ทางโรงแรมป้องกันไว้ดีแล้วครับแต่... ก็อย่างว่าแหละครับ เด็กสาววัยรุ่น คงมีปัญหาทางจิตใจที่เรื้อรังมานาน ฟังว่าทุบกระจกแล้วกระโดดลงไปฆ่าตัวตายเอง ใจผมห่อเหี่ยวเลยครับ เสียใจแทนผู้ปกครองกับคู่หมั้นเธอที่เป็นหลานชายผมจริงๆ

พัลลภเป็นผู้ตอบคำถามและกลับเป็นฝ่ายขอโทษขอโพยที่ทำให้ทางโรงแรมต้องเสียชื่อเสียง ทำให้ผู้บริหารของโรงแรมใจชื้นขึ้น ตำรวจมาไต่สวนเหตุการณ์คร่าวๆ แล้วรีบล่าถอยกลับไปตามคำสั่งของ  เบื้องบนที่ไล่หลังตามมาในเวลาไม่นาน มีเพียงข่าวจากพนักงานรักษาความปลอดภัยที่กระจายออกไปยังกระจอกข่าว ว่ามีชายหนุ่มหญิงสาวมาพักในโรงแรมแล้วทะเลาะกัน หญิงสาวกระโดดน้ำฆ่าตัวตายทิ้งให้แฟนหนุ่มมานั่งรอเรือกู้ชีพงมซากอยู่ริมฝั่ง แต่ก็ยังไร้วี่แววการค้นพบ

ภาคิมก้มหน้าและขบกรามแน่นจนเส้นเอ็นที่ขมับปูดโปนมือที่กอดเข่าไว้สั่นเทาขึ้นมาโดยที่เจ้าตัวไม่ได้สังเกต
นิ่มจะตายไหมครับอา...
เมื่ออยู่ด้วยกันเพียงลำพัง ภาคิมหันมาถามด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยว พัลลภเหลือบตามองหลานชายด้วย  ความสมเพชก่อนจะปรับน้ำเสียงให้ราบเรียบ
อืม ถ้านานขนาดนี้แล้วยังหาไม่เจอก็อาจจะ...
พัลลภกระแอมในลำคอเบาๆ ก่อนจะหันมาตั้งคำถาม
อยากให้ตายไหมล่ะ
ภาคิมหลบตาและหันไปก้มหน้าทำอ้ำอึ้ง พัลลภเอื้อมมือไปโอบไหล่หลานชายแล้วบีบเบาๆ
ตกลงกระโดดลงไปเองจริงๆใช่ไหม
ครับ...สงสัยว่าตอนที่ผมคุยโทรศัพท์กับอา คงจะแอบฟังอยู่ พอผมกลับไปเอาเชือกที่รถ กลับมาที่ห้องอีกทีก็เห็นโผล่ไปอยู่ตรงริมระเบียงแล้ว
นั่นไง ไม่ใช่ความผิดของหลานอาสักหน่อย

ครับ...

ถ้าเจอว่ายังไม่ตายพาขึ้นฝั่งก็หาทางกรอกยาเข้าไปใหม่ จะได้ไม่พูดมากแต่ถ้าเป็นศพไปเสียก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องทำอะไรให้วุ่นวาย จริงไหม

ภาคิมสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วงท้ายที่สุดก็พยักหน้า

จริงครับอา
เขาหันมองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า เริ่มเข้าใจวิถีทางความคิดแบบพัลลภและคล้อยตามแต่โดยดี
ตายไปเสียก็ดี...เรื่องจะได้จบๆ
...
...
...

เช้าวันเดียวกัน

นักนินถูกดึงขึ้นเรือผายปอด และสำรอกเอาน้ำทะเลออกมาหลายครั้ง หัวใจถูกกระตุ้นให้กลับมาทำงานแต่ร่างกายยังไม่อาจปรับสภาพแขนขาและลำตัวของหญิงสาวมีร่องรอยฟกช้ำจากแรงกระแทกริมฝีปากและใบหน้าซีดเผือดจากการแช่น้ำมาเป็นเวลานาน เมื่อเริ่มรู้สึกตัว ร่างบางสั่นเทาด้วยความหนาว เมื่อถูกเขย่าและฝืนลืมตาขึ้น นักนินเห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏในสายตาที่พร่าเลือน ในความสับสนปนเปเงาร่างนั้นวูบไหวและปรากฏเป็นภาพของเตชิตกำลังก้มหน้ามองลงมาด้วยความเป็นห่วง เบื้องหลังของชายหนุ่มยังมีหญิงชายแปลกหน้าสองคนนอนเบียดกันอยู่ไม่ไกลนัก พอเหลือบตาไปมอง ทั้งสองคนก็ค่อยๆ ทรงตัวลุกขึ้นยืน เลือดที่ไหลลงมาจากศีรษะเปื้อนเสื้อผ้าของทั้งคู่ รอยเลือดไหลเป็นทางจนอาบเทพื้นที่เธอนอนอยู่
นักนินเบิ่งตาค้าง เงาร่างของเตชิตประคองเธอขึ้นมาจากพื้นแข็งกระด้าง หญิงสาวตะโกนร้องขอ       ความช่วยเหลือผ่านลำคอที่แห้งผาก น้ำตาไหลออกมาจากตาที่บวมช้ำ
ช่วยด้วย...ช่วยให้ฉันตายเสียที
ประโยคนั้นไม่สามารถเปล่งออกมาเป็นคำพูด หญิงสาวสลบซบลงกับอกของชายแปลกหน้าอีกครั้งหนึ่ง
...
...
...

โอก้าซัง... โอก้าซัง...

เสียงนั้นหวานใสและไพเราะปานระฆังแก้วดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล แล้วขยับมาใกล้จนเหมือนแนบชิดอยู่ข้างหู นักนินหันศีรษะไปตามเสียงแล้วค่อยๆลืมตา


โอโต้ซังโอะคิเตะ คุดาไซ~*


เด็กหญิงหันไปเขย่าตัวชายผู้หนึ่งที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบตรงมุมห้อง ภาษาญี่ปุ่นพรั่งพรูเหมือนกระดิ่งส่ายดังกรุ๋งกริ๋งกังวานแจ่มใสอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นักนินกระพริบตาปริบๆ และกวาดตามองไปรอบๆ

ภาพที่น่ากลัวปนสยดสยองหายไปแล้ว และเธอยังไม่ตาย...

ที่ที่ซุกตัวนอนอยู่น่าจะเป็นเตียงเล็กๆ ในห้องพักสักห้องหนึ่งในลำเรือ สังเกตได้จากช่องกระจกที่มองออกไปเห็นผืนน้ำสีครามอยู่ภายนอก ห้องนี้เล็กมากเฉพาะเตียงนอนที่เธอนอนอยู่เพียง 1 เตียงก็ใช้พื้นที่ไปแล้วค่อนห้อง


คุณแม่ฟื้นแล้ว...โอโตฮิเมะ*ปล่อยตัวคุณแม่มาจากวังมังกรแล้วใช่ไหมคะคุณพ่อ...


เด็กหญิงยิ้มร่า หันหน้าไปมาจนผมเส้นเล็กๆ สะบัดกระจาย เธอส่งเสียงเป็นภาษาญี่ปุ่นที่นักนินจับใจความได้เพียงกระท่อนกระแท่น หญิงสาวพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง ในหัวมีคำถามมากมายแต่ตั้งต้นไม่ถูก ที่สำคัญลำคอก็ยังตีบตันและแห้งผากทั้งที่กระหายน้ำเหลือกำลัง


ชายหนุ่มที่อยู่ตรงมุมห้องไหวตัวลุกขึ้น เขาหันไปรินน้ำจนเต็มแก้วแล้วนำมายื่นให้ ทีแรกหญิงสาวมีอาการตกใจเมื่อเห็นแก้วน้ำ ภาพซ้อนตอนที่ถูกภาคิมบีบแก้มเทน้ำกรอกปากยังตามมาหลอกหลอน นักนินขดตัวหนีไปจนชิดติดผนัง เธอยังไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าชายผู้นั้น


คุณพ่อนี่ทำคุณแม่ตกใจหมด มานี่มา นามิจัดการเอง


เด็กหญิงประคองแก้วน้ำจากมือพ่อส่งต่อมาให้หญิงสาว


คุณแม่ขาดื่มน้ำหน่อยนะคะ


ถึงจะฟังเสียงแล้วไม่เข้าใจในภาษา แต่แววตาใส่แจ๋วกับแก้มยุ้ยๆนั้นน่ารักน่าเอ็นดูเกินกว่าจะปฏิเสธ นักนินยื่นมือไปรับรับน้ำแก้วนั้นมาดื่มอึกๆ จนหมดเกลี้ยงภายในเวลาอันรวดเร็ว หญิงสาวส่งแก้วคืนด้วยแววตาเสียดาย


เดี๋ยวนามิรินให้อีกค่ะ...คุณพ่อขา น้ำเปล่าในนี้หมดแล้ว


เอ่อนั่นสิ



ขณะที่หญิงสาวก้มหน้าหลบตา ชายหนุ่มตรงมุมห้องกลับลอบจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ใช่ด้วยสายตาละลาบละล้วงหรือประสงค์ร้าย แววตานั้นทอประกายอ่อนโยนและเป็นห่วงระคนเหงาเศร้าอย่างประหลาด

นั่นสิ...คุณพ่อคงอยากอยู่กับคุณแม่ตามลำพังสินะ ไม่ได้พบกันนานแล้วนี่นา


นามิพูดพลางค่อยๆถอยหลังออกไปทางประตูห้อง


นามิไปเอาน้ำเปล่าจากห้องเก็บของก่อนนะคะ


อะ... อื้อ เดินระวังนะลูก


คุณพ่อยังหนุ่มพยักหน้า เมื่อลูกสาวประตูปิดดังปัง ชายหนุ่มจึงค่อยหันมาพูดกับหญิงสาวที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงด้วยภาษาไทยที่ค่อนข้างชัดและไม่ผิดเพี้ยนเท่าไรนัก


คุณเป็นคนไทยใช่ไหมครับ


นักนินพยักหน้า ยังคงหลบสายตาและดึงผ้าห่มมาห่อตัวไว้


ผมต้องขอโทษด้วยครับ... คุณเป็นคนผมยาว ผิวขาวๆ ตัวเล็กๆ เลยดูคล้ายกับคนญี่ปุ่น และดูคล้ายกับแม่ของนามิมาก


หญิงสาวค่อยๆ มองหน้าและสบตาผู้พูด รูปร่างหน้าตาของเขามีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับเตชิตอยู่มาก นั่นคือไม่ถึงกับสูงใหญ่แต่ก็มีร่างกายที่แข็งแรงสมส่วน ขัดกับใบหน้า แววตา และริมฝีปากที่อ่อนโยนเหมือนผู้หญิง ตัดผมสั้นคล้ายๆกัน แต่เมื่อพินิจมองดีๆ เขาก็ดูมีอายุมากกว่าเธออยู่หลายปี หากเป็นเตชิตก็คงเป็นเตชิตที่มีอายุยืนยาวไปอีกสิบปีข้างหน้า เขาอาจจะมีอายุสักสามสิบต้นๆ และ...คงมีครอบครัวแล้ว


ลูกสาวของคุณหรือคะ


นักนินถามถึงเด็กหญิงที่เพิ่งออกไปจากห้องชายหนุ่มเป็นฝ่ายพยักหน้าบ้าง


ครับ ผมพาเธอมาล่องเรือที่นี่ทุกปี ปีละหน เพื่อระลึกถึงการจากไปของภรรยา นามิยังเด็กมากเกินว่าจะรับรู้ความจริงข้อที่ว่า แม่ของเธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ผมเคยโกหกเธอว่าแม่ของเธอเป็นนางเงือก และต้องกลับไปอยู่ในทะเล


อ้อ...


นักนินรำพึงเบาๆ การโกหกเมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้ตลอดรอดฝั่ง อย่างที่เธอเคยประสบพบมา... ชายหนุ่มเป็นฝ่ายนึกแปลกใจที่เธอถามเรื่องของเขาแต่ไม่ถามถึงความปลอดภัยของตนเองเลย


ที่ผมยังไม่พาคุณขึ้นฝั่งตั้งแต่วันที่พบคุณลอยน้ำมา เพราะท่าทางคุณตื่นกลัวมาก กระทั่งตอนหลับก็ยังนอนร้องไห้แต่คงจะเจ็บคอมาก ผมเลยไม่ได้ยินว่าคุณละเมอหรือพูดอะไรออกมาพอมีคนส่งสัญญาณวิทยุมาถาม ผมเลยบอก ไม่รู้เรื่อง


ขอบคุณค่ะ


หญิงสาวพยักหน้า จู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมาอีกดื้อๆ นักนินยกมือขึ้นปาดมันทิ้งในทันใด


เดี๋ยวเย็นวันนี้ผมจะเอาเรือกลับเทียบท่าคนของผมจะมารับ คุณจะให้ไปส่งที่ไหนดีครับ


หญิงสาวนิ่งอึ้ง เธอส่ายหน้าก่อนจะหันออกไปมองทางหน้าต่างของเรือ ผืนทะเลทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ความเงียบปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง นักนินค่อยๆหันกลับไปถาม


ลูกสาวคุณชื่ออะไรคะ


ชื่อนามิครับ แปลว่าทะเล


แล้ว แม่ของเธอล่ะคะ


นัตสึกิครับ เธอชื่อนัตสึกิ


นักนินกัดริมฝีปากและสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนจะยื่นเงื่อนไข


ฉันพูดญี่ปุ่นไม่ได้แต่คุณสอนฉันพูดทีละคำ เริ่มจากความหมายของชื่อแต่ละชื่อก็ได้นะคะ ฉันจะพยายามเรียนรู้


ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นคำถาม ทันใดนั้นประตูก็ถูกผลักเข้ามา


คุณพ่อขา คุณแม่ขา นามิเอาน้ำมาเติมให้คุณแม่แล้ว


เด็กหญิงป่าวประกาศเป็นภาษาบ้านเกิด ถึงจะฟังไม่รู้เรื่องแต่นักนินก็ยิ้มบางๆ แทนคำขอบคุณและรับน้ำแก้วใหม่มาดื่มจนหมด พอส่งคืนให้นามิก็รับไปเติมใหม่


ให้ฉันเป็นนัตสึกิอีกคนหนึ่งได้ไหมคะ


นักนินถามชายหนุ่มตรงหน้าเป็นภาษาไทย เขากระพริบตาถี่ๆ แล้วอ้าปากค้าง


คุณแม่พูดว่าอะไรคะคุณพ่อ


นามิหันมาถามเสียงเจื้อยแจ้วคุณพ่ออึกอักอยู่สักครู่หนึ่งแล้วหันไปตอบลูกสาว


แม่บอกว่าเพิ่งกลับมาจากวังมังกร ทำให้ลืมภาษาญี่ปุ่นไปจนหมด ลูกอาจจะต้องสอนคุณแม่พูดใหม่หรือไม่ก็ เรียนภาษาไทยที่หนูไม่อยากเรียนเสียทีน่ะสิ


อืออ....

นามิทำเสียงครางในลำคอประเดี๋ยวยิ้มประเดี๋ยวขมวดคิ้วมุ่นระหว่างฟังคุณพ่ออธิบาย นักนินจับภาษาท่าทางได้ว่าเด็กหญิงตัวจ้อยมีทั้งความยินดีและความลังเลใจเจืออยู่เล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมาแล้วชูสี่นิ้วตะโกนพูดอะไรยาวๆ ออกมาอีกประโยคหนึ่ง จากนั้นก็โผเข้ามากอดหญิงสาวแน่น


นักนินตอบรับอ้อมกอดนั้นด้วยการโอบกอด
ลูกสาวเบาๆเช่นกัน สามีโดยบังเอิญที่เธอยังไม่รู้จักกระทั่งชื่อทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งร้องไห้อยู่ตรงมุมห้อง นักนินยิ้มให้เขาด้วยแววตาขอบคุณ ก่อนจะหันมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งหนึ่ง

Thai-Nippon mirai shiruku Co., Ltd.


ขอบหน้าต่างมีชื่อบริษัททอผ้าไหมที่มีชื่อไทยผสมญี่ปุ่น นั่นเพราะผู้ร่วมลงทุนส่วนหนึ่งมาจากแดนอาทิตย์อุทัย ทั้งชื่อทั้งเครื่องหมายการค้าของบริษัทนั้นเธอเคยเห็นมาก่อน เมื่อตอนอยู่ระหว่างทางก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ เธอจำได้ติดตาขณะนั่งรถผ่านโรงงานที่มีชื่อเดียวกันนี้...


โอก้าซัง...โอก้าซัง...

เสียงนั้นหวานใสและไพเราะปานระฆังแก้วดังแว่วอยู่ข้างหู ดึงเธอออกมาจากห้วงความคิดที่ว้าวุ่น       อ้อมกอดเล็กๆ นี้อบอุ่น นุ่มนวล ทว่าก็แสนเศร้าสร้อยและหงอยเหงา หญิงสาวลูบหลังลูบไหล่เล็กๆใน อ้อมกอดเบาๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพบว่าเด็กน้อยผล็อยหลับลงไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มตรงมุมห้องผุดรอยยิ้มเย็นอย่างเอ็นดูก่อนจะลุกมาอุ้มลูกสาวขึ้นพาดบ่า


รอให้คุณหายดีก่อนแล้วเรามาร่างสัญญากันนะครับ


ชายหนุ่มตรงหน้าเผยมาดนักธุรกิจเต็มตัว และพูดประโยคนี้เป็นภาษาไทยชัดราวกับเป็นเรื่องถนัดและพูดอยู่บ่อยๆ แต่คำต่อมาเหมือนจะขัดเขินปนเก้ๆ กังๆ


ที่รัก...


ชายหนุ่มอุ้มลูกสาวออกไปจากห้องแล้วปิดประตูดังปังแก้เขิน แล้วก็ต่างนึกขึ้นได้ ว่าต่างคนยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงของกันและกันเลยสินั่น





โปรดติดตามตอนต่อไป



~:: เชิงอรรถและนิทานแถมท้าย ::~

*โอโตฮิเมะ (乙姫) หรือ เจ้าหญิงวังมังกร เป็นตัวละครหนึ่งในตำนานอุระชิมะ ทาโร่ (浦島太郎) ซึ่งเป็นชื่อของชาวประมงคนหนึ่งที่มีจิตใจงดงามได้ช่วยเต่าน้อยตัวหนึ่งไว้ จากการถูกเพื่อนชาวประมงกลั่นแกล้ง เขาปล่อยเต่าน้อยลงทะเลไปโดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน แต่แล้ววันหนึ่ง ก็มีเต่ายักษ์โผล่ขึ้นมาจากทะเล และบอกกับอุระชิมะ ทาโร่ ว่าตนมาจากวังมังกร เพื่อตอบแทนน้ำใจที่อุระชิมะทาโร่ช่วยเต่าน้อยไว้ เขาจะเป็นผู้พาอุระชิมะ ทาโร่ ไปเที่ยววังมังกรเป็นการตอบแทน

อุระชิมะ ทาโร่ ไปถึงวังมังกรและได้พบกับ โอโตฮิเมะ ซึ่งได้พากันไปเที่ยวชมพระราชวังต่างๆ ทั้งสี่ฤดู (แต่อยู่ใต้บาดาล) อุระชิมะ ทาโร่ มีความสุขมาก โอโตฮิเมะเองก็อยากให้เขาอยู่ด้วยกันในวังมังกรตลอดไป

แต่ในเวลาต่อมา อุระชิมะทาโร่ก็คิดถึงบ้าน และคิดถึงแม่ จึงขอตัวลากลับมาบนผืนโลก โอโตฮิเมะยอมปล่อยให้อุระชิมะ ทาโร่ กลับขึ้นบกแต่โดยดี แต่ก็ได้ฝากของที่ระลึกจากวังมังกรให้ชิ้นหนึ่ง คือกล่องวิเศษ ที่จะพาเขากลับมายังวังมังกรได้ตลอดเวลาที่อยากกลับมา

มีกติกาเพียงข้อเดียวคือ ให้อุระชิมะทาโร่สัญญาว่า จะไม่เปิดกล่องนี้เป็นอันขาด


แต่พออุระชิมะ ทาโร่ กลับไปถึงบ้าน เขาก็พบว่าผู้คนในหมู่บ้านดูเปลี่ยนไป ดูแปลกหน้าแปลกตาไปหมด เขาไล่ถามผู้คนในหมู่บ้าน ก็ได้รู้ความจริงว่า พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง และผองเพื่อนของเขาได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว พอเขาสอบถามว่า มีใครรู้จัก อุระชิมะ ทาโร่ บ้าง บางคนตอบว่า รู้จัก  แต่นั่นมันชื่อของ       ชายชาวประมงรุ่นทวด ที่หายสาบสูญไปในทะเลเมื่อนานมาแล้ว


เวลาบนโลกกับใต้บาดาลแตกต่างกันมากเกินถึงเพียงนั้น....


อุระชิมะ ทาโร่ ได้รู้ความจริงดังนั้นก็เสียใจมาก เขาร้องไห้คร่ำครวญและหันไปเปิดกล่องที่โอโตฮิเมะให้มาโดยลืมคำสัญญาไปจนหมด(ว่าห้ามเปิดกล่อง) กล่องที่เปิดออกมากลายเป็นควันขโมงและปกคลุมอุระชิมะ ทาโร่ เอาไว้ พอควันจางลง จากเด็กหนุ่มชาวประมงที่หนุ่มแน่น ก็กลายร่างเป็นชายชราที่ใกล้สิ้นใจ


บางตำนานก็ว่าอุระชิมะ ทาโร่ได้หยิบขนนกกระเรียนในกล่องแล้วกลายร่างเป็นนกกระเรียนบินหนีไป    บางตำนานก็ว่าเขาก็แก่ชราและเสียชีวิตไปเองในที่สุด.