Print

ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๑๓๔

TEARS SERIES ตอนที่ 2 “WHAT WAS LOST?”

wilasineeโดย วิลาศินี




heal
ขอบคุณภาพจาก http://pqhobbit.wordpress.com/category/lent-2010/

.
.
.

เธอมาเวลาเดิม...

ตรงมุมตึกนั้นมีเก้าอี้ม้าหินอ่อนให้นั่งพัก หญิงสาววัยยี่สิบต้นๆคนนั้นเดินมานั่งที่เดิม เธอสวมกระโปรงยีนส์สั้นแค่เข่า เสื้อยืดสีขาวเข้ารูปตัวนั้นถูกปล่อยชายทอดยาวลงมา ผมยาวเงางามทอดยาวลงมาเกือบกลางหลัง ใบหน้าเรียบเฉยนั้นเหม่อมองไกล บางครั้งก็สอดส่ายไปมาและครั้งหนึ่ง เธอหันมาสบตาเข้ากับผม

ผมก้มศีรษะลงต่ำและยิ้มให้ แต่เธอเมินเฉย ด้วยฐานะและอาชีพที่ผมทำ ไม่แปลกที่สาวๆ หลายคนจะเมินหน้าหนี แต่ไม่ควรเป็นเธอคนนี้ ไม่ควรเลย...

เสียงบีบแตรรถดังปรี๊นเรียกความสนใจ ผมต้องรีบลุกไปโบกรถให้เจ้าของรถขับเลี้ยวเข้ามาในตัวตึก สัญญาณมืออาจสื่อสารได้ไม่มากพอ ผมต้องร้องตะโกนบอก

"เลี้ยวขวาเข้าบล็อก 6 ครับ ข้างในยังมีที่ว่าง"
รถคันงามเคลื่อนตามคำสั่งแต่โดยดี ผมเดินตามรถคันนั้นและดูแลจนเข้าจอดในช่องที่ว่างอย่างสะดวกโยธินแล้วก็เตรียมหันกลับ หวังว่าเธอยังรออยู่

"นี่ พ่อหนุ่ม"
คนในรถเลื่อนกระจกลงมาทัก หลังพวงมาลัยนั้นเป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดี
"พี่ซื้อกาแฟมาฝาก"
ผมยิ้มเจื่อนๆ ที่จริงผมไม่กินกาแฟ...

"รับไปสิ"
"ครับ ขอบคุณครับ"
แต่สุดท้าย ผมก็ยกมือไหว้ รับกาแฟกระป๋องนั้นมาด้วยความเกรงใจ
"ฝากดูรถพี่ด้วยแล้วกันนะ อย่าให้ใครมาจอดปิดทางเชียว พี่ขึ้นไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ลงมา"

"ครับ"

เธอได้ยินคำตอบแล้วก็สบายใจ เดินลงจากรถและกรีดกรายขึ้นไปบนตึก ผมทำเป็นเบือนหน้ามองสาวใหญ่ แต่หางตากลับเหลือบแลสาวน้อยคนที่ยืนอยู่ตรงมุมตึกคนเดียวคนนั้น และพอจะเห็นว่าเธอก็มองดูผมอยู่เช่นกัน แต่พอผมหันหน้าไปมอง เธอก็เฉไฉเหลือบแลไปทางอื่น

ไม่เอาน่า...
ผมส่ายหน้าและกระตุกยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปหาและยื่นกาแฟให้

"เอาไหมครับ"
เธอหันมา กลืนน้ำลายลงคอแล้วสะบัดหน้า ไม่ตอบคำ
"ผมวางไว้นี่นะ"
ผมวางกระป๋องกาแฟไว้ตรงที่ว่างของเก้าอี้หินอ่อน ก่อนจะกลับไปเฝ้าป้อมประตูตามเดิม

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ในวัยเด็ก ผมไม่ชอบชื่อของตัวเองเท่าใดนัก พออ่านออกเขียนได้ ผมก็พบเห็นชื่อที่เข้าตาอยู่หลายชื่อจากการอ่านหนังสือให้มารดาที่เจ็บออดๆแอดๆ ฟังบนที่นอน แม่ลูบศีรษะผมและบอกว่าชื่อนี้มีความหมาย พิทักษ์ แปลว่าปกป้อง รักษา เมื่อผมเติบโต จะได้เป็นคนที่คอยปกป้องดูแลผู้อื่นได้ ผมต้องการปกป้องแม่ แต่แม่ผลักไสให้ผมไปปกป้องพ่อและพี่สาว ชีวิตแม่ไม่ยืนยาวพอจะให้เวลาผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียก่อน

แม่เสียชีวิตลงด้วยโรคประจำตัวตั้งแต่ผมยังเล็ก ผมจึงไม่ได้เปลี่ยนชื่อมาตั้งแต่นั้น

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

มันเป็นช่วงเวลามืดค่ำพอสมควร ในที่สุดเธอก็หยิบกาแฟขึ้นดื่ม และพอผมเตร็ดเตร่ไปใกล้ ก็ถูกชักชวนให้ไปนั่งคุยเป็นเพื่อน

"แล้วทำไมคุณถึงไม่ไปเป็นตำรวจ หรือทหาร แทนที่จะมาเป็นรปภ.แบบนี้"
เธอหันมาถามผม
"พ่อผมเป็นรปภ. เลยฝากงานง่ายหน่อย"

ผมยิ้มก่อนตอบคำถาม เธอจะรู้ไหมว่ายามอยู่คนเดียว ผมไม่ได้ยิ้มอย่างนี้บ่อยนัก จริงๆแล้ว จะบอกว่ารอยยิ้มนี้ปรากฏขึ้นเมื่อเธอมาก็ว่าได้

"คุณล่ะ มาทำไมแถวนี้ทุกวัน"
"ฉันมารอแฟน เขาบอกว่าจะมารับ"

"ผมก็เห็นคุณมารออยู่หลายวัน ไม่เห็นเขามาเสียที"
"เขาขี้ลืมนัดแบบนี้แหละ ฉันตั้งใจจะมาเรื่อยๆ เผื่อเขานึกได้"

"ถ้าเขาขี้ลืมขนาดนั้น ทำไมคุณไม่ไปหาเขาเสียเลยล่ะ"
"โอ..."

เหมือนเพิ่งจะนึกได้ ตาของเธอมีประกายขึ้นมาวูบหนึ่งแต่แล้วก็สลดลงไปอีก
"ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เขาแค่มารับฉันไปเที่ยว มาส่ง แล้วก็กลับ"
ผมถอนใจ ถามคำถามใหม่

"เบอร์โทร"
เธอส่ายหน้า

"งั้น ชื่อ รูปร่าง หน้าตา อะไรก็ได้ที่คุณพอจะรู้"
ดูเธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนบอกรายละเอียดอย่างกระท่อนกระแท่น

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เช้าวันรุ่งขึ้น ช่วงเวลาเปลี่ยนกะ

"ว่าไงทัก กะดึกเมื่อคืนเป็นไง"
"ก็ดีครับน้าชาติ"

ปากตอบคำทักทาย หากแต่ตาผมมองข้ามไหล่รปภ.รุ่นน้า ไปเจอกับลูกสาวเจ้าของร้านทำผมที่เพิ่งเดินออกมา เมื่อวันก่อนผมได้ยินข่าวซุบซิบนินทาจากแม่บ้านใต้ตึก ว่าเธอเพิ่งลาออกจากมหาวิทยาลัยเพราะตั้งครรภ์และยังไม่มีวี่แววงานแต่ง เห็นจะจริงอย่างที่เขาว่า เพราะหญิงสาวเริ่มเปลี่ยนลักษณะการสวมใส่เสื้อผ้า จากเดิมที่มักจะเห็นในรูปชุดแบบนักศึกษา หรือถ้าวันหยุดก็ใส่กางเกงยีนส์เสื้อยืดธรรมดา มาวันนี้เป็นเสื้อหลวมๆและกระโปรงผ้าบางๆ ทำให้ดูแปลกตากว่าที่เคยเห็น พอน้าชาติย้ายตัวเข้าไปประจำตำแหน่งและผมเตรียมออกจากกะ ผมก็เดินเข้าไปหา

"อ้อน"
"อือ ว่าไง"

หญิงสาวหันมาตอบคำทักทายอย่างเรียบง่าย ดูเธอไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องราวใดๆ มิหนำซ้ำ หน้าตา ผิวพรรณ ที่ปรากฏใต้แสงแดดยามเช้ายังดูผุดผาดกว่าแต่ก่อนเสียอีก ทำเอาผมมองตาค้างและยืนเก้ๆ กังๆ ไปครู่หนึ่ง

"เรา... อยากตามหาคนน่ะ เธอช่วยเราหน่อยได้ไหม"
"หือ... ให้ช่วยยังไง นายว่าเราเก่งกว่านักสืบหรือตำรวจอีกเหรอ"
เธอพูดติดตลกทั้งที่หน้าตายอยู่อย่างนั้น

"เปล่า เอ่อ... เราแค่อยากรู้ประวัติว่าเขาเป็นใคร ทำงานอะไร อยู่ที่ไหน เธอหาในเน็ตให้หน่อยได้ไหม เรา... ใช้ไม่เป็นน่ะสิ"
"เอารายละเอียดมาสิ เราว่าง เดี๋ยวไปค้นในร้านเน็ตให้"

ผมยื่นกระดาษที่จดรายละเอียดให้ อ้อนหยิบกระดาษแผ่นนั้นและก้มดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพับกระดาษใส่กระเป๋าเสื้อ
"เย็นนี้มาเอานะ"
"อื้อ แล้ว... เธอสบายดีนะ"
"สบายดี"
หญิงสาวตอบรับพร้อมกับรอยยิ้ม

"งั้นเราไปก่อน"
"แล้วพรุ่งนี้เจอกัน"
"อื้อ"

ผมและเธอทักทาย พูดคุย และขอความช่วยเหลือกันด้วยประโยคสั้นๆ แต่เหมือนต่างคนต่างก็เข้าใจกัน ปฏิกิริยานี้ อาจเริ่มตั้งแต่วันที่เธอมากับพ่อในงานศพของแม่ผม จากนั้นไม่นาน ก็ต่อด้วยเหตุการณ์ที่พี่สาวของผมผูกคอตาย ทิ้งไว้แต่จดหมายลาตายที่ผมไม่ได้อ่าน อีกทั้งไม่ได้เห็นศพเพราะเกิดเหตุขณะผมยังไม่กลับจากโรงเรียน

ตำรวจมาตรวจหาหลักฐาน พ่อเสียใจและดื่มเหล้าเมามาย มีแต่พ่อของอ้อนที่รีบมาทันทีที่รู้ข่าวและพาตัวพ่อและผมไปนอนค้างที่ร้านทำผมในคืนนั้น

ความรู้สึกพลุ่งพล่าน เสียใจ งุนงง สับสน ที่ประเดประดัง กลับแผ่วหายเหมือนถูกดูดกลืนเข้าไปในอากาศทันทีที่เข้าไปในร้าน ผมเห็นอ้อนนั่งวาดรูปด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูกว่าเรียบเฉย สงบนิ่ง หรือเหม่อลอย เธอหันมามองผมและค้อมศีรษะเพียงเล็กน้อย ก่อนปล่อยให้ผมนั่งชันเข่าขึ้นซบหน้านิ่ง โดยไม่ถามอะไรใดๆทั้งสิ้น

ไม่นานนัก ผมก็ลาออกจากโรงเรียนและมาทำงานเป็นรปภ.ใต้ตึกแทนพ่อ

ผมเจออ้อนบ่อยขึ้น แต่ยังไม่ได้พูดคุยกันมากกว่าเดิมเท่าใดนัก แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญเท่า หญิงสาวที่มารอแฟนหนุ่มคนนั้น

และที่จริง...
ผมรู้จักเธอ...

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

วันรุ่งขึ้น หญิงสาวผู้เริ่มกลายเป็นคนคุ้นหน้าเดินมานั่งรอที่เดิม ผมรอจนถึงช่วงเวลาพักแล้วเดินไปหาเธอที่นั่น
"ท่าทางสบายอกสบายใจมากเลยนะ"

เธอเอ่ยทักเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของผม
"ผมได้ข้อมูลสำคัญมาแล้ว" ผมบอกยิ้มๆ

"ข้อมูลอะไรกัน"
"ข้อมูลแฟนคุณไง"
เธอมองหน้าผม ผมฝืนยิ้มแล้วยื่นรูปถ่ายใบหนึ่งให้หญิงสาวตรงหน้า เธอรับไปดูอย่างงงๆ แต่เมื่อให้ภาพถ่ายในมือเธอก็เบิกตากว้าง

"ใช่..นี่เขาล่ะ ไม่ผิดแน่นอน"
"อยากรู้ข้อมูลของเขาไหมล่ะครับ"

"เอาสิ รีบบอกมาเลย"
น้ำเสียงนั้นข่มอาการตื่นเต้นไว้ไม่มิด เธอกำรูปถ่ายในมือแน่น แถมมองหน้าผมตาไม่กระพริบ

"เขามีภรรยาอยู่แล้ว"
ผมเริ่มต้นเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจังและมองตาเธออย่างสัตย์ซื่อ
"ขอโทษครับที่ต้องบอกตรงๆ แต่มันเป็นเรื่องที่คุณควรรู้"
หญิงสาวพยักหน้าด้วยสายตาจริงจังเช่นกัน จนผมค่อนข้างแปลกใจ แต่ก็เล่าต่อ
"ช่วงหนึ่งเขาเบื่อภรรยา เลยหันมาจีบคุณ แต่ตอนหลัง เขารู้ว่าภรรยาท้อง เลยตีตัวออกห่างจากคุณไป ฟังดูมันแย่จริงๆนะครับ"

ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นซีดขาวลงไปอีก แต่ก็รับยังด้วยท่าทางสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ

ผมหยุดพูดแล้วมองหน้าเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าต่อไปช้า ๆ
"เขาไม่รู้หรอกว่า จะทำให้คุณเสียใจจนฆ่าตัวตาย....เขาเองก็เสียใจนะครับ นี่รูปลูกสาวเขา ตั้งชื่อเป็นชื่อคุณด้วย รู้ใช่ไหมครับว่าลูกสาวของเขาชื่ออะไร......"

ผมหยุดพูดอีกครั้งก่อนจะพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเน้นเป็นพิเศษว่า

"ลูกสาวเขาชื่อรักษ์ไงครับ ชื่อจริงก็คือบุญรักษา ชื่อของพี่ไงครับ จำได้ไหม..."

ผมพูดพลางยิ้มเศร้าๆ ให้กับบุญรักษา พี่สาวคนเดียวของผม ซึ่งตอนนี้เริ่มมีสีหน้าหม่นหมองลงถนัดตา และท่าทางเหมือนระลึกอะไรขึ้นมาได้

"ทักษ์"
เธอเรียกผมด้วยอาการของคนพยายามฝืนยิ้ม

"ครับ ผมทักษ์ น้องชายพี่ รออยู่ตั้งนาน ว่าเมื่อไหร่จะจำกันได้"
"อือ..."

"ถ้าพี่ไม่หมกมุ่นอยู่กับการรอ พี่คงได้ทันไปเกิดเป็นลูกสาวเขา แต่นี่..."
"นั่นสินะ... ทำไมพี่ถึงได้โง่ขนาดนี้ พี่จำได้แล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่พี่จะรอเขาอยู่ที่นี่"

"ครับ"

"ขอบใจเธอมาก พี่ต้องไปแล้วล่ะ ดูแลตัวเองให้ดีนะ"
"พี่ก็เช่นกันครับ"

ฝนเริ่มตกโปรยปราย หญิงสาวหันมายิ้มให้กับผมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะสลายหายไปท่ามกลางละอองฝนที่ปลิวมาพร้อมกับลมโชยพัด

ผมคลี่กระดาษแผ่นบางที่ได้รับจากอ้อน...ผู้หญิงที่กำลังท้องสามเดือน นำมายื่นให้ มุมล่างนั้นมีบทแผ่เมตตาสั้นๆ

อิทัง เม ญาตินัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า, ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้ามีความสุข

ผมอ่านแล้วน้ำตาไหล เหมือนของหายแล้วได้คืน ผลจากการใส่บาตรและกรวดน้ำมาหลายวัน ทำให้ผมคุยกับพี่สาวตัวเองรู้เรื่องจนได้

นับว่าเป็นความพยายามที่ไม่สูญเปล่าเลยสักนิด.

(-โปรดติดตามตอนต่อไป-)