Print

ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๑๔๓

TEARS SERIES ตอนที่ 7 ๛ ภูษาโยง ๛ (- บทนำ : จุดเกิดเหตุ–)

wilasinee2โดย วิลาศินี




heal-143
ขอบคุณภาพจาก http://www.stormgrounds.com/fullwallpaper/320/Blood-and-Leaves
หมายเหตุ: ภูษาโยง (น.) แถบผ้าที่โยงจากปากโกศหรือหีบศพสําหรับคลี่ทอดไปยังพระสงฆ์เมื่อทําพิธีกรรม เช่น บังสุกุล หรือโยงจากราชรถประดิษฐานพระโกศไปยังรถนําหน้าพระศพ. (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542)


ยํ กมฺมํ กริสฺสนฺติ                ใครทำกรรมใดไว้

กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา          ดีหรือชั่วก็ตาม

ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺติ      ตนจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น



นพพร   คงคาภพ

ชายวัยกลางคนรูปร่างสันทัด ผิวคล้ำเกรียมไหม้เพราะกรำแดดมาเป็นเวลานาน ใบหน้าของเขามีหนวดเครารุงรัง ชายคนดังกล่าวเดินเข้าไปในเพิงร้านขายยาดองเหล้าแล้วทรุดตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ว่าง สารรูปของชายผู้นี้ดูผิวเผินดูไม่ค่อยน่ามองนัก หากจะมีความน่าสนใจอันใด เห็นจะมีก็แต่สายตาที่ดูนิ่งดิ่งลึกเหมือนสายน้ำที่ไม่อาจหยั่งลึกถึงก้นสระ กับท่าทางสำรวมระวังไม่โผงผาง แม้ขณะทักทายลัดดา ม่ายสาวเจ้าของร้านที่ร่างกายอวบอัดและเปี่ยมเสน่ห์ยวนเย้า แววตาและท่าทางของเขาก็ไม่ส่อประกายใด ๆ อันสำแดงความเพลิดเพลินในอารมณ์เหมือนกับ ไอ้หงุน ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่ติดตามมา ทั้งสองสวมชุดซาฟารีสีกรมท่า ด้านหลังปักชื่อมูลนิธิบรรเทาสาธารณภัยแห่งหนึ่งซึ่งคนรู้จักดีทั้งจังหวัด  

“ขอม้ากระทืบโรงสามเป๊กนะเจ้”
ไอ้หงุนร้องเรียกตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในเพิงและยังไม่ทันทรุดตัวลงนั่ง  

“แหม วันนี้คึกเชียวนะหงุน กินเสร็จอย่าไปกระทืบใครเข้าล่ะ”  

ม่ายสาวเจ้าของร้านหยอกเอินตามประสา ความเป็นสาวรุ่นใหญ่แต่ยังคงความอวบอัดไว้ทุกสัดส่วนทำให้ลัดดาเหมือนกระดังงาลนไฟ ยิ่งหอมหวนชวนฝันและเชิญชวนให้คนหมายเด็ดดมได้มากกว่าดอกไม้แรกแย้มอีกหลายต้น ประกอบกับเป็นคนพื้นเพและตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มานาน ลัดดาเคยมีสามีเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรอนาคตไกล แต่โชคร้าย เขากลับเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร เมื่อกลายเป็นม่ายผัวตายก็ต้องทำมาหากินช่วยเหลือตนเอง นางจึงเปิดกิจการทำมาค้าขายโดยเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวในเวลากลางวัน และทำเป็นร้านขายยาดองเหล้าในเวลากลางคืน เสน่ห์และความสู้ชีวิตของม่ายสาวทำให้คนในหมู่บ้านทั้งใกล้และไกลผลัดกันมาอุดหนุนโดยไม่มองว่าเป็นธุรกิจต้องห้าม แม้แต่ตำรวจเพื่อนเก่าของสามีก็ทำเป็นมองข้ามแถมยังแวะเวียนมาอุดหนุนเป็นครั้งคราวเสียอีก  

“จัดมาเถอะครับเจ้ จัดมา ยิ่งถ้าเจ้ยอมลงแรงกระทืบใจ ผมคงไม่มีแรงไปกระทืบใครที่ไหนอีก”

ไอ้หงุนออดอ้อนแล้วโห่ฮิ้วได้ด้วยตัวเอง สายตามันกระชุ่มกระชวยยิ่งขึ้นเมื่อเห็นลัดดายิ้มหวานหยาดเยิ้มส่งให้อย่างไม่มีเอียงอาย นางใช้จังหวะนั้นนำสุรามาเสิร์ฟให้ทั้งขวด  

“ม้ากระทืบโรงสำหรับหงุน สามเป๊กจะพออะไร เจ้จัดให้ทั้งขวดเลยดีกว่า ไม่หมดก็เอากลับไปกินที่บ้าน”
นับว่าฝีมือการเจรจาค้าขายของลัดดาก้าวหน้าไปอีกหลายคืบ จากนั้นก็ถึงตานพพรบ้าง  

“พี่นพล่ะ รับอะไรดีจ๊ะ”
“วันนี้มีอะไรบ้างล่ะแม่”
“ฉันทำไว้หกโหลจ้ะ โด่ไม่รู้ล้ม ม้ากระทืบโรง สาวน้อยตกเตียง เฒ่าปล้ำช้าง พญาพันรู แต่ฉันพอจะรู้ว่าพี่จะกินโหลไหน”
“เออ เข้าท่า ลองทายสิว่าฉันจะกินโหลไหน”
“โหลนู้นไง”  

นางลัดดาชี้ไปที่โหลมะยมดอง นพพรหัวเราะลั่นแล้วพยักหน้า ไอ้หงุนเห็นรุ่นใหญ่สัพยอกหยอกเอินกันเช่นนั้น มันก็อยากแสดงให้เห็นบ้างว่าตนเองก็เก่งกล้าสามารถ จึงเรียกร้องความสนใจด้วยการโชว์ลีลากระดกเหล้าเป๊กแรกในคราวเดียว ขณะที่ลัดดาเพียงเห็นเด็กหนุ่มอ้าปากเธอก็เห็นลิ้นไก่ลงไปถึงไส้พุง ม่ายสาวแสร้งหันไปรินน้ำใบเตยและตักมะยมดองในโถ ระหว่างนั้นเป็นการคั่นจังหวะให้ไอ้หงุนเบ้หน้างอหงิกจากอาการร้อนวูบวาบเมื่อสาดเหล้าลงไส้อย่างไม่รู้จักเจียมตัว  

“น้ำใบเตยเย็นฉ่ำกับมะยมดองมาแล้วจ้า...เป็นไงหงุน ใช้ได้ไหม ฝีมือดองเหล้าของเจ้”  
“ก็...” ไอ้หงุนพยายามปรับสีหน้าให้กลับมาเข้าท่าเข้าทางดังเดิม  

“ใช้ได้เจ้ ลื่นคอดีแท้” มันพยายามวางมาดเป็นนักชิมเหล้าตัวยง ทั้งที่ยังไม่เคยตั้งก๊งเป็นเรื่องเป็นราวเลยสักครั้ง  
“วันนี้พาเขาไปร่วมงานเก็บศพไร้ญาติล้างป่าช้ามา ท่าทางจะต้องดื่มย้อมใจเสียหน่อย แต่ดูท่าฝีมือลัดดาจะทำหงุนซดหมดขวดเข้าไปจริงๆ ไม่นานคงเมาหัวทิ่ม”  
“เฮียเลยกินแต่น้ำใบเตยกับมะยมดอง เก็บแรงไว้หอบหิ้วหงุนกลับบ้านสินะ”  

ลัดดาช่วยหาข้อแก้ต่างให้ นพพรยิ้มตอบอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย แม้จะพาคนนั้นคนนี้มาช่วยอุดหนุนบ้าง แต่ตัวเขาเองไม่เคยกระดกเหล้าเข้าปากให้เห็นเลยสักครั้ง ส่วนไอ้หงุนที่กำลังอยู่ในวัยกำดัดและอยากลองของ เขาก็พามันมาดื่มเหล้ายาดองย้อมใจโดยให้อยู่ภายใต้ความควบคุม แต่เจ้าตัวนั้นกลับคิดว่ารุ่นพี่เปิดทางให้มันเป็นวันแมนโชว์ เลยยกซดเสียเต็มที่ นางลัดดาก็ตอบสนองนโยบายด้วยการเทียวมารินเหล้าและเติมน้ำใบเตยให้เป็นพักๆ 

“รินให้เฮียนพด้วยสิเจ้... ปล่อยให้หงุนกินคนเดียว... อึ๊ก... มันจะน่าเกลียดไปอ๊ะป่าวว…”  
หลังจากแก้วที่แปดลงคอ ไอ้หงุนเริ่มสะอึกและพูดจาอ้อแอ้เหมือนคนลิ้นคับปาก เจ้าของร้านไม่ทันขานรับ ทันใดนั้น เสียง เอี๊ยด…!! โครม!! ปัง!! ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวจากริมถนนทางทิศใต้ ทุกคนในร้านหันไปดูตามทิศที่มาของเสียง ก็เห็นเพียงแสงสว่างจากแหล่งกำเนิดไฟสองลำตวัดไปมาแล้วเงียบลง ไอ้หงุนถือแก้วเหล้าจ่อปากค้าง ขณะนพพรคว้ากุญแจแล้วพุ่งตัวออกจากร้านไปในทันที แต่แล้วก็หันหลังกลับมาเอาธนบัตรใบละร้อยสองใบวางบนโต๊ะก่อนจะคว้าตัวไอ้หงุนขึ้นรถไปด้วยกัน  

“ผับ...ผ่ากลางวงเลยนะเฮีย... รอหงุนก่อนน่ะเจ้.. งานเข้า ไปเคลียร์งานก่อน เด๋วหงุนมาใหม่...”  

ไอ้หงุนสะบัดหน้าสองสามทีเหมือนกำลังคึกได้ที่ก่อนหันมาสั่งลา จากนั้นค่อยเดินตามนักเก็บศพรุ่นใหญ่ออกไปด้วยอาการโซซัดโซเซ...

-=-=-=-=-=-=-  

“ว.7 ครับ ว.7” [1]

นพพรใช้มือขวาขับรถและมือซ้ายคว้าวิทยุสื่อสารในเวลาที่ไอ้หงุนยังเกะกะเก้งก้างอยู่บนที่นั่งข้างคนขับ เขาแจ้งรหัสขอความช่วยเหลือไปยังเครือข่ายที่พร้อมรับข่าวสารตลอด 24 ชั่วโมง  

“ว.2 ทราบแล้วเปลี่ยน”

ปลายทางตอบรับ นพพรจึงส่งวิทยุสื่อสารให้ไอ้หงุนต่อ  

“วะ ว.2”

ไอ้หงุนพยายามควบคุมสติเต็มที่และกรอกเสียงลงไป  

“บอกเขาว่ามี ว.40 ตามด้วยสถานที่เกิดเหตุ อยู่ข้างหน้า กม10 แจ้งโรงพยาบาลใกล้สุดให้เตรียมคนให้พร้อม พอไปถึงเราจะสำรวจความเสียหายแล้วจะพาคนเจ็บที่ต้องการความช่วยเหลือด่วนที่สุดส่งไปก่อน บอกศูนย์ให้เตรียมส่งกำลังเสริมมาด้วย”  

“อึ๊ก ครับเฮีย ว.40  ทราบแล้วเปลี่ยน... อึ๊ก! ตอนนี้ ว.21 แล้วครับ... คร้าบ สถานที่เกิดเหตุอยู่ที่...”  

แม้ไอ้หงุนมันจะถ่ายทอดข้อความไปยังศูนย์แบบก๊ง ๆ มึน ๆ แต่ยังพอได้ใจความ นพพรค่อยเบาใจลงและใช้สมาธิเพื่อขับรถตรงไปยังที่หมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ปลายทางข้างหน้า เขาเห็นรถที่กำลังจะสวนมาชะลอความเร็วลงเหมือนลังเลใจว่าจะจอดรถเพื่อจะลงไปช่วยคนเจ็บข้างทางดีหรือไม่ แต่พอเห็นสัญญาณไซเรนและหวอเตือนภัยของรถมูลนิธิตรงเข้ามาใกล้ก็เลี้ยวหลบหลีกเศษซากความเสียหายออกมา จากนั้นเร่งความเร็วขึ้นและขับสวนไป  

น้ำใจน่ะพอมี แต่ยุคนี้สมัยนี้ ใครจะอยากหาเรื่องใส่ตัวโดยใช่ที่...
...โลกถึงต้องมีอาสาสมัครเอาไว้พร้อมรับมือกับความเสียหายที่ตัวเองไม่ได้ก่อยังไงล่ะ..  
นพพรนึกถึงคำพูดเปี่ยมอุดมการณ์ของครูฝึก เขายิ้มมุมปากเล็ก ๆ ก่อนปิดเครื่องยนต์เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง หันมองไอ้หงุนแล้วพยักหน้าให้ตามกันลงไปสำรวจความเสียหายก่อนแจ้งกลับไปยังศูนย์  

ไอ้หงุนเดินส่ายหน้าส่ายหลังมองดูเหตุการณ์ตรงหน้า สภาพของถนนและริมทางในเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับเหตุจลาจลขนาดย่อมๆ เลือดที่ไหลนองกองอยู่บนพื้นคอนกรีตเทออกมาจากศีรษะของชายคนหนึ่งซึ่งนอนหงายตาเหลือกอยู่ไม่ไกลจากมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งซึ่งล้มคว่ำอยู่ข้างทางด้วยสภาพยับเยิน กระจกและไฟหน้าแตกกระจัดกระจาย ด้านหลังพุ่มไม้มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งคอหักและร่างพับคาอยู่ตรงกิ่งของต้นฉำฉา ถัดจากต้นไม้ใหญ่มีเนินเทลาดลงไป มีรถยนต์ซีดานขนาดสี่คนนั่งสภาพบู้บี้และเอียงกะเท่เร่ กระจกหน้ารถแตกร้าวไปทั้งแผง ถุงลมนิรภัยโป่งพองตัวกินพื้นที่ด้านหน้าเกือบเต็มพิกัด แต่คนขับและผู้โดยสารนั่งข้างก็ยังมีเลือดอาบและดูร่อแร่ นั่น ยังมีผู้โดยสารเบาะหลังอีก 1 คนโดดอัดกระแทกจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กลิ้งลงไปนอนซุกอยู่ใต้เบาะ  

“มาช่วยกันหงุน เอาผู้โดยสารหน้ารถกับหลังรถออกมาก่อน”  
“ครับเฮีย...  อึ๊ก.... เอ่อ... แล้วที่นอนกองอยู่ข้างนอกสองคนกับคนขับล่ะ...อึ๊ก”  

ถึงจะมึนเมาได้ที่ อาการสะอึกก็ยังคงออกฤทธิ์ต่อเนื่อง แต่เวลารับคำสั่งกับปฏิบัติงาน ไอ้หงุนพยายามควบคุมสติตัวเองให้เหมือนคนปรกติ  

“มอเตอร์ไซค์ตายคาที่ทั้งสองคน คนขับรถยนต์อาการไม่สาหัส ทิ้งไว้นี่ก่อน เดี๋ยวให้กำลังเสริมตามมารับ”  
ฟังแล้วไอ้หงุนก็นึกได้ วันนี้ใช้รถของมูลนิธิคันเล็ก เปลด้านหลังรถก็มีเพียงสองหลัง นพพรเลือกช่วยคนที่พอมีทางรอดและอาการหนักกว่าพาไปรักษาตัวก่อน  

“ช่วย... ช่วยผมออกไปที”  
คนขับรถที่นพพรตั้งใจทิ้งไว้ ดูบาดเจ็บน้อยที่สุด อย่างน้อยก็ยังพูดได้ มิหนำซ้ำ ยังพอมีแรงยกมือขึ้นโบกขอความช่วยเหลือ มือข้างนั้นมีนาฬิกาฝังเพชรรอบตัวเรือนส่องประกายระยิบระยับ  

“ถอดนาฬิกาออกมาเก็บก่อน”  

นพพรสั่งการ ไอ้หงุนทำหน้าเหวอ  

“กว่าทีมเสริมจะตามมารับ ถ้าชาวบ้านมาเห็นเข้าจะพากันมารูดออกแล้วไม่ได้คืนอีกเลย ยังไงพอไปถึงโรงพยาบาลเอ็งอย่าลืมเอาไปฝากไว้กับพยาบาลก็แล้วกัน”  
“อึ๊ก... ครับๆ”  

ไอ้หงุนรูดนาฬิกาข้อมือเรือนหรูออกจากแขนข้างขวาของคนขับที่เริ่มหมดสติไปอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นงัดรถและดึงคนเจ็บอาการคุ้มดีคุ้มร้ายขึ้นบนเปล ลูกพี่และลูกน้องสองคนช่วยกันนำคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลด้วยความทุลักทุเล แม้คนหนึ่งจะชำนาญการ แต่อีกคนกำลังมึนเมาได้ที่ พอไปถึงโรงพยาบาล หน่วยฉุกเฉินก็ตั้งรับกันอย่างฉุกละหุกเพราะเป็นช่วงเวรกลางคืนที่มีผู้ปฏิบัติงานน้อยกว่าปรกติ ภายใต้ความมึนเมานั้น ไอ้หงุนรู้สึกว่าตัวเองหลง ๆ ลืม ๆ อะไรบางอย่างแต่ก็นึกไม่ออกจนกระทั่งหลายวันผ่าน...  

-=-=-=-=-=-=-  

‘รายงานความคืบหน้าอุบัติเหตุบนท้องถนนเมื่อค่ำคืนวันหยุดที่ผ่านมา เราจะมาสรุปเหตุการณ์ให้คุณผู้ชมทางบ้านฟังนะครับ...’

เสียงผู้ดำเนินรายการฟังดูจริงจังและดึงดูดความสนใจ เมื่อหันไปมองภาพข่าว สถานที่เกิดเหตุและสิ่งแวดล้อมรอบข้างบ่งชี้ทันทีว่าเป็นอุบัติเหตุรถชนกันที่นพพร หงุน และหน่วยกู้ภัยตามไปช่วยเมื่อคืนก่อน ทั้งสองสหายต่างวัยกลับมานั่งประจำที่ร้านขายยาดองเหล้าร้านเดิม ที่นั่งเดิม เจ้าของร้านอวบอั๋นคนเดิม ผิดกันก็แต่คราวนี้ ไอ้หงุนไม่กล้าซัดเหล้าเข้าปากหนักหน่วงแบบคราวก่อนอีก มันค่อยๆละเลียดและปล่อยแอลกอฮอล์ลงสู่กระแสเลือดทีละน้อย และยังมีแก่ใจหันไปดูข่าวรอบดึกในจอโทรทัศน์ เวลานั้นเหมือนมันนึกอะไรขึ้นได้  

“เฮีย...”  
“ว่าไงหงุน”  
“ผมลืมเอานาฬิกาส่งให้พยาบาล ฉิบหายล่ะ ในข่าวบอกว่าคนขับรถตายด้วยนะเฮีย”  
“หือ... ไม่จริงน่า”  

นพพรค้านเสียงเบา เขาเป็นคนตัดสินใจให้ช่วยคนขับรถในภายหลัง เพราะสภาพรถยนต์ที่ชนมอเตอร์ไซค์มีรอยบุบอยู่ทางด้านหน้า จากนั้นรถก็ไถลลงเนินที่อยู่ทางด้านซ้าย และสภาพคนขับในเวลานั้นก็ดูจะสาหัสน้อยกว่าคนนั่งทั้งด้านหน้าและด้านหลังหลายเท่า  

“จริงสิเฮีย นั่นๆ สุรยศกำลังโชว์ภาพคนตายบนหน้าจอ”  

ไอ้หงุนชี้พลางลุกไปจ่อดูตรงหน้าจอใกล้ๆ นพพรเองก็ใช้สายตาเพ่งมองรูปที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทีวี ทางรายการใช้วิธีไปเสาะหามาจากเฟสบุคของผู้ตาย ภาพนั้นคือภาพของชายหนุ่มก่อนวัยเบญจเพสในชุดรับปริญญากำลังถือใบปริญญาบัตรอยู่ในมือขวา ส่วนมือซ้ายยกขึ้นมาโบกทักทายเพื่อนฝูง ที่ข้อมือนั้นมีนาฬิกาข้อมือสายหนังสีดำขลับ ด้านล่างมีตัวอักษรวิ่ง  

‘เตชิต  ทับเมฆา
บัณฑิตจบใหม่จากมหาวิทยาลัยชื่อดังเสียชีวิตหลังอุบัติเหตุขับรถชนมอเตอร์ไซค์ดับ 2 ศพ ส่วนเพื่อนอีกสองคนยังพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล...’  

“ผมว่าคนนี้คุ้นๆนะเฮีย”  

ไอ้หงุนหมายถึงชายหนุ่มในรูป คลับคล้ายคลับคลากับชายหนุ่มที่มันดึงออกมาจากหลังรถ จับขึ้นเปล และพาไปส่งโรงพยาบาล พร้อมๆกับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง มันคุ้นมากแต่จำได้ไม่ชัด เพราะความมึนเมาในคราวนั้น มันจึงบอกอะไรได้ไม่ถนัดปาก เลยได้แต่ขมวดคิ้วแล้วพาลไม่พูดอะไรต่อ ขณะเดียวกัน พอมันละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ นพพรก็กระดกยาดองเหล้าที่มันวางทิ้งไว้จนหมดจอก  

ในรายการยังนำเสนอภาพของผู้รอดชีวิตเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งในสภาพของผู้ป่วยที่ยังต้องดูอาการต่อในโรงพยาบาล ฝ่ายชายมีเฝือกอยู่ที่ขา ส่วนบนของร่างกายแทบไม่มีบาดแผล ส่วนฝ่ายหญิงมีผ้าพันแผลบนศีรษะหน้าตาเศร้าสร้อยและปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวจึงตัดภาพไปยังสภาพรถที่เสียหายและบรรยากาศของงานศพผู้ตายซึ่งร้างไร้ญาติมิตรมาทำพิธี มีผู้สื่อข่าวภาคสนามเข้าไปสัมภาษณ์เพื่อนบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียงทำให้ทราบว่าผู้ตายเป็นสามีภรรยาชาวเขมร ที่อพยพย้ายถิ่นเข้ามาทำงานในไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นหากมีญาติสนิทมิตรสหาย ก็คงจะเป็นคนต่างด้าวที่ไม่อยากจะออกมาเจอตำรวจเหมือนกัน ทั้งคนที่ขับรถชนก็เสียชีวิตไปแล้ว คงไม่มีใครติดใจเอาความ  

“หงุน...”  

นพพรเรียกเบา ๆ เหล้าหนึ่งจอกไม่ได้ทำให้เขาเมาเลยแม้แต่นิด และยิ่งวันนั้นที่ของมึนเมาไม่ได้ล่วงลงคอเลยสักหยด ภาพทั้งหมดจึงปรากฏชัด พยานวัตถุก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแค่เอื้อมมือคว้า  

“ขอเฮียดูนาฬิกาหน่อย”  

ไอ้หงุนพาซื่อ มันหยิบนาฬิกาฝังเพชรจากกระเป๋าผ้าส่งให้สหายรุ่นใหญ่ นพพรรับไปพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นนิ่งตรึกอะไรอยู่ในใจ  
ในเมื่อเจ้าทุกข์ไม่ได้ติดใจเอาความ เรื่องทั้งหมดก็โยนความผิดไปให้คนตายเสียแล้ว นพพรและหงุนซึ่งบังเอิญรู้เห็นเหตุการณ์และมีหลักฐานอยู่ในมือควรทำเช่นไร  

ไอ้หงุนเป็นวัยรุ่นตอนปลายสมาธิสั้น มันไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้นานนัก แม้สุดท้ายจะไม่รู้ว่านพพรจัดการอย่างไร มันก็ไม่เคยถามหานาฬิกาเรือนนั้นอีก.

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

 


[1] ว.2 ได้ยินหรือไม่/ได้ยินแล้ว ว.7 ขอความช่วยเหลือ ว.40 อุบัติเหตุจากรถ