Print

ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๑๓๗

TEARS SERIES ตอนที่ 4 “โอกาส”

โดย นักเขียนรับเชิญ Wimuttisuk



heal-137
ขอบคุณภาพจาก http://pingpingkamolporn.blogspot.com/2010/03/no-it-no-great-opportunity-in-life.html

...
...
...


คุณผู้อ่านเคยเห็นยมทูตบ้างไหมครับ

อันที่จริงผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกครับว่า ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ จะเป็นยมทูตตัวจริงเสียงจริงอย่างที่เจ้าตัวบอกหรือไม่

ผมกวาดตามองไปรอบๆ ที่แห่งนี้ไม่เหมือนนรกใดๆ ที่ผมเคยรู้จัก ไม่มีต้นงิ้ว ไม่มีกระทั่งกระทะทองแดง มีแต่พื้นที่เวิ้งว้างว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตาและชายคนหนึ่ง

ชายคนนั้นแต่งกายด้วยชุดสากล สวมสูท ผูกเน็คไทเรียบร้อย เหมือนพนักงานออฟฟิศแถวสีลมเสียยิ่งกว่ายมทูต

ผมรับบัตรประจำตัวยมทูตมาพิจารณา รายละเอียดในบัตรระบุว่า ยมทูตตนนี้ชื่อสมชาย (ทำไมไม่ชื่อสุวรรณหรือสุวานเหมือนในตำราก็ไม่รู้!!) เป็นยมทูตสังกัดนรกไทยมาห้าร้อยปีแล้ว ผมพินิจเค้าหน้านั้นกับรูปถ่ายในบัตรประจำตัวอีกครั้ง คะเนอายุจากหน้าตา อย่างไรเสียก็คงไม่เกินยี่สิบต้นๆ นอกจากหน้าตาแล้ว ก็มีเพียงดวงตาสีแดงทรงอำนาจคู่นั้นนั่นแหละที่เหมือนภาพในบัตร พอให้ผมเชื่อได้ ว่าที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่แหละ ยมทูตสมชายตัวจริงเสียงจริง

"เอ่อ ท่านยมทูต ทำไมไม่เห็นมีเขาเหมือนยมทูตไทย หรือไม่ก็ปีกเหมือนยมทูตฝรั่งล่ะครับ ดูรูปในบัตรก็ไม่ค่อยเหมือน ยมทูตตัวจริงหรือเปล่าเนี่ย"

ผมยิงคำถามแรกก่อนคืนบัตรประจำตัวให้ยมทูตตรงหน้า

"ภาพติดบัตรยมทูต ก็เหมือนบัตรประชาชนของมนุษย์นั่นแหละ...อีกอย่างเครื่องแบบที่เจ้าว่า เขาแต่งเฉพาะเวลามีงานพิธีการเท่านั้น" ยมทูตสมชายตอบก่อนปรับเสียงให้ฟังดูเป็นการเป็นงานมากขึ้น

"เจ้าคงสงสัย ว่าเหตุใดเจ้าจึงถูกเรียกตัวมาพบเราที่นี่"

หัวสมองของผมว่างเปล่า แน่ละ คนตายไม่ต้องใช้สมองแล้วนี่ ผมหมายความว่า ผมแทบไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตัวเองเหลืออยู่เลย คิดถึงเรื่องของตัวเองทีไร ก็จะเห็นแต่ภาพพระอาทิตย์ขึ้นในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นที่ไหน

ภาพนั้นเป็นภาพตะวันทอแสงอยู่ที่ริมขอบฟ้า แสงสีทองระบายผสานกับแสงสีส้มขับไล่ความหนาวเหน็บแห่งราตรีให้อันตรธานไปจนสิ้น ผมไม่แน่ใจนักว่าคนตายคนอื่นๆจะแทบไม่เหลือความทรงจำแบบเดียวกับผมหรือเปล่า

"ปกติแล้ว ผู้ที่เสียชีวิตเพราะฆ่าตัวตายด้วยจิตหดหู่เช่นเจ้า เมื่อตายลง จิตจะเปลี่ยนภพไปสู่ความหดหู่และความทุกข์เต็มรูป มนุษย์ฆ่าตัวตายเพราะหวังจะหนีจากฝันร้ายชั่วคราวในภพมนุษย์ โดยไม่เคยรู้เลยว่า การฆ่าตัวตายเป็นวิธีเดียว ที่จะเปลี่ยนบางเสี้ยวของฝันร้ายชั่วคราว ให้กลายเป็นความร้ายของจริงที่ยืนยาวชั่วกัปกัลป์ ใจจะหลงอยู่ในฝันร้ายแสนขมขื่น ชนิดที่ไม่มีวันหาทางตื่นพบ"

"จากรายงานที่ได้รับ ความตั้งใจในการปลิดชีวิตตัวเองของเจ้ายังไม่หนักแน่นพอ สภานรกจึงมีมติจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เป็นกรณีพิเศษ"

"โอกาสอะไรครับท่าน"

ผมถาม ใจอยากรู้ขึ้นมาทันที

"โอกาสที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตในโลกมนุษย์อีกครั้งไงละ"

"ท่านหมายความว่า ผมจะได้ฟื้นคืนชีพ"

ภาพความทรงจำครั้งยังครองอัตภาพมนุษย์อย่างเดียวที่เหลืออยู่ ปรากฏชัดในห้วงมโนทวาร

"จะว่าอย่างนั้น ก็ไม่ถูกนัก เอาเป็นว่าเจ้าจะได้กลับไปใช้ชีวิตในโลกมนุษย์อีกครั้ง ในฐานะของ "พบพระ" ผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งฆ่าตัวตายไปเมื่อเย็นวันนี้"

"คนที่เพิ่งฆ่าตัวตายหรือ"

ผมทวนข้อมูลที่ได้ยินอีกครั้ง

"ใช่ ฆ่าตัวตาย ก็เหมือนเจ้ามิใช่รึ" เสียงนั้นมีแววยั่วล้ออยู่ในที "ถ้าเจ้าหาสาเหตุที่ทำให้พบพระตัดสินใจฆ่าตัวตายในเวลาเจ็ดวัน เจ้าจะผ่านการทดสอบครั้งนี้ นรกอาจจะมีของขวัญให้เจ้าก็ได้ใครจะรู้

............................................................

ภาพแรกที่ผมเห็นหลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาในฐานะของนายพบพระ คือเพดานสีขาวของโรงพยาบาล ข้างตัวมีสายระโยงระยางอยู่เต็มไปหมด

"พบฟื้นแล้ว พบฟื้นแล้วหรือลูก"

หญิงสูงวัยคนหนึ่งโผเข้ามาหาทันทีที่เห็นว่าผมรู้สึกตัว แสงไฟจากหลอดนีออนในห้องพักผู้ป่วยสาดแสง เผยให้เห็นนัยน์ตาแดงช้ำบวมเป่ง เดาได้ไม่ยากเลยว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นแม่ของนายพบพระอะไรนั่น บาปกรรมแท้ๆ ทำให้คนเป็นแม่เสียใจได้ขนาดนี้

ผมยอมให้เธอกอดไว้ในอ้อมแขน แขนคู่นั้นกอดตัวผมไว้แนบแน่น ราวกับจะไม่มีวันปล่อยให้ร่างนี้จากเธอไปไหนได้อีก เธอซบหน้าลงร้องไห้กับอกผมเนิ่นนาน บางทีพบพระอาจไม่เคยทราบก็ได้ว่าแม่รักเขาแค่ไหน

นอกจากแม่ของนายพบพระแล้ว มีเพื่อนอีกเพียงสามคนเท่านั้นที่มาเยี่ยม เจ้าหมอนี่มันไม่มีเพื่อนเลยหรือยังไงนะ

หนึ่งในเพื่อนที่มาเยี่ยม เป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของพบพระ เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อ ศักดา หลังจากเข้าใจว่าพบพระสูญเสียความทรงจำ

"เป็นไงบ้างไอ้พบ จริงๆแกมีปัญหาอะไรก็บอกกันได้นี่หว่า ไม่เห็นต้องกินยาตาย ทำอย่างนี้แม่แกเสียใจนะเว้ย เอ่อ ขอโทษ ไม่รู้ว่าจะสะเทือนใจรึเปล่า กลุ้มใจเรื่องอะไรวะ ถ้าเป็นเรื่องเงินที่แกยืมข้าไปละก็ไว้หายดี มีเมื่อไหร่ค่อยใช้คืนก็ได้ แต่ถึงถามแกไปตอนนี้ก็คงไม่ได้คำตอบ แกสูญเสียความทรงจำนี่นา ยังไงก็หายไวๆนะเพื่อน"

ศักดากลับไปแล้ว ผมเหลือบมองแม่ของพบพระที่เพิ่งจะหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน บางทีนายพบพระอาจฆ่าตัวตายเพราะเรื่องเงินก็ได้ เป็นหนี้มากแค่ไหนกันนะ คนเราถึงเป็นหนี้แค่ไหนก็ไม่น่าจะต้องฆ่าตัวตายนี่

"แน่ใจรึว่าปัญหาหนี้สินน่ะเรื่องเล็ก"

เสียงทรงอำนาจ ทว่าคุ้นหูยิ่ง ดังขึ้นข้างกายผม

"ท่านยมทูต"

ผมอุทาน ตาเหลือบมองแม่ของพบพระที่ยังคงหลับต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะรับรู้การปรากฎตัวขึ้นของยมทูตสมชาย

"ปัญหาเรื่องเงินของนายพบพระที่เจ้าเห็นยังเป็นแค่เสี้ยวเล็กๆเท่านั้น"

ท่านยมทูตปรากฏตัวขึ้นบนม้านั่งสำหรับเยี่ยมผู้ป่วย ดวงตาสีแดงคู่นั้นเหลือบมองผม ก่อนกล่าวคำ

"อย่าห่วงเลย นอกจากผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษเช่นเจ้าแล้ว ไม่มีมนุษย์คนไหนมองเห็นเราได้"

"ท่านมาเพื่อจะบอกกับผมเรื่องนี้"

"อีกไม่กี่วัน เจ้าจะออกจากโรงพยาบาลได้ วันนั้นเจ้าจะเห็นปัญหาทั้งหมดในชีวิตจริงๆของพบพระ เราอยากรู้นักว่าถึงวันนั้นเจ้าจะยังเห็นทุกปัญหาเป็นเรื่องเล็กเช่นวันนี้ได้อีกหรือเปล่า"

............................................................

ห้องเช่าเล็กๆของพบพระ อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลเท่าไรนัก

ประตูห้องพักถูกเปิดออก สิ่งแรกที่ผมเห็นคือโต๊ะทำงานเล็กๆตัวหนึ่ง ข้างห้องรายรอบไปด้วยตู้หนังสือที่เต็มไปด้วยกองหนังสือวางซ้อนกันระเกะระกะ ถัดออกไปเป็นทีวีขนาดสิบสี่นิ้ว กับตู้เย็นเก่าๆขนาดย่อม

ผมถือวิสาสะเข้าไปสำรวจโต๊ะทำงานและตู้หนังสือของพบพระ จะด้วยโชคเข้าข้างหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ตาของผมก็กระทบเข้ากับสมุดบันทึกหลายเล่มกองซ้อนกันอยู่ในมุมหนึ่งของตู้หนังสือ

"บันทึกประจำวัน"

ผมอุทานออกมาอย่างลืมตัว นี่อาจจะเป็นเบาะแสสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็ได้

ผมเปิดสมุดบันทึกเหล่านั้นอย่างเร่งร้อน บันทึกแต่ละเล่มลงวันที่ไว้อย่างชัดเจน แม้พบพระจะไม่ได้เขียนบันทึกทุกวัน แต่เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน ก็คงพอเข้าใจเรื่องราวอะไรได้บ้าง

ผมจรดสายตาลงบนตัวอักษรที่ยืนเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบบนหน้ากระดาษของสมุดบันทึกเล่มแล้วเล่มเล่า พลันเรื่องราวของนายพบพระ ก็พรั่งพรูเข้ามาในมโนสำนึก

พ่อของพบพระจากไปตั้งแต่เขายังจำความไม่ได้ พบพระจึงตั้งใจว่า เขาจะเรียนหนังสือพร้อมกับทำงานส่งตัวเองเรียนไปด้วยจะได้ไม่เป็นภาระแก่แม่มากนัก

พบพระเรียนรู้งานหลายอย่าง เริ่มต้นด้วยการช่วยนำขนมที่แม่ทำไปขายเพื่อนและคุณครูที่โรงเรียนในวัยเด็ก โชคดีที่แม่ของเขามีฝีมือในการทำขนม ประกอบกับการที่พบพระตั้งใจเรียน ทำให้บรรดาครูบาอาจารย์เอ็นดู ช่วยซื้อขนมของพบพระทุกวัน

การช่วยแม่ค้าขายในวัยเด็ก ช่วยให้พบพระกลายเป็นเด็กที่ช่างสังเกตความต้องการของผู้อื่น เขามักจะจับกระแสความต้องการของลูกค้าได้ไม่ยากนัก ว่าจะขายสินค้าที่มีอยู่ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างไร

ความสามารถพิเศษนี้เอง ทำให้รุ่นพี่คนหนึ่งชักชวนให้พบพระเข้ามาทำงานกับบริษัทขายตรงแห่งหนึ่ง

เหมือนพยัคฆ์ติดปีก เมื่อพบพระใช้ความสามารถพิเศษของตนมาช่วยในการขาย ทำให้เขาสามารถทำยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งที่เริ่มทำงานขายตรงกับบริษัทแห่งนี้ได้เพียงปีเดียว

ปีนั้นพบพระได้รับรางวัลใหญ่ เขาได้พาแม่ไปเที่ยวประเทศอังกฤษเป็นระยะเวลาสามวันสองคืน สมกับที่สามารถทำยอดขายจนได้รับตำแหน่งดาวรุ่งดวงใหม่ของบริษัท

พบพระมีเงินมากมายอย่างที่ไม่เคยคิดว่าเด็กจนๆอย่างเขาจะมีโอกาส พบพระแบ่งให้แม่ครึ่งหนึ่งของรางวัลก้อนใหญ่ โดยหวังว่าแม่ที่อายุมากขึ้นจะได้เลิกกิจการร้านขนมและอยู่อย่างสบายเสียที

ปีต่อมา สมาชิกที่พบพระชวนมาร่วมงานในบริษัทขายตรงทยอยกันเลิกทำ เนื่องจากไม่สามารถทำยอดขายได้มากนักในภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศแทบดิ่งเหว

พบพระเริ่มกู้หนี้นอกระบบ เอาเงินเก็บทั้งหมดเท่าที่เหลืออยู่ไปซื้อสินค้ามาเพื่อจะทำยอดขายให้ได้เหมือนปีก่อน โดยไม่ฟังคำทัดทานของศักดา ด้วยมั่นใจว่า "ยังไงก็ขายได้"

โชคไม่ดีนักที่ปีนี้มีคนซื้อสินค้าของเขาน้อยลงอย่างน่าใจหาย

"ไม่ใช่สินค้าของน้องไม่ดี...แต่พูดตรงๆนะ เศรษฐกิจแบบนี้พี่ซื้อไม่ไหวว่ะ ขอใช้ยี่ห้ออื่นที่ถูกกว่าไปก่อนก็แล้วกัน"

ลูกค้ารายหนึ่งปฏิเสธ

ลูกค้าคนนั้นไม่ใช่รายสุดท้ายที่ปฏิเสธการซื้อสินค้าจากเขา ไม่ว่าพบพระจะเสนอของที่ตรงกับความต้องการของพวกเขาสักแค่ไหน เหตุผลที่ย้อนกลับมาก็คือ

"ไม่ใช่สินค้าไม่ดี แต่ซื้อตอนนี้คงไม่เหมาะ"

เพื่อนฝูงเริ่มเบือนหน้าหนี ยิ่งพบพระพยายามจะขายสินค้ามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งพบว่าตนไม่ได้ "ให้" ในสิ่งที่ลูกค้าต้องการอีกต่อไป สิ่งที่เขาทำกลายเป็นการ "ยัดเยียด" สิ่งที่ตัวเองอยากให้แก่ผู้ที่ไม่อยากรับ

และวันที่ร้ายที่สุดในชีวิตของพบพระก็มาถึง บริษัทขายตรงต้นสังกัดที่พบพระทุ่มเททำงานให้มาตลอดประกาศเลิกกิจการ ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ

ธุรกิจที่สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงต้องล้มละลาย เป็นหนี้สินมากมาย หนี้นอกระบบน่ากลัวกว่าที่เขาคาดไว้มากนัก ดอกเบี้ยเพิ่มพูนแบบทบทวี

เขาไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ทั้งทรัพย์สิน ชื่อเสียง แถมยังมีเจ้าหนี้ไล่จี้ ตามทวงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ขวัญผวา ชีวิตหาทางออกไม่ได้...ทางออกสุดท้ายที่เขาเลือกคือกินยานอนหลับโดยหวังว่าจะไม่ต้องลืมตามาพบกับโลกที่แสนเจ็บปวดใบนี้อีก

โธ่ พบพระ ผมรำพึงในใจแม่นายก็ยังอยู่ เพื่อนที่ยังรักนายก็มี สองมือก็อยู่ครบ ถ้ายังมีชีวิต อย่างไรเสียก็ยังมีโอกาสทำงานใช้หนี้จนได้นั่นแหละ กลับกันถ้าไม่มีชีวิต ต่อให้เคยมีความสามารถแค่ไหนก็แก้ไขอะไรไม่ได้

คิดถึงตรงนี้ ผมก็ปิดบันทึกของพบพระลง ภาพถ่ายใบหนึ่งร่วงจากหน้าสุดท้ายของบันทึก

............................................................

ผมนั่งเหม่อ จ้องรูปถ่ายใบนั้นเนิ่นนาน

ภาพถ่ายใบนั้นเป็นภาพตะวันทอแสงอยู่ที่ริมขอบฟ้า แสงสีทองระบายผสานกับแสงสีส้มดูอบอุ่นและคุ้นเคย ใต้ภาพข้อความเขียนด้วยลายมือว่า

"ดูตะวันขึ้นกับแม่ ที่เมือง Lands' End เมืองเล็กๆทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะอังกฤษ"

เหมือนกำแพงหมอกหนาทึบในหัวพังทลายลง ความทรงจำทั้งหลายเกี่ยวกับตัวเองพรั่งพรูเข้ามาในหัว ชัดเจนและแจ่มแจ้งยิ่ง

"จำเรื่องราวของตัวเองได้แล้วสินะ นายพบพระ"

ไม่ใช่ใครอื่น ยมทูตสมชายนั่นเอง

"ทำไมท่านไม่บอกผมตั้งแต่แรกครับ ว่านายพบพระก็คือผมเอง"

"บางทีการปล่อยให้เจ้าเรียนรู้เรื่องราวของตัวเองในมุมมองของคนนอก อาจทำให้เจ้าเห็นอะไรมากกว่าก็ได้ หรือไม่จริง"

คำตอบตรงไปตรงมา ทว่าเจือความปราณีในน้ำเสียงไม่น้อย

"ครั้งที่แล้ว เจ้าเลือกเดินทางลัด ทั้งที่ใจยังหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ ไม่รู้หรอกว่า ฆ่ากายจะได้อะไร ถ้าหัวใจยังติดคุก"

"ครั้งที่แล้วที่เจ้าฆ่าตัวตาย จิตเจ้ายังไม่ได้เคลื่อนจากภพมนุษย์ พูดง่ายๆก็คือฆ่าตัวตายไม่สำเร็จนั่นแหละ จำไว้นะ ถ้าตายไปจริงๆแล้ว เทวดาหรือยมทูตที่ไหนก็ทำให้เจ้าฟื้นไม่ได้"

จากวันสุดท้ายที่ผมคุยกับท่านสมชาย ก็ผ่านมาแล้ว ๕ ปี

ผมกลับไปเปิดร้านขายขนมอย่างที่เคยทำ เน้นขายขนมราคาย่อมเยาพอที่คนทั่วไปจะซื้อได้ โดยขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากเพื่อนที่แสนดีอย่างศักดาในช่วงต้น (ผมใช้หนี้มันหมดแล้วครับ แสดงความยินดีกับผมหน่อย)

กิจการร้านขนมของผมไปได้ค่อนข้างดี ผมใช้เวลา ๓ ปีเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นลูกหนี้นอกระบบ มาเป็นลูกหนี้ชั้นดีของธนาคารได้สำเร็จ ธุรกิจนี้อาจไม่ทำให้ผมมีเงินก้อนโตเท่าเมื่อก่อน แต่ก็ทำให้ผมสามารถยืนอยู่บนขาของตัวเองได้อย่างมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ถึงไม่รู้ว่าจะใช้หนี้หมดเมื่อไหร่ แต่ผมก็แน่ใจว่าเส้นชัยไม่ไกลเกินก้าวถึงแน่ๆ

............................................................