Print

ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๑๓๙

TEARS SERIES ตอนที่ 6 “พาศพกลับบ้าน”

wilasinee2โดย วิลาศินี




heal-139

ขอบคุณภาพจาก http://my.englishclub.com/profiles/blogs/mothers-day-quotes-to-all

...
...
...

ผมรู้สึกหลงทางอย่างไรชอบกล...

เส้นทางที่ลดเลี้ยวเคี้ยวคดดูจะสนิทชิดเชื้อกันดีกับความมืดมิดของราตรีกาล ผมกลายเป็นคนแปลกหน้าบนถนนสายเปลี่ยวที่ท้องฟ้าอากาศหลอมรวมเข้ากับความมืด ลมหนาวเย็นเป็นผ้าห่มผืนใหญ่ห่อหุ้มไปทั่วอาณาบริเวณ ไฟหน้ารถยังเปิดสว่างและรถยังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ผมกลับรู้สึกตัวชาดิกและเริ่มงงว่าตัวเองอยู่ที่ไหน นี่ผมยังนั่งขับรถอยู่ใช่ไหม ไม่ใช่ถูกมัดตราสังข์แล้วนอนอยู่ในโลงแคบๆ

‘เพ้อเจ้อแล้วไอ้บ้า’…

ผมบอกตัวเองแล้วเร่งความเร็วขึ้น พยายามขับไปให้พ้นความอึดอัดที่จู่โจมเข้ามาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย ผมปรับไฟหน้ารถเป็นไฟสูงเมื่อแน่ใจว่าคงจะยังไม่มีรถสวนทางมาในเวลาอันใกล้ แสงไฟสาดส่องให้เห็นเงาของขุนเขาที่อยู่ไกลลิบและป้ายบอกระยะทางผ่านแวบเข้ามาในกรอบสายตา

x~*@#$ 110 กิโลเมตร...

อีกไม่นานร่างที่นอนอยู่ในโลงข้างหลังรถผมกำลังจะได้กลับถึงบ้าน นี่ไม่รู้ว่า เธออยากกลับไปไหม ใครจะออกมารับ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง หรือคนข้างบ้านของเธอเป็นคนแบบไหนกันหนอ

และ... ผมควรจะบอกพวกเขาอย่างไรดีนะ

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *

3 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น...

เสียงเรียกของโทรศัพท์ดังขึ้นเวลาในเวลาหัวค่ำ

“ยังมีแรงขับรถทางไกลอยู่ไหมจ้อน”

ผมแทบไม่เคยบันทึกเบอร์ใครไว้ในโทรศัพท์จึงได้แต่ส่งเสียงในลำคออ้ำอึ้ง

“เฮ่ย... เมื่อไหร่แกจะรู้จักเมมเบอร์สักทีวะ นี่ณเดชน์โทรมา รู้จักปะ ณเดชน์ๆ”
“ครับ จำได้แล้วครับน้าเดช”

ผมตอบยิ้มๆ ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีมาตามสาย ไม่ใช่ณเดชน์ คูกิมิยะ ที่เด็กวัยรุ่นสมัยนี้กรี๊ดกร๊าดกัน แต่เป็น ‘น้าเดช’ ญาติห่างๆผู้มีอุปการคุณที่ผมไม่น่าลืมเสียงของแกเลย น้าเดชมักจะช่วยเหลือเกื้อกูลและเจียดงานให้ผมเป็นครั้งคราว นอกเหนือไปจากอาชีพขับรถสองแถวที่ผมทำประจำอยู่ ก็มีงานรับจ้างจิปาถะที่น้าเดชให้มานี่แหละ เป็นรายได้เสริมให้มีพอกินพอใช้อยู่ทุกวันนี้

“น้าเดชจะให้ผมขับรถไปไหนหรือเปล่าครับ”
ผมย้อนกลับไปถามต้นเรื่องเมื่อนึกขึ้นได้

“อือ พอจะขนศพไปส่งบ้านเขาที่ต่างจังหวัดได้ไหม ไปคืนนี้ได้ เขาให้แปดพัน”
“อ้าว ทำไมไม่เอารถโรงบาลไปส่งล่ะครับ”

ผมถามกลับอย่างเกรงใจ น้าเดชทำหน้าที่เป็นเวรเปลของโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง ด้วยความเก๋าเพราะอยู่มานานและมีฝีมือหลายด้าน ในเวลาค่ำที่ผู้ป่วยซาลง น้าเดชมีหน้าที่เสริมคือทำศพและเคลื่อนย้ายศพเข้าและออกจากห้องดับจิตด้วย

“ก็ รถโรงบาลไม่ว่างเลย ห้องเย็นก็ไม่อยากเก็บศพไว้นาน”
น้าเดชส่งเสียงตอบตะกุกตะกัก ผมคิดว่าเพราะสัญญาณโทรศัพท์ขัดข้อง

“ญาติก็ไม่มารับเองหรือครับ”
“อือ... โรงพยาบาลติดต่อญาติแล้ว เขาบอกไม่มารับแต่ถ้าโรงบาลขนไปส่งให้ เท่าไรก็ยอมจ่าย”
“อ้อ... คงบ้านคนมีกะตังนะครับ โรงบาลก็น่าจะดีใจ ปล่อยรถออกไปส่งก็ได้รายได้เพิ่ม”
“เออ... แต่มันไม่มีคนยอมไปส่ง เอ่อ เพราะเขาไม่ว่างกันน่ะซีวะ...เอาๆ มารับงานหน่อยเถอะ แปดพันเชียวนา น้าได้ยินว่าช่วงนี้เอ็งต้องหาเงินไว้เยอะๆไม่ใช่เรอะ”

น้าเดชทั้งบ่น ทั้งหลอกล่อด้วยค่าจ้างเป็นเม็ดเงินงามๆ ผมรับคำสั่งอีกคำสองคำแล้วตอบรับ เมื่อเหลียวมองภรรยาท้องแก่ที่กำลังนั่งรีดผ้าอยู่ไม่ห่างพยักพเยิดให้เป็นสัญญาณอนุญาต

“ไปเถอะพี่ ไม่ต้องห่วง ฉันยังไม่ปวดท้องคลอดวันนี้หรอก”
ไม่พูดเปล่า ยังหันไปหยิบกุญแจรถมาให้ ผมเอื้อมมือไปรับและลูบหัวเธอเบาๆแล้วค่อยๆก้มลงจูบที่ท้องกลมมน

“งั้นเดี๋ยวพี่มานะ แค่ชัยภูมิ ไปกลับคงไม่เกินแปดชั่วโมงหรอก”

“จ้ะ”

ผมออกจากบ้านมาด้วยอารมณ์ที่แช่มชื่นเบิกบาน ไม่ได้ติดใจกับคำบ่นของน้าเดชที่ว่าไม่มีใครยอมไปส่ง คิดแต่เพียงว่า มันคือการขนศพไปส่งในเวลามืดและหนทางไกลจึงไม่มีใครอยากรับ แต่หากได้เงินก้อนนี้มา ผมน่าจะเอามาซื้อเสื้อผ้า ผ้าห่ม และที่นอนเตรียมไว้ให้ไอ้ตัวเล็กมันได้อีกหลายผืน

และแน่นอน ผมต้องรีบไปรีบกลับ เพราะเมียท้องแก่เต็มทีแล้ว...

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *

“เอ้า รถรับศพมาแล้ว”

ทันทีที่ผมจอดรถตรงหน้าอาคารที่ชั้นล่างเป็นห้องเก็บศพ เจ้าหน้าที่ที่อยู่บริเวณนั้นก็ดูกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างทันตาเห็น ผมมองหาน้าเดชแต่ไม่เจอ ที่พอจะรู้จักก็เจ้าหน้าที่เปลอีกคนหนึ่งซึ่งยิ้มเผล่เดินมาหา

“ไงจ้อน สบายดีไหม เมียคลอดหรือยังเรา”
“ยังครับพี่ หมอบอกประมาณอาทิตย์หน้า แต่ก็ไม่แน่ว่าจะปวดท้องคลอดก่อนกำหนดหรือเปล่า”
“เออ ดีๆ มาทางนี้สิมา เดี๋ยวเฮียช่วยยกโลงขึ้นรถให้”
“ครับ เฮียจุ๊น”

โลงศพที่เฮียจุ๊นบอกอยู่ด้านใน เราต้องเดินเลาะซอกตึกเข้าไปยังชั้นใต้ดินอีกชั้นหนึ่งแล้วค่อยเข็นโลงศพขึ้นทางลาดออกมาใส่รถ ระหว่างทางเฮียจุ๊นมองหน้าผมอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะถอนใจแล้วออกปาก

“น้าเดชไม่ได้บอกอะไรเลยสินะ”
“บอกครับ บอกที่อยู่ที่จะให้ไปส่ง”
เฮียจุ๊นถาม ผมก็ตอบไปตามซื่อ

“ไม่ใช่ หมายถึงรายละเอียดอื่นๆสิ”
เฮียจุ๊นทำเสียงเครียดขึ้น
“เอ่อ... ไม่ครับ”
“เป็นศพผู้หญิง ตายทั้งกลมน่ะ เฮียเป็นคนฉีดฟอร์มาลีนเอง... เอ็งมาดูสิ”
เฮียจุ๊นเป็นคนโผงผางพี่ชายคนนี้ทำอะไรไม่เคยปรึกษา พอพาผมมาถึงหน้าโลงก็เปิดให้ดูร่างของหญิงสาวที่นอนลืมตาโพลงอยู่ในโลงด้วยใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ผมตกใจแทบผงะหงาย หันขวับไปถามพี่ชายอย่างขวัญเสีย
“เฮีย ทำผมตกใจทำไมเนี่ย!”
ชั่วแวบนั้น ผมเห็นเฮียจุ๊นทำหน้ารู้สึกผิดและยิ้มแหยๆ
“เออ เฮียขอโทษ เฮียแค่อยากพิสูจน์ดูว่าเอ็งขวัญกล้าพอหรือเปล่า ถ้าไม่กล้าพอ ก็อย่าไปเลย ทิ้งศพไว้ที่นี่แหละ”
“อ่าว เฮีย ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ”
“เอ็งดูนังหนูนี่ดีๆสิ”
เฮียจุ๊นยังยืนอยู่เป็นเพื่อนผม ไม่หนีไปไหน แกยืนอยู่นิ่งๆให้กำลังใจในเรื่องไม่เข้าท่า ผมควรจะปฏิเสธงานนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่แรงดึงดูดอะไรบางอย่างก็ชักจูงให้ผมชะโงกลงไปมองใบหน้าของหญิงสาวในโลงใหม่

ข้างในนั้นคือใบหน้าของหญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่กำลังลืมตาโพลงและมีคราบน้ำตารินไหลจากหางตาลงมาจรดไรผม ผมเพ่งมองใบหน้านั้นแล้วรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ขณะที่กำลังพยายามทบทวนว่าเคยเจอกันที่ไหน เสียงเฮียจุ๊นก็ลอยมาเบาๆ

“เขาตายตาไม่หลับน่ะ เหมือนจะมีเรื่องคาใจ เห็นคราบน้ำตาตรงหางตานั่นไหม นั่นไหลตอนตายไปแล้ว ทะลักออกมาระหว่างฉีดฟอร์มาลีน ไอ้หยุนเด็กใหม่มาดูอยู่ข้างๆ มันตกใจขนหัวลุกตั้ง ไปเที่ยวโวยวายว่าศพร้องไห้ เลยไม่มีใครกล้ามาขนย้ายศพ”
ผมฟังแล้วถอนใจบ้าง

“แล้วเฮียช่วยปิดตาศพไม่ได้เหรอครับ”
“ปิดได้ แต่ทิ้งไว้สักพัก ก็ลืมขึ้นมาอีก เอ็งว่าเฮี้ยนไหมล่ะ”
เฮียจุ๊นถามอย่างหยั่งเชิง

“ไม่เฮี้ยนหรอกเฮีย คงเป็นกล้ามเนื้อกระตุกหรืออะไรสักอย่าง ผมเคยช่วยงานสัปเหร่อมา พอจะชินกับเรื่องพวกนี้อยู่”
“เออ ค่อยยังชั่ว ที่เอ็งไม่ขวัญอ่อน งั้นช่วยเฮียผนึกฝาโลงก่อน จะได้ขนออกไปข้างนอก”
“เอ่อ...เดี๋ยวนะเฮีย”
ผมเจอผ้าพันแผลที่พอหาได้ใกล้ๆโลง พยายามฉีกส่วนที่ขาวสะอาดที่สุดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เอาไปปิดตาศพไว้
“ทำอะไรวะจ้อน”
“ผมไม่ได้กลัวหรอก แต่สงสารอยู่เหมือนกัน”

ผมนึกออกแล้วล่ะ ผมพอจะรู้จักกับผู้หญิงที่นอนอยู่ในโลงคนนี้...

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *

ผมไม่รู้จักชื่อของเธอหรอกครับ แต่ก็จำเค้าหน้าของผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนนั้นได้ วันนั้น... พวงแก้มของเธอเป็นสีแดงระเรื่อและเหงื่อเกาะพราวตามไรผม คงเพราะยืนรอรถประจำทางอยู่เป็นเวลานาน เธอยืนปะปนอยู่กับผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่ป้ายหน้าโรงพยาบาล คนอื่นๆรีบกรูกันขึ้นหลังรถ ส่วนเธอหลบอยู่ใต้ร่มไม้ ทิ้งระยะให้ผู้โดยสารคนอื่นขึ้นนั่งบนเบาะหลังจนเต็ม แล้วเธอก็ค่อยเดินอ้อมมาเกาะประตูหน้า พอมองเข้ามาเห็นที่นั่งว่าง ก็เปิดประตูและโผล่หน้าเข้ามายิ้มอ้อน

“หนูขอนั่งหน้านะพี่”
ผมออกจะแปลกใจแต่ก็พยักหน้า ออกจะขัดเขินเล็กน้อย ที่จู่ๆก็มีสาวสวยมาขอนั่งคู่ด้านหน้า นี่ถ้าภรรยาที่บ้านรู้เข้าคงหน้างอหน้าง้ำ งอนไปตามประสา หาว่าผมเป็นคนชวน ว่าไปโน่น...

หญิงสาวเข้ามานั่งประจำที่ มีข้าวของหลายอย่างวางบนตักและถุงยา 1 ถุง เธอหันมายิ้มหวานฉ่ำเหมือนนางแบบโฆษณา

“ยาบำรุงน่ะพี่ หนูท้อง”
ผมร้องอ้อ ผงกหัวทีเดียวแล้วค่อยๆเหยียบคันเร่งอย่างระมัดระวัง นึกอยากทะนุถนอมเด็กในครรภ์ของเธอคนนี้ เพราะอายุครรภ์ของเธอก็คงไล่เลี่ยกับภรรยาผม

“แต่พ่อมันอยากให้ทำแท้ง”
ผมเผลอเหยียบเบรกเอี๊ยดแทบหัวทิ่ม โชคดีที่หญิงสาวตรงเบาะข้างระวังตัวอยู่ก่อนแล้วเธอเอามือจับที่เกาะตรงข้างประตูเอาไว้ แม้ตัวจะเหวี่ยงเล็กน้อยแต่ก็ไม่กระทบกระเทือนมาก ผิดกับผู้โดยสารตรงเบาะหลังที่ร้องโวยวายอย่างขัดใจ

“ทำไมล่ะน้อง ทำทำไม อย่าทำนะ”
“อือ หนูไม่ทำหรอก หนูว่าจะกลับไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านนอก ไปสารภาพกับเขา แล้วให้เขาช่วยหนูเลี้ยง”
“ค่อยยังชั่ว...”
ผมพึมพำ

เธอนั่งอยู่ตำแหน่งเดิมเป็นระยะทางที่ไกลพอสมควร (ส่วนใหญ่เธอเป็นฝ่ายชวนผมคุยนะครับ) ผู้โดยสารทยอยลงจากรถและเดินมาจ่ายเงินด้านหน้า หญิงสาวคนเดิมก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่มีทีท่าว่าจะลงจากรถ

“เอ่อ จะสุดสายแล้วนะน้อง ตกลงจะลงที่ไหน”
ผมหันไปถาม แต่คราวนี้กลับพบว่าเธอกำลังนั่งนิ่ง มีหยดน้ำตาใสๆรินไหลอาบแก้ม
“มันเลยห้องแถวหนูมาแล้วล่ะ แต่หนูไม่กล้าลง”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“เมื่อกี้หนูแอบเห็น พ่อแม่หนูมาวนเวียนอยู่แถวนั้น”
“เออ ก็ดีสิ จะได้กลับบ้านต่างจังหวัดพร้อมพ่อกับแม่เลย”
“ไม่ได้หรอกพี่ หนูยังไม่ได้ลาพ่อมัน ขอหนูนั่งไปจนสุดสายกับพี่นะ เดี๋ยวหนูลงไปเดินห้างสักพัก ค่อยนั่งรถกลับเข้าบ้านมาใหม่”

“เอ่อ...”
ผมหาทางเกลี้ยกล่อม แต่ก็นึกอะไรไม่ค่อยออก
“จะดีเหรอ พ่อแม่อุตส่าห์มาตั้งไกลนะ”
“อีกอย่าง หนูโกหกว่ามาเรียนหนังสือ มาอยู่กับเพื่อนผู้หญิง ถ้าหนูเปิดประตูห้องให้พ่อแม่เข้าไปตอนนี้ พวกเขาก็ต้องไปเห็นเสื้อผ้ากับของใช้ของแฟนหนูแน่เลยพี่ แล้วจะให้หนูแก้ตัวยังไง”

“เออ...”
ผมกลืนน้ำลายแล้วเงียบเสียง
“พี่ว่า ความจริงน่ะ ถึงจะเจ็บปวด แต่ยังไงมันก็เป็นความจริงนะ อย่างน้อยก็เพื่อให้ไม่ต้องโกหกต่อไปในวันข้างหน้า มันอาจจะจบสวยกว่าที่เราคิดก็ได้”

“จริงด้วยสินะ...”

ผู้โดยสารที่นั่งด้านหลังรถลงเป็นคนสุดท้าย ผมเลี้ยวรถกลับโดยไม่เอารถไปส่งที่สุดสาย
“อย่าลงเลย พี่ขับไปส่งที่ห้องแถวให้นะ”
“เอาจริงเหรอพี่”
“อือ เกาะแน่นๆล่ะ”
“อือ...”
ผมเห็นเด็กสาวยิ้มทั้งน้ำตา ผมพยายามขับรถด้วยความเร็วปานกลาง เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุกลางทางเสียก่อน แต่เมื่อไปถึงห้องแถวที่น้องเขาพูดถึง พ่อแม่ของเธอก็เช่ารถไปสถานี เพื่อขึ้นรถกลับไปต่างจังหวัดเสียแล้ว พ่อแม่ลูกคลาดกันเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

วันนี้เธอกลายมาเป็นผู้โดยสารของผมอีกครั้ง แต่ในร่างที่ไร้วิญญาณ แปลกที่ผมไม่นึกกลัวเท่าไรนัก ให้เธอลุกขึ้นมานั่งข้างๆเสียคงจะดีกว่า ผมจะได้พูดคุยกับเธอให้มากกว่าการนั่งรถเที่ยวนั้น...


* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *

“เออ แล้วอย่าลืมเอาเอากล่องนี่ไปส่งมูลนิธิ..%&*#$.. ด้วยล่ะ ทางผ่านพอดี”

“กล่องอะไรเฮีย”

“กล่องใส่โถ”

“โถอะไรเฮีย”

“โถเด็กที่หลุดออกมาจากศพ”

ผมหน้าชาและเย็นหลังวาบ ทั้งที่ไม่น่าประหลาดใจเลย เฮียจุ๊นก็บอกแต่แรกว่าศพนี้ตายทั้งกลมมาก่อนหน้า

“คนตายแท้งลูกอยู่ในห้องแถวตัวเองน่ะ ว่ากันว่าคนข้างห้องพามาส่งโรงพยาบาล เพราะแฟนแทบจะไม่สนใจเหลียวแล สุดท้ายหมอช่วยไม่ทัน มาตายที่โรงพยาบาล เห็นว่า แฟนหนุ่มที่มารับทราบการตายยังทำใจไม่ได้ ไม่ยอมรับลูกในท้อง แถมกลัวว่าถ้าพ่อแม่ของผู้หญิงรู้เข้าจะมาเอาเรื่องกับตัวเอง เลยขอร้องให้ทางโรงพยาบาลนำลูกที่หลุดออกมาไปบริจาคไว้กับมูลนิธิใดก็ได้ และส่งศพกลับบ้าน ไปคิดเงินกับพ่อแม่”

“เฮียจุ๊นก็ยอมแพ็คศพให้เขา แล้วพรากลูกพรากแม่ออกจากกันเนี่ยนะ”
ผมถามพี่ที่ผมเคยให้ความเคารพด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

“อือ มันเป็นความต้องการของพ่อเขา แล้วเอ็งก็ดูสิ ศพเด็กยังสาว ยังสวย ให้พ่อแม่เขาเข้าใจว่าเธอตายไปอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ดีกว่าหรือ หรือเอ็งจะทำอะไรได้ ช่วยคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ไหม”

“ไม่ได้...”
เฮียจุ๊นพูดถูก ผมจะทำอะไรได้นอกจากยอมรับความไร้ศักยภาพของตัวเองแต่โดยดี

“ก็เอาศพไปส่งแล้วเก็บเงินกลับมา ดูแลลูกเมียตัวเองดีๆเถอะ”

เฮียจุ๊นเข้ามาตบบ่าเบาๆ เอากล่องมาวางตรงที่นั่งข้างคนขับ ผลักให้ผมขึ้นนั่งในรถ เสียบกุญแจเพื่อสตาร์ทรถแล้วพาศพออกจากโรงพยาบาล...

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *

“พี่ว่าถ้าพ่อแม่รู้เข้า เขาจะยอมรับลูกหนูได้ไหม”

เสียงเย็นๆรำพึงอยู่ตรงเบาะนั่งข้าง ภาพเด็กสาวหน้าตาซีดเซียวกำลังอุ้มโถที่ข้างในมีเด็กทารกตัวลีบเล็กลอยฟ่องอยู่ในน้ำยาดองศพปรากฏอยู่ตรงเบาะที่นั่งข้าง ผมใจหายวาบ สะบัดหน้าทีหนึ่งแล้วทุกอย่างก็อันตรธานหายวับ

ผมนึกไปเองนั่นแหละครับ...

“นี่หมอชวนอุลตร้าซาวด์ แต่หนูไม่ทำหรอก หนูอยากตื่นเต้น อยากรอลุ้นเอาตอนเขาเกิด ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”

เธอพูดอย่างนั้นจริงๆ ตอนที่มานั่งข้างเบาะผมในตอนที่มีชีวิตอยู่...

“โอย หมอให้ยามาตั้งหลายซอง หนูลืมถามเลย ว่าตัวไหนง่วงหนูจะได้ไม่กิน กลัวลูกจะซึมไปกับหนูนะพี่ เออ แต่พี่คงไม่รู้หรอก”


เสียงของเธอในเวลานั้นลอยมาดังอยู่ข้างหู ผมขนลุกซู่ตั้งแต่แขนขาจนไปถึงกลางหลัง แต่ยังกำพวงมาลัยแน่น ตั้งแต่ขับรถออกมาจากโรงพยาบาลจนถึงบัดนี้ ผมยังไม่แวะไปที่ไหนสักที่ ไม่ได้เอากล่องลูกกรอกไปบริจาคให้กับมูลนิธิ มันยังวางอยู่บนเบาะนั่งข้างคนขับอยู่ตลอดมา

ผมกำลังพาพวกเขากลับบ้าน

...
...
...

ผมขับรถฝ่าความมืดมาเกือบสี่ชั่วโมงก็ถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน
ทางข้างหน้ามีแสงสว่างจากหลอดไฟอยู่เรียงราย

ความจริงถึงจะเจ็บปวด แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นความจริงเสมอ

เมื่อผมไปถึงและจอดรถไว้หน้าบ้าน มีชาวบ้านมาช่วยยกศพลงจากรถ ผมขออนุญาตพวกเขาเปิดฝาโลงอีกครั้งหนึ่งแล้วเลิกผ้าพันแผลออกจากตาเธอ

ดวงหน้านั้นหลับตาพริ้ม ริมฝีปากปิดสนิทและดูเหมือนจะมีรอยแย้มยิ้มที่น้อยคนจะได้สังเกตเห็น ผมแบกโถลูกกรอกเข้าไปบอกความจริงทั้งหมดกับพ่อแม่ของเธอ ชาย-หญิงวัยกลางคนสองคนฟังแล้วน้ำตาไหล มองหน้ากันแล้วพากันไปกอดโลงศพลูกร่ำไห้ พวกเขานำศพของหลานไปตั้งไว้ไม่ห่างกัน ผมไม่รู้จะไปทวงค่าจ้างจากญาติคนไหน ผู้ใหญ่บ้านก็เลยนำเงินมาให้ผมหมื่นหนึ่งและเชิญให้กลับไปเสียไวๆ

ผมอ้อยอิ่งเพื่ออยู่อำลาหญิงสาวในโลงอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะพาตัวเองขึ้นรถขับกลับไปยังบ้านเช่าของตัวเองให้ทันก่อนเช้า อาจจะได้กลับไปนอนพักอีกสักครู่หนึ่ง

แล้วจะได้พาเมียตัวเองไปกราบขอขมาพ่อตาแม่ยายเสียที

เรื่องมันควรจบสวยกว่านี้ ผมให้สัญญากับโลงศพโลงนั้น.