Print

ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๑๔๖

TEARS SERIES 
ตอนที่ 9 ๛ ภูษาโยง ๛ (บทที่ 2 : ผู้เคราะห์ร้าย)

wilasinee2โดย วิลาศินี




heal-146
ขอบคุณภาพจาก http://www.aphonda.co.th/2007/promotion/image/17112007/GI_489355.jpg
...
...
...

ดึกดื่นคืนพระจันทร์ข้างขึ้นของต้นฤดูหนาว ดวงดาราฉายแสงกระพริบพราวอย่างซ่อนเร้น  อาจเป็นเพราะบรรยากาศเย็นยะเยือกและเมฆหมอกเคลื่อนคล้อยลอยต่ำ ตัดผ่านแสงจันทร์และแสงดาวเป็นระยะ ท้องฟ้าจึงดูมืดดำกว่าที่ควรจะเป็น ถนนใหญ่เงียบเชียบและเปลี่ยวร้างการสัญจรเหมือนลมหายใจของผู้บำเพ็ญพรต แต่ไม่กี่อึดใจต่อมา ความเงียบนั้นก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงของเครื่องยนต์รถจักรยานยนต์กลางเก่ากลางใหม่ ประสานเสียงกับท่อไอเสียที่เริ่มชำรุดดังกรอกแกรก บรืน ๆ ดังอยู่ขอบถนนชิดซ้ายมือของผู้ขับขี่ พร้อมแสงไฟซึ่งไม่ค่อยสว่างมากนักจากไฟหน้ารถคันนั้น

บุณ เทือน (
bun theuon) และ โภก รมดวล (phok romduol)

เป็นคู่รักที่อพยพย้ายถิ่นมาอยู่ในเมืองไทยโดยผิดกฎหมาย พวกเขาลอบเข้าเมืองมาโดยการชี้ชวนของพ่อค้ามืด ทั้งสองไม่ได้ถูกหลอกให้มาขายแรงงาน ไม่ได้หวังจะมาขุดทองในแผ่นดินสยาม แต่มาเพราะหนีการตามล่าจากบิดาและว่าที่สามีของรมดวล จะว่าไป ชีวิตของทั้งคู่ก็ไม่ผิดจากนิยายน้ำเน่า เทือนเป็นลูกกำพร้า มารับจ้างปลูกข้าวและทำงานอื่นๆให้กับ กำนันโภก ซึ่งเป็นบิดาของรมดวล ความขยันขันแข็งและมีน้ำใจไมตรีของชายหนุ่ม อยู่ในสายตาและสร้างประทับใจให้กับหญิงสาวเรื่อยมา จากแอบมองก็ขยับเป็นย่องเข้ามาทัก จากนั้นก็แอบพบเจอกันในงานวัดและคืบหน้าเป็นสถานที่ต่างๆเมื่อลับหูลับตาผู้ใหญ่ ต่อมาไม่นาน กำนันโภกก็จับได้และประกาศกร้าวว่าจะยกรมดวลให้กับลูกชายของเพื่อนที่เป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อดังประจำจังหวัด งานแต่งงานกำลังจะจัดขึ้นอย่างฉุกละหุก

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งสองพากันหลบลี้หนีออกมาจากบ้านเกิดเมืองนอน...

“หนาวไหม”

ฝ่ายชายที่เป็นคนขับถามเบาๆ เขาไม่พูดเปล่าแต่เอามือข้างหนึ่งกุมมือหญิงสาวที่โอบเอวของตนจากด้านหลัง

“ไม่หนาวหรอก พี่เทือนบังลมหนาวให้ฉันแล้วนี่”

รมดวลตอบพลางนึกถึงวันที่ตัดสินใจหนีงานแต่งออกมาหาคนรัก คนงานในนาข้าวที่รู้เห็นเป็นใจลอบนำข่าวมาบอกว่ามีนายหน้ามาประกาศจะพาคนไปทำงานในโรงทอผ้าที่เมืองไทย แต่ต้องนำเงินไปให้เขาเป็นใบเบิกทางเสียก่อน เทือนและรมดวลใช้เงินทองและทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีไปแลกกับใบเบิกทางนั้น ซึ่งสิ่งแลกเปลี่ยนที่ได้ คือเส้นทางในการหลบหนีตำรวจ อาหารพอให้ประทังชีวิตระหว่างเดินป่าเผื่อลอบเดินทางผ่านพรมแดน และรถบรรทุกคนอพยพที่แออัดไปด้วยหญิงชายแปลกหน้า ยืนเบียดเสียดมาด้วยกันอย่างทุลักทุเลกว่าจะได้เข้ามาหางานในเมืองไทย

วันคืนล่วงผ่านจนเนิ่นนานหลายปีที่ลักลอบเข้ามาทำงานหาเงินในแผ่นดินสยาม รมดวลผ่ายผอมและผิวพรรณซูบซีดไปจากเดิมจนแทบไม่เหลือเค้าของลูกสาวกำนันคนสวย เทือนเฝ้ากอดประคองและกุมมือถนอมคนรักไว้ด้วยความรู้สึกผิดระคนสงสาร

‘เธอควรมีชีวิตที่ดีกว่านี้ แต่พี่กลับพาเธอมาตกระกำลำบาก’

แต่เมื่อใดก็ตามที่เทือนโทษตัวเองด้วยประโยคนั้น รมดวลจะกลับเป็นฝ่ายสวมกอดเขาไว้ด้วยความรัก เพราะด้วยอานุภาพแห่งรักนี้เอง ที่พาเธอบากบั่นและฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายมาได้จนถึงทุกวันนี้

“พี่...”

“หืม”

“ร้องเพลงให้ฉันฟังหน่อย เอาเพลงแขมรที่พี่เคยร้องจีบฉันที่งานวัดนะ”

“เอาจริงหรือ”
เทือนทวนถามอย่างเขินอาย

“จ้ะ...เดี๋ยวฉันร้องด้วย เวลาทำงานเหนื่อยๆ ฉันจะนึกถึงเรื่องสนุกๆเมื่อครั้งเราคบกันใหม่ๆ มันทำให้ฉันมีกำลังใจขึ้นมากเลยนะ”
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็สูดลมหายใจลึกด้วยความตื้นตัน เขากระแอมไอนิดหนึ่งแล้วเริ่มร้องเพลงเพื่อหวนรำลึกถึงวันเก่าๆ

ปรึกนึกโอน... ทะไงนึกโอน...
(เช้าคิดถึง... กลางวันคิดถึง...)


บุณ เทือน นึกถึงภาพของหญิงสาวที่เดินตามพ่อมาดูเขาทำงานในนาเวลาเช้า วันใดเธอหายไป เขาก็เฝ้าชะเง้อชูคอรอหาด้วยความคิดถึง


โยบนึกโอน... นึกโอนกรบเวเลีย...
(กลางคืนคิดถึง... คิดถึงทุกเวลา...)

โภก รมดวล เอียงหน้าอิงแอบแนบแผ่นหลังแข็งแรงแล้วร้องคลอวรรคต่อมา นางคิดถึงช่วงเวลากลางคืนที่แอบส่งยิ้มให้เขาในงานวัด งานนั้นมีการจุดพลุสีสันสวยงามตระการตา ไม่แปลกที่คนในงานจะยิ้มเบิกบานอย่างมีความสุข แต่รอยยิ้มนั้นรมดวลมีให้เทือนเพียงคนเดียวเท่านั้น

สรอไมเขอนแต่สรสปุมเงีย เจียบดวงจิตบอง
(ฝันเห็นเธอ อยู่ติดดวงใจพี่)

นึกโอนนึกโอนโอนดังหรือเต ดังเต ทาบองนึกนาส
(คิดถึง คิดถึง น้องจะรู้บ้างไหม รู้บ้างไหม ว่าพี่คิดถึงที่สุด)

เปลเวเลียหรือโดวเจสแต่ฟลาส... บองนึกโอนนาส นึกนาสฟลาสมินบาน
(เวลาที่เปลี่ยนไปไม่มีหยุด แต่พี่ก็ยังคิดถึงไม่เคยเปลี่ยน)

ฟลาสมินบาน... ฟลาสมินบาน... เตอกัลป์ยานดึงเตทาบองนึกโอน
(ไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยเปลี่ยน น้องรู้ไหมว่าพี่คิดถึง)


ใต้เงาฟ้าหม่น คนพลัดถิ่นสองคนทำงานหามรุ่งหามค่ำจนเหนื่อยกายแต่ใจยังไม่ย่อท้อ ทั้งสองร้องเพลงคลอเคียงกันบนรถจักรยานยนต์ที่ขับผ่านราตรีมืดมิด

...
...
...

ปรึกนึกโอน... ทะไงนึกโอน... โยบนึกโอน... นึกโอนปรวสเสน่หา...
(เช้าคิดถึง กลางวันคิดถึง กลางคืนคิดถึง คิดถึงเพราะเสน่หา)

เรียมเกงสุบินเขอนเพียกตราโยยิมดักบอง
(พี่ฝันถึงหน้าเธอยิ้มมาให้พี่)

นึกโอนนึกโอนเบอสินบัดโอน
(คิดถึง คิดถึง ถ้าเธอหายไป)

บัดโอนปีโอรา... เรียมจบัสเจียโตรวโสนสังขา
(หายไปจากอกของพี่ พี่จะต้องตายสูญ)

เบอขวัสเสน่หา... เบอขวัสเสน่หา... รสมินบาน)
(ถ้าไม่มีรัก…ถ้าไม่มีรัก... พี่อยู่ไม่ได้)

มินบานเลย มินบานเลย แก้วบองเฮยดึงเตทาบองนึกโอน
(ไม่ได้เลย... ไม่ได้เลย... แก้วที่รักเอยรู้ไหมว่าพี่คิดถึง...)

...
...
...



ค่ำคืนเดียวกัน

นักนินเอียงหน้ามองเมฆหมอกเคลื่อนคล้อยลอยต่ำ ดวงจันทร์ครึ่งดวง และแสงดาวที่เลือนหาย ดวงตากลมโตคู่นั้นมองผ่านกระจกหน้าต่างของรถยนต์คันหรูที่ภาคิมเพิ่งถอยออกมาใหม่เพื่อเตรียมใช้เป็นสินสมรส เฉพาะเครื่องเล่นวิทยุที่ติดตั้งอยู่ภายใน ก็มีมูลค่าสูงกว่ารถจักรยานยนต์ทั่วไปบนท้องถนน มือของหญิงสาววางอยู่บนเบาะหนังแท้ในรถราคาแพง สัมผัสนั้นทำให้นึกถึงแม่ซึ่งนั่งเก้าอี้ไม้กับจักรเย็บผ้าราคาถูก กับหนี้สินรุงรังที่ไม่รู้ว่าแม่ไปกู้ยืมเขามาตอนไหน ครอบครัวของเตชิตเข้ามาเติมความอบอุ่นที่ขาดหาย แต่ครอบครัวของภาคิมเข้ามาชำระและผ่อนปรนหนี้สินให้ นักนินกำมือเบาๆเมื่อรู้สึกใจหาย นึกถึงวันที่แม่จับมือลูบหลังและพร่ำบอกให้ยอมรับการขอแต่งงานจากภาคิม อะไรบางอย่างยังไม่ลงตัวนัก แต่นักนินก็ตอบไม่ได้ว่าคืออะไร

จังหวะนั้นเองที่ภาคิมเอื้อมมือข้างหนึ่งมากุมมือขวาของเธอไว้แล้วลูบไล้อย่างเพลิดเพลิน เตชิตเห็นภาพนั้นแล้วเสล้วงเอากล้องมาเปิดดูภาพที่ตนถ่ายไว้ คล้ายไม่อยากเป็นส่วนเกิน นักนินนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงบีบมือภาคิมเบาๆและเป็นฝ่ายชักมือออกไปเปิดเครื่องรับสัญญาณวิทยุ

“เดี๋ยวเป็นดีเจให้นะ แก้ง่วง”

แทนที่จะกดปุ่มเลือกเล่นเพลงจากซีดี นักนินกดปุ่มหาคลื่นสัญญาณวิทยุ FM ด้วยเหตุผลว่า

“เผื่อจะมีอะไรแปลกๆฟังบ้าง”
แล้วเจ้าตัวก็ได้ฟังอะไรแปลกใหม่จริงๆ เมื่อนักจัดรายการวิทยุท้องถิ่นได้รับโทรศัพท์จากผู้ชมทางบ้าน ขอฟังเพลงเก่าๆจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศกัมพูชา ดีเจหัวเราะร่าเมื่อถูกลองของ

“อย่างนี้ไม่จัดให้ไม่ได้แล้วสินะครับ เอาล่ะ คุณขอมาเราจัดไป และนี่คือเพลงเก่าลายครามสมัยคุณตาคุณยายยังเล็ก ของนักร้องที่ได้ชื่อว่า King of Kmer music หรือว่าราชาเสียงทองของประเทศกัมพูชา มีลุ้นให้ทายกันว่าเพลงนี้มีความหมายว่าอะไร ติดตามชื่อผู้โชคดีได้ท้ายรายการครับ”

ดีเจเสียงหล่อเปิดทำนองคลอและพูดจบก่อนเสียงเพลงจะดังขึ้น เสียงนั้นมีมนต์ขลังด้วยเส้นเสียงเปี่ยมพลังของผู้ร้องทว่านุ่มละมุนด้วยท่วงทำนองที่พลิ้วไหว ทำให้ภาคิมนิ่งฟังอยู่ชั่วอึดใจแล้วหัวเราะออกมา

“แล้วนิ่มฟังออกหรือนั่น”

“เปล่า นิ่มก็ฟังไม่ออกหรอก แต่จะให้คิวฟังเพลงอย่างนี้เสียบ้าง ยิ่งงงก็จะได้หายง่วงไง”

ปรึกนึกโอน... ทะไงนึกโอน...
โยบนึกโอน... นึกโอนกรบเวเลีย...
สรอไมเขอนแต่สรสปุมเงีย เจียบดวงจิตบอง...
….
….

หญิงสาวและชายหนุ่มหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ด้านหน้าด้วยความไม่เข้าใจภาษาและไม่รู้ความหมายของเพลงที่เปิด สักพักนักนินเห็นเตชิตที่อยู่ตรงเบาะหลังนั่งเงียบอยู่คนเดียวจึงหันไปคุยเป็นเพื่อน

“ได้รูปสวยๆ เยอะไหมเต้”

เตชิตกำลังเลื่อนดูภาพบนจอแสดงผลของกล้องคู่กายอยู่อย่างเหงาหงอย แต่พอนักนินหันมาทักก็แสร้งทำเป็นยิ้มกวนๆ ทั้งยังเป็นจังหวะพอดีกับที่เปิดมาถึงรูปใบหนึ่ง เตชิตถึงกับยิ้มร่าแล้วยื่นกล้องฝั่งหน้าจอให้นักนินเอียงคอดู

“ฮึ้ย!! เต้ ถ่ายรูปนี้มาได้ยังไง รีบลบเลยนะ ห้ามให้ใครเห็น”

ยิ่งเห็นหญิงสาวทำท่าร้อนรน ชายหนุ่มผู้ถือกล้องยิ่งหัวเราะร่าจะดึงกล้องกลับ ทำให้นักนินต้องแทรกตัวไประหว่างเบาะพิงเพื่อจะยื้อแย่งมาลบด้วยตนเอง

“รูปอะไรน่ะ อย่าลบนะเต้ ส่งมาให้เราดูก่อน”

ภาคิมหันมาร่วมวงด้วย นักนินค้อนขวับ ปฏิกิริยานี้เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นรูปที่หญิงสาวเห็นแล้วไม่พึงประสงค์

“ขับรถไปเลยคิว มองทางดีๆ เลยนะ เต้ เอากล้องมาเลยมา”

ภาคิมหัวเราะพลางส่ายหน้าอย่างไม่ยี่หระ บนทางสายเปลี่ยวมองไปในรัศมีไฟส่องหน้ารถยังไม่เห็นเพื่อนร่วมทาง เขากะระยะแล้วละสายตามามองรูปจากกล้องในมือของเตชิตที่กำลังส่ายไปส่ายมา

“เฮ้ย!!! คิว ระวัง!!!”

เสียงเตชิตตะโกนดังลั่นพอๆกับเสียงแตรจากรถกระบะคันใหญ่ที่บึ่งสวนตัดมาจากทางโค้ง แสงไฟสาดเข้ามาตรงหน้ารถสว่างจนตาพร่าไปชั่วขณะ ก่อนแสงไฟจัดจ้านั้นจะตวัดวาบไปทางขวามือของรถคันหรูในเสี้ยวเวลาอันรวดเร็วและท่ามกลางอาการตระหนกตกตะลึง  รถที่ภาคิมขับคร่อมเลนไปทางขวาโดยไม่ตั้งใจเพราะคนขับมัวแต่สนใจกับกล้องเจ้าปัญหา อุบัติเหตุอันไม่คาดฝันจึงเกิดขึ้นกะทันหันในเสี้ยวเวลากระชั้นสั้นของการเสียสมาธิในการขับรถ

รถกระบะที่สวนมาด้วยความเร็วบีบแตรลั่นพร้อมกับหักหลบไปทางซ้ายแทบจะชนเข้ากับป้ายบอกทาง ภาคิมใจหายวาบ  ทั้งเสียงร้องของเพื่อนในรถ ทั้งแสงไฟวูบวาบเต็มหน้าเต็มตา ทำให้สมองและความรู้สึกของเขาชาค้างขาดการควบคุมไปชั่วขณะ สัญชาตญาณทำให้รีบหมุนพวงมาลัยหักไปทางซ้ายสุดเช่นกันพร้อมกับการกระทืบเบรกเต็มแรง แต่เขาไม่รู้เสียแล้วว่าในเวลาแห่งความเป็นความตายนั้นอะไรคือเบรก อะไรคือคันเร่ง ทุกอย่างสับสนไปหมด  มันเป็นอาการของคนตกใจจนสติแตกไปชั่วขณะ

รถกระบะรอดพ้นจากการชนมหาวินาศไปได้อย่างหวุดหวิดท่ามกลางอาการใจหายใจคว่ำของคนขับและเสียงสบถด่าด้วยความตกใจกลัว

ส่วนรถของภาคิมกระโจนพุ่งพรวดไปข้างหน้าท่ามกลางเสียงร้องฟังไม่ได้ศัพท์ของคนในรถ เวลานั้นเขาฟังไม่ออกแล้วว่าเป็นเสียงของใคร  ภาคิมทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต เขาเผลอไปเหยียบคันเร่งเข้าให้เต็มที่ ถนนเบื้องหน้าอันตรธานหายไปกลับกลายเป็นความมืด ทุกอย่างสับสนไปหมด ความรู้สึกแวบๆของภาคิมคือเห็นด้านหน้ามีรถจักรยานยนต์โผล่ขึ้นมาอยู่หน้าแบบกะทันหัน แต่กว่าที่ใครจะทันคิดได้ รถยนต์ก็ปะทะชนเข้ากับรถจักรยานยนต์คันนั้นอย่างเต็มแรง

ภาคิมเหยียบเบรก หรือคันเร่ง หรือจะเป็นอะไรก็ตาม สติของเขาสั่งงานไม่ทันเสียแล้ว  เสียงคำรามของเครื่องยนต์ เสียงกระทบกันของโลหะ เสียงกระแทกโครมครามสนั่นหวั่นไหวเสียงกรีดร้องผสมผสานจนอื้ออึงเข้าไปในหัว ผืนฟ้าและแผ่นดินหมุนคว้างไม่รู้ทิศไม่รู้ทาง ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็วเกินกว่าจะตั้งตัว

รถหมุนคว้างหลายรอบแล้วเสียการทรงตัวพลิกคว่ำพลิกหงายหลายตลบพุ่งโครมครามลงไปริมทางที่เป็นเนินลาดลงต่ำ แรงกระแทกอย่างรุนแรงทำให้ ถุงลมนิรภัยที่เบาะหน้าของคนขับและคนนั่งข้างทำงานทันทีโดยอัตโนมัติก่อนรถจะหมุนเหวี่ยงเอาท้ายรถฟาดโครมเข้ากับต้นไม้ใหญ่เต็มแรงปะทะมหาศาลอันปราศจากการควบคุม

บุญ เทือน สวมหมวกกันน็อคราคาถูกที่ช่วยป้องกันศีรษะของเขาได้ น่าเสียดายที่มันไม่อาจช่วยผ่อนแรงกระแทกที่อัดเปรี้ยงมาด้วยกำลังแรงจนกระดูกเขาแหลกละเอียดในชั่วพริบตา ส่วน โภก รมดวล ที่ปลิวตกจากรถโดยไร้หมวกกันน็อคก็พุ่งตกลงไปศีรษะกระแทกพื้นเลือดไหลนองออกมาจากกะโหลกศีรษะที่เปิดอ้า
...
...
...

ปรึกนึกโอน... ทะไงนึกโอน...
(เช้าคิดถึง กลางวันคิดถึง)

โยบนึกโอน... นึกโอนปรวสเสน่หา...
(กลางคืนคิดถึง คิดถึงเพราะเสน่หา)

เรียมเกงสุบินเขอนเพียกตราโยยิมดักบอง
(พี่ฝันถึงหน้าเธอยิ้มมาให้พี่)

นึกโอนนึกโอนเบอสินบัดโอน
(คิดถึง คิดถึง ถ้าเธอหายไป)

...
...
...

ก่อนหน้านั้น บุญ เทือน และ โภก รมดวล ยังร้องเพลงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เสียงเพลงทำให้ลืมความทุกข์ ความเจ็บ ความเหนื่อยล้า ความเหน็บหนาว และพาใจล่องลอยไปอยู่กับวันวานอันหวานชื่น อุบัติเหตุที่คร่าชีวิตของคนทั้งคู่ให้ปลิดปลงลงไปในพริบตาจึงเป็นความตายที่ทั้งคู่ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเลยสักนิด

เสียงเพลงเดียวกันนั้นเอง ที่คลอแว่วหวานอยู่ในห้องจัดรายการของดีเจเสียงหล่อ ที่หลับตาพริ้มรอโทรศัพท์จากผู้ชมทางบ้าน

เสียงเพลงเดียวกันนั้นเอง ที่ยังส่งเสียงครวญมาตามคลื่นถี่วิทยุผ่านเครื่องรับอย่างต่อเนื่อง  แม้ในช่วงนาทีวิกฤต ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เสียงคันเร่ง คันเบรก ที่เหยียบผิดเหยียบถูกและรถส่ายไปมา

เสียงเพลงเดียวกันนั้นเอง คือเสียงเพลงสุดท้ายในห้วงมรณาของผู้เคราะห์ร้าย ทั้งยังหลอกหลอนอยู่ในห้วงนิทราของผู้รอดตาย

นักนินสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย เหงื่อกาฬยังไหลชุ่มและหัวใจในอกเต้นโครมคราม เรื่องราวในฝันยังปรากฏชัด

บัดโอนปีโอรา... เรียมจบัสเจียโตรวโสนสังขา
(หายไปจากอกของพี่ พี่คงต้องตายสูญ)

เบอขวัสเสน่หา... เบอขวัสเสน่หา... รสมินบาน
(ถ้าไม่มีรัก…ถ้าไม่มีรัก... พี่อยู่ไม่ได้)

มินบานเลย... มินบานเลย...
(ไม่ได้เลย... ไม่ได้เลย...)


เสียงเพลงนั้นแว่วมาพร้อมกับภาพชีวิตหลังความตายของคนแปลกหน้าที่นอนจมกองเลือดอยู่ไม่ห่างกันคู่นั้น

- โปรดติดตามตอนต่อไป –

 


ชื่อเพลง : คิดถึงทุกเวลา (Nuek Krub Velia)
ผู้ร้อง : สิน สีสมุทร (Sinn Sisamouth ) ศิลปินนักร้องชาวกัมพูชาเจ้าของฉายา "King of Khmer music"
ฟังเพลงประกอบ : http://www.youtube.com/watch?v=CZ_fgtzYCag
ผู้ถอดเนื้อร้องเป็นภาษาไทย : หนูนา (@พนมเปญ)