Print

ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๑๔๔

TEARS SERIES 
ตอนที่ 8 ๛ ภูษาโยง ๛ (บทที่ 1 : บันทึกของผู้ตาย)

wilasinee2โดย วิลาศินี




heal-144
ขอบคุณภาพจาก http://www.sxc.hu/photo/450377
...
...
...

มันคือคลิปวิดีโอสั้น ๆ ที่ยังตัดต่อไม่แล้วเสร็จ

หญิงสาวเปิดมันขึ้นมาจากกล่องบรรจุทรัพย์สินและของมีค่าทั้งหลายที่เก็บได้ในบริเวณจุดเกิดเหตุ ช่วงเวลาฉุกเฉินและข้าวของกระจัดกระจายภายในรถ ทำให้ยากแก่การระบุเจ้าของ เมื่อกล้องถ่ายวิดีโอซึ่งเป็นสมบัติคู่กายของเพื่อนรักพลัดหลงมาอยู่ในมือ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน เธอก็จำเป็นต้องนำไปคืนเจ้าของ

กล้องวิดีโอถูกกระทบกระเทือนจนชำรุด แต่เมมโมรีการ์ดภายในยังใช้การได้ ในบรรยากาศยามค่ำและห้องมืดสลัว อะไรบางอย่างดึงดูดให้เธออยากรู้ว่าอะไรอยู่ข้างในนั้น หญิงสาวนำเมมโมรีการ์ดชิ้นนั้นไปต่อกับเครื่องเล่นและกดรีโมทคอนโทรลเพื่อเครื่องเล่นทำงานต่อไปเรื่อยๆ...

ฉากแรกที่เปิดขึ้นมาคือความว่างเปล่าของหน้าจอสีดำสนิท จากนั้นจึงปรากฏตัวอักษรเหมือนคนมาเคาะแป้นพิมพ์ทีละคำจนปรากฏเป็นชื่อและนามสกุลหนึ่ง

นักนิน   ปุระมณี


หญิงสาวกำรีโมทในมือแน่น จากนั้นประคองมาวางไว้บนตักและจับตามองหน้าจอแน่นิ่ง เมื่อตัวหนังสือขึ้นมาจนครบ ภาพจึงตัดไปหาชายหนุ่มคนหนึ่ง ในมือมีภาพของเด็กสาวในชุดนักเรียนหนึ่งใบ เขานั่งหันหน้าเข้ากล้อง และกำลังเตรียมพร้อมจะพูดคุยกับคนดู


“ชื่อที่คุณเห็นเมื่อครู่เป็นชื่อของเด็กสาวคนนี้ครับ”


เขายื่นภาพเด็กสาวผมเปีย ใส่ชุดเครื่องแบบของโรงเรียนมัธยมเห็นหนึ่งเข้ามาให้กล้องจับภาพ

และนั่นคือภาพของเธอเมื่อนานมาแล้ว...

ชายหนุ่มในจอหันมายิ้มให้เหมือนจะบอกว่าใช่ เขาบรรยายต่อ

“ผมรู้จักชื่อนี้ครั้งแรกตอนเห็นมันปักอยู่บนหน้าอกเสื้อด้านซ้ายของชุดนักเรียนของเธอครับ เด็กสาวที่ก่อนหน้านี้ผมรู้จักเพียงชื่อเล่นว่า “นิ่ม” เธอย้ายมาอยู่ข้างบ้านผม ผมหมายถึงคุณน้าสายใจคุณแม่ของเธอพามานะครับ ตอนที่มาอยู่ใหม่ๆ ทั้งสองคนดูเก็บเนื้อเก็บตัวมาก ไม่ค่อยออกมาพบปะหรือพูดจากับใคร มีแต่แม่และยายของผมที่เป็นนางงามมิตรภาพ เวลาหุงหาอาหารไปใส่บาตรก็จะคอยแบ่งปันไปให้ที่บ้านของสองคนแม่ลูก ผมยังจำได้ วันหนึ่ง ผมเป็นคนไปส่งปิ่นโต นิ่มออกมารับที่หน้าบ้านด้วยรอยยิ้มหวานจ๋อย ทำเอาผมลืมไปเลยว่าต้องแบ่งอาหารส่วนหนึ่งไปใส่บาตร ครึ่งเดียวเท่านั้นที่เอาไปฝากนิ่ม แต่ผมกลับยื่นให้เธอหมดเลย ทำเอาวันนั้นแม่กับยายเกือบไม่ได้ใส่บาตร โชคดีที่ผมฝีเท้าไว เลยวิ่งสี่คูณร้อยไปซื้อกับข้าวในตลาดมาให้แม่กับยายใส่บาตรให้ทันพระ โอ... ขอโทษครับ ผมไม่ควรจะพูดถึงตัวเอง กลับมาเข้าเรื่องของเธอกันดีกว่า ชื่อเธอแปลกดีนะครับ คุณว่าไหม ชื่อนี้มาจากโคลงโบราณบทนี้ครับ...”


ถัดจากนั้น คลิปวิดีโอจึงเปลี่ยนเป็นภาพนิ่งของหญิงสาววัยแรกแย้มคนหนึ่งในชุดนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาพถูกจัดวางไว้ด้านซ้าย พื้นหลังด้านขวาว่างเปล่าเป็นสีเขียวใต้ทะเล จากนั้นจึงมีตัวอักษรปรากฏ

๏ จากมา นักนิ่น เนื้อ..............นอนหนาว
หนาวเหนื่อยเพราะลํชาย............ซาบชู้
จากมาทระนาวนาว...................นํแม่
หนาวเหนื่อยมือแก้วกู................มุ่นมือ ฯ
(กำสรวลสมุทร)

“นั่นล่ะครับ ที่มาของชื่อเธอ เป็นชื่อไทยแท้ๆ แล้วดูเธอยิ้มสิครับ หวานหยาดเยิ้มราวกับหลุดมาจากนางในวรรณคดีไทยเรื่องไหนสักเรื่อง ไม่เชื่อ ก็ลองหันไปดูเธอยิ้มตอนนี้สิครับ”


ภาพตัดมาหาชายหนุ่มที่ผายมือเข้าหาหน้ากล้อง ฝั่งตรงข้ามกับจอมอนิเตอร์นั้น หญิงสาวคนที่เขาพูดถึงกำลังนั่งดูอยู่เพียงลำพัง เธอยิ้มให้กับประโยคนั้น แต่ด้วยน้ำตาอาบแก้ม...


“อ๊ะๆ เดี่ยวก่อนนะครับ”

ชายหนุ่มในจอนั้นร้องห้าม

“อย่ามัวชมดูรอยยิ้มของเธอเพลิน ผมยังมีอีก 1 คนที่คุณต้องรู้จัก คนนี้ครับ...”


หน้าจอกลับไปเป็นสีดำสนิทอีกครั้ง จากนั้นจึงปรากฏตัวอักษรเหมือนคนมาเคาะแป้นพิมพ์ทีละคำจนปรากฏเป็นชื่อและนามสกุลอีกชื่อหนึ่ง

ภาคิม   เดชาพิชิต

เมื่อตัวหนังสือปรากฏครบและจางลง คลิปวิดีโอก็ตัดเข้าหาภาพเคลื่อนไหว เป็นภาพชายหนุ่มคนเดิม กำลังลากชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเข้ามาในรัศมีกล้อง

“คนนี้ เพื่อนผมครับ ‘คิว’ ส่วนชื่อและนามสกุลของเขาคือ ภาคิม  เดชาพิชิต เห็นนามสกุลก็อย่าตกใจ และอย่าถามว่าภาคิมลูกใคร เป็นอันขาดนะครับ เพราะรู้แล้วจะหนาว...”

“เฮ่ย ไม่ขนาดนั้น”

แต่อันที่จริง มากกว่านั้น นามสกุลเดชาพิชิตเข้ามามีบทบาทในช่วงเวลาที่อันธพาลเข้ามารุกรานในพื้นที่ บ้านของนักนินและผู้บรรยายถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก ภาคิมพาพ่อซึ่งเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มาปราบอันธพาลเสียราบคาบ ความสัมพันธ์ของทั้งสามคนจึงกลายเป็นเพื่อนรักที่ภักดี และแทบจะตายแทนกันได้

“เราสามคน ผม คิว นิ่ม เรารู้จักกันที่โรงเรียน ตอนแรก เจ้านี่ก็เป็นส่วนเกินครับ ต่อมาก็กลายเป็นผม เมื่อสองคนนี้...รักกัน”

คำว่ารักที่เอ่ยออกมา น้ำเสียงของชายหนุ่มที่พูดคุยอยู่กับกล้อง ดูแหบพร่าลงเล็กน้อย เขาตัดบทด้วยการหันไปถามคำถามเพื่อน

“คุณภาคิม คุณรักคุณนักนินมากไหมครับ”

“เออ... ก็ต้องมากสิวะ”

“นู่น พูดกับกล้องนู่น”

“เอาจริงดิไอ้เต้ กูเขินนะโว้ย”

“เออสิวะ ถ่ายทำอยู่นะเนี่ย มึงดูกล้องสิ”

“นิ่ม คิวรักนิ่มนะ รักมากที่สุดในโลกเลย”

พูดจบก็บ่ายหน้าหนีจากกล้อง ผู้ดำเนินรายการตั้งแต่ต้นหันมองตามเพื่อนและหันมาบอกด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

“ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้นะครับ เดี๋ยวเราจะไปติดตามความรักของทั้งคู่ ในช่วงการถ่ายพรีเว้ดดิ้งนอกสถานที่ จะน่ารักและหล่อเหลาขนาดไหน มาติดตามกัน

เตชิต        ทับเมฆา....รายงาน

ช่วงครึ่งหลังเป็นต้นมา เห็นได้ชัดว่าการตัดต่อยังไม่แล้วเสร็จ เพราะเป็นการจับภาพรายละเอียดการเดินทางไปยังริมทะเลแห่งหนึ่ง หญิงสาวที่สนุกสนานร่าเริง ชายหนุ่มท่าทางมั่นใจในตัวเอง ทั้งสองคนถูกจับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดวิวาห์สุดหรู ยืนถ่ายรูปสวยริมทะเล ภาพส่วนใหญ่โฟกัสไปที่หญิงสาวอย่างตั้งอกตั้งใจ

“สวยที่สุดเลยนิ่ม เจ้าหญิงของผม”

เสียงของเตชิตดังเล็ดรอดเข้ามาในภาพเคลื่อนไหวที่ยังไม่ได้ตัดต่อ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่า เจ้าหญิงของเขากำลังสวมชุดดำ นั่งนิ่งน้ำตารินจับจ้องหน้าจอมองเขาอยู่ในเวลานี้


ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...

“เก็บของเสร็จหรือยังนิ่ม”

เสียงของภาคิมดังอยู่หลังประตู นักนินรีบเช็ดน้ำตา เก็บกล้องใส่กล่องกระดาษ และถอดเมมโมรีการ์ดใส่กระเป๋าถือไว้ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้ชายหนุ่ม

“แน่ใจนะว่าไปไหว”
“อือ...”

หญิงสาวพยักหน้าแต่หลบตา

“ถ้าไม่สบายใจ ไม่ต้องไปก็ได้นะ”
“ไม่ นิ่มจะไป คิวไม่ต้องกลัวว่านิ่มจะหลุดปากพูดอะไรที่ไม่ดีออกไปหรอก”

ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ยืนกรานด้วยเสียงเครือสั่นแล้วส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วบอกย้ำด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

“งั้นก็ไปด้วยกันตอนนี้นี่แหละ พระสวดสองทุ่ม ไปจุดธูปไหว้ศพถวายบังสุกุลแล้วจะได้รีบกลับ”

เมื่อภาคิมหันหลังให้ นักนินใช้ฝ่ามือป้ายน้ำตาลวกๆ แล้วเดินตามไป


* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *


ณ ฌาปณสถานกองทัพเรือ


พิธีศพของเตชิตถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ก็สมควรแก่ฐานะของเจ้าภาพ โภคิน เดชาพิชิต บิดาของภาคิมรับเป็นผู้อำนวยการและประสานงานทั้งหมด ด้วยเส้นสายของผู้เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทำให้ได้สถานที่ฌาปนกิจศพเป็นฌาปนสถานในพระอารามหลวงชั้นตรีย่านฝั่งธนบุรี ไม่ไกลจากบ้านของผู้ตาย แขกเหรื่อที่มาในงาน เป็นญาติสนิทของเตชิตซึ่งมีไม่มากนัก ปะปนไปด้วยเพื่อนร่วมรุ่นจากคณะในมหาวิทยาลัยเดียวกัน นักนินและภาคิมเป็นหนึ่งในนั้น ทั้งสองเข้าไปถึงงานในเวลาที่พระเริ่มสวดอภิธรรมพอดี

อนิจจา วะตะ สังขารา
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ

อุปปาทะวะยะธัมมิโน
มีความเกิดขึ้นและความดับไปเป็นธรรมดา

อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

เตสัง วูปะสะโม สุโข
การเข้าไปสงบสังขารทั้งหลายเหล่านั้นได้เป็นสุข

ที่นั่งของเจ้าภาพอยู่ทางด้านใน หญิงสาวและชายหนุ่มต้องเดินผ่านแขกทั้งหลายภายในงานจากด้านนอกเข้าไปด้านใน เมื่อหญิงสาวร่างบางในชุดสีดำ มีผ้าพันแผลอยู่ที่แขนและศีรษะ มาพร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างทะมัดทะแมง มีรอยช้ำบวมปรากฏอยู่บ้าง แต่เดินเหินได้คล่องกว่า จึงประคองหญิงสาวเข้ามาอย่างประคบประหงม หญิงสาวและชายหนุ่มคู่นี้เคยเป็นเดือนและดาวของคณะ ทั้งยังเป็นที่รู้กันว่า จะมีการจัดงานหมั้นหมายและเข้าพิธีวิวาห์หลังเรียนจบและพากันไปศึกษาต่อ

ข้างกายของนักนินมีเพื่อนที่รู้ใจอย่างเตชิต มีคนรักที่สมบูรณ์พร้อมอย่างภาคิม เรื่องราวชีวิตของเธอเป็นที่น่าอิจฉาในแวดวงของเพื่อนหญิงด้วยกันมานานแล้ว แต่ช่วงเวลานั้น แววตาที่แต่ละคนมองมา ไม่ได้หมางเมินและสะบัดหางตามองผ่านอย่างชิงชังเหมือนในเวลานี้

สัพเพ สัตตา มรันติ จะ
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงกำลังจะตาย

มะริงสุ จะ มริธเร
ตายไปแล้ว และจักตายต่อไป

ตเถวาหัง มะริสสามิ
เราก็จักตายเช่นนั้นเหมือนกัน

นัตถิ เม เอตถะ สังสะโย
ความสงสัยในการตายนี้ไม่มีแก่เรา


“มานั่งทางนี้สินิ่ม”

เสียงพระสวดมนต์ยังคงดังก้องไปทั่วบริเวณ สตรีสูงวัยนางหนึ่งกวักมือเรียกหญิงสาวให้เข้าไปนั่งตรงที่ว่างด้านหน้าด้วยท่าทีที่เงียบขรึมแต่ก็เป็นมิตรกว่าสายตาอีกหลายๆคู่ นักนินเดินเข้าไปหาด้วยน้ำตาคลอตาก่อนจะยกมือไหว้ด้วยความเคารพ ภาคิมเองก็ยกมือไหว้ตามกัน ทั้งสองคนรู้จักสตรีนางนี้เป็นอย่างดี เพราะเธอคือมารดาของเตชิต ผู้เคยห่วงใยดูแลนักนินที่เป็นเด็กสาวข้างบ้านเหมือนลูกอีกคนหนึ่ง จนกระทั่งเรียนมหาวิทยาลัย แต่ละคนเข้าไปอยู่ในหอพักนักศึกษา นานๆครั้ง จึงจะกลับมาพบหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง

“สวัสดีค่ะคุณน้ายุพิน”
“ไหว้พระเถอะลูก มานั่งฟังพระสวดก่อน อย่าเพิ่งพูดอะไร”

ชายหนุ่มและหญิงสาวทรุดตัวลงนั่งและฟังพระสวด...


อัตตะนาวะ กะตัง ปาปิ
ความชั่วที่บุคคลใดทำด้วยตน

อัตตะนา สังกิลิสสะติ
บุคคลนั้นย่อมเศร้าหมองด้วยตนเอง

อัตตะนา อะกะตัง ปาปัง
ความชั่วที่บุคคลใดไม่กระทำด้วยตน

อัตตะนาวะ วิสุชฌะติ
บุคคลนั้นย่อมบริสุทธ์ด้วยตนแท้

สุทธิ อะสุทธิ ปัจจัตตัง
ความบริสุทธิ์และความไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน

นาญโณ อัญญัง วิโสธะเย
คนอื่นจะพึงทำคนอื่นให้บริสุทธิ์ไม่ได้

มาถึงท่อนนี้ หญิงสาวหันมามองชายหนุ่มด้วยสายตาวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด

ความเชื่อของคนทั่วๆไป การอาราธนาพระสงฆ์ให้ทำการสวดบังสุกุลคือการทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้กับคนตาย น้อยคนนักที่จะตระหนักว่า บทสวดที่พระสวดในงานศพนั้น ให้คนเป็นฟังนั่นเอง...


- โปรดติดตามตอนต่อไป -