Print

ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๑๓๓

TEARS SERIES ตอนที่ 1 “ผู้พักพิง”

wilasineeโดย วิลาศินี

 

 

heal
ขอบคุณภาพจาก http://www.hypehopewonderland.com/top_e.html

...
...
...


“ชื่ออะไรดีนะ...”
หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างชายหนุ่มลูบท้องของตัวเองเบาๆ อย่างไม่แยแสต่อสายตาของฝ่ายชายที่ยังทำท่าขยะแขยงเสียเต็มประดา
“นี่อ้อน อย่าโกรธนะ แต่เราว่า น่ากลัวจะเลี้ยงเขาไม่ไหว”

คู่สนทนาเหลือบหางตามามองแวบหนึ่งก่อนจะพึมพำต่อ
“พูดมาตามตรงดีกว่า เราก็รู้ไส้รู้พุงกันมาหมดแล้ว อยากให้อ้อนไปทำแท้งใช่มั้ย”
“เออะ... อือ... เราถามเพื่อนเรามาแล้ว มันก็เคยพาแฟนมันไปทำแท้งมาก่อน ที่คลินิกเค้าบอกว่า ยิ่งเร็วยิ่งดี เราจะไปพรุ่งนี้เลยก็ได้”

ฟังคำแฟนหนุ่มสาธยายจนหมดเปลือก นี่เขาเสาะหาหนทางมาให้หมดแล้ว... หญิงสาวเหยียดยิ้มมุมปากก่อนตอบเบาๆ

“เอาอย่างนั้นจริงๆเหรอต้น...”


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ฉันกับเอินรู้จักกันมาตั้งแต่ขึ้นชั้นประถม อาจด้วยความที่เราเป็นเด็กไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาเหมือนกัน แต่ฉันยังมีเพื่อน มีพ่อแม่ มีญาติพี่น้องอยู่บ้าง ขณะที่พบเอินครั้งไหน ก็เห็นเธออยู่ตัวคนเดียวตลอด

ครั้งแรกที่พบกัน ฉันเห็นเอินนั่งแกว่งชิงช้าอยู่คนเดียวในสนามเด็กเล่นช่วงเวลาโพล้เพล้ ส่วนพ่อกับแม่ฉันก็ยังไม่มารับ เพื่อนคนอื่นก็กลับกันไปหมด

“นั่งด้วยได้ไหม”
ฉันถามออกไปขณะที่ตัวเองหย่อนก้นลงนั่งชิงช้าข้างๆเรียบร้อยแล้ว
เอินก้มหน้า แกว่งชิงช้าเบาๆ ไม่ตอบคำ ฉันเองก็นั่งเงียบอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง

“แม่ไปไหน”
นั่นคือประโยคแรกที่ได้ยินจากปากเอิน เสียงเล็กๆแฝงด้วยความเหงาของเธอทำให้ฉันอดหันไปมองไม่ได้

“หือ...”
ฉันไม่ค่อยเข้าใจคำถามของเธอนัก

“แม่เธอ... ไปไหน ทำไมยังไม่มารับ”
“ออ... แม่คงติดลูกค้าน่ะ แม่เราเป็นช่างเสริมสวย งานบางอย่างต้องใช้เวลานานนะ บางวันแม่ก็มาช้าอย่างนี้แหละ”

“แล้วพ่อล่ะ”
“พ่ออยู่เวรกะดึก พ่อเราเป็นรปภ. คนอื่นเรียกยาม แต่เธอห้ามเรียกนะ จริงๆแล้วชุดทำงานของพ่อเราเท่มาก เหมือนตำรวจเลย”

“อืม...”
เอินผงกหัวขึ้นลง แล้วก้มหน้าต่อ

“แล้วพ่อกับแม่เธอล่ะ”
ฉันหันไปถามเธอบ้าง

“ไม่มี”
เธอตอบเสียงเรียบ

“แล้วกัน แล้วเธออยู่กับใคร รอใครมารับ”
เอินไม่ตอบ หันไปเหม่อมองประตูรั้วโรงเรียนพักหนึ่ง แล้วหันกลับมาถามฉันใหม่

“ชื่ออะไร”
ฉันยักคิ้วงงๆ ไม่เป็นไร บอกชื่อตัวเองไปแล้วถามชื่อเธอบ้าง

“เรียกว่าเอินก็ได้ อยากเป็นเพื่อน ได้ไหม”
“อือ... ได้สิ”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำให้ฉันตกปากรับคำเอินได้ง่ายดายขนาดนั้น ไม่ทันได้ถามรายละเอียดอื่นต่อ แม่ฉันก็โผล่หน้ามาจากขอบสนามเด็กเล่น กวักมือเรียกฉันไหวๆ ฉันกระโดดพรวดลงจากชิงช้า วิ่งไปหาแม่

โดยไม่ทันล่ำลา ก็ฉันคิดว่า ถ้าอยู่โรงเรียนเดียวกัน เดี๋ยวก็คงได้เจอกันใหม่

ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น ฉันยังได้คุยกับเอินอยู่เนืองๆ

เราเกือบจะเป็นเพื่อนที่สนิทและรู้ใจกันที่สุดเลยล่ะ...

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“ทำการบ้านเสร็จแล้วเหรอลูก”

แม่เข้ามาทัก เมื่อเห็นฉันวาดรูปเล่นอยู่ในบ้าน ฉันวาดมันในสมุดวาดภาพส่วนตัว ไม่ใช่สมุดศิลปะของโรงเรียน

“ค่ะแม่ ทำกับเอินมาตั้งแต่รอแม่ไปรับที่โรงเรียนแล้ว”
ว่าพลางก้มหน้าก้มตาวาดรูปต่อ ในภาพนั้นมีฉันกับเอินจูงมือกันเดินเล่นในโรงเรียน ในรูปนั้น ฉันยิ้มอย่างมีความสุข แต่ใบหน้าของเอินยังมีแค่ตา หู จมูก แต่ปากยังไม่ได้เติม ฉันจะเติมรอยยิ้มให้เอินดีไหม จะเป็นการบังคับจิตใจเพื่อนหรือเปล่า ฉันค่อนข้างเชื่อว่าเวลาอยู่ด้วยกันเอินมีความสุข แต่เอินก็ไม่ค่อยยิ้ม

“เอินคือใครเหรอลูก เพื่อนหนูเหรอ ทำไมไม่พามาบ้านเราบ้าง”
“ก็พามาบ่อยนะคะ วันก่อนก็พามา แต่แม่คงยุ่งอยู่กับลูกค้ามั้ง หนูนั่งเล่นกับเอินรอแม่อยู่ตั้งนาน แม่หันมาทีสองที หนูยังชี้แม่ให้เอินดูอยู่เลย”

“หือ... วันก่อน วันไหนนะลูก หรือแม่ทำงานจนเบลอ แม่ว่าอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ หนูยังไม่พาใครมาบ้านเลยนะ”
“อืมมม....”

ฉันก็ไม่แน่ใจกับปากคำของแม่ ได้แต่ครางในลำคอแล้ววาดรูปต่อ บางเรื่องถ้าต้องคิดมากก็ไม่เห็นต้องตอบ เอินทำบ่อยๆ จนฉันเองก็อดเลียนแบบบ้างไม่ได้

“ไหนแม่ขอดูรูปเพื่อนหนูหน่อย”
ฉันค่อยหยุดละเลงสี ฉันใช้สีน้ำตาลแล้วทาทับด้วยสีเหลืองให้ตัวเอง เพื่อให้ดูออกเป็นสีแทนเหมือนตัวฉันที่มีสีผิวเหมือนพ่อ แต่ส่วนของเอิน ฉันปล่อยให้เป็นรูปคนบนพื้นสีขาวไว้อย่างนั้น เพราะเอินมีผิวขาว ผมหยักศก อ้อ..ไม่สิ ไม่ใช่เว้นไว้เป็นสีขาวทั้งตัว ยังมีผมกับดวงตา ที่ฉันระบายสีน้ำตาลแดงลงไป

แม่มานั่งคร่อมอยู่ข้างหลังฉันที่กำลังนอนวาดภาพระบายสีอยู่ ฉันจึงไม่เห็นว่าสีหน้าแม่เป็นอย่างไร ขณะที่ส่งเสียงบางอย่างคล้ายอาการสะอื้นขึ้นมาทีหนึ่ง และทันใดนั้น แม่ก็คว้าสมุดออกไปจากระหว่างแขนของฉันดื้อๆ

“นี่ใคร...”
“ก็เอินไงแม่ เพื่อนหนู”
“ไม่จริง แม่เคยไปโรงเรียนหนูวันพบผู้ปกครอง ในห้องไม่มีเด็กคนไหนตาสีน้ำตาลผมสีน้ำตาลแดงแบบนี้”
“ก็เอินอยู่ห้องอื่นไงแม่ แต่หนูก็ไม่เคยถามเหมือนกัน ว่าอยู่ห้องไหน”

คราวนี้ฉันหันไปโต้ตอบกับแม่ จึงค่อยเห็นว่า แม่หน้าซีดเซียวลง เมื่อพลิกไปดูรูประบายสีที่ฉันวาดมาก่อนหน้า จากนั้นถึงกับโยนสมุดวาดเขียนของฉันลงพื้นแล้วปิดหน้าร้องไห้ วิ่งเข้าไปในห้อง พ่อที่นั่งดูทีวีอยู่รีบผุดลุกตามไป เสียงปลอบใจอะไรบางอย่างแว่วเบาๆ แต่เขาคงไม่อยากให้ฉันได้ยิน

ฉันก้มลงเก็บสมุดวาดเขียนขึ้นมาอย่างเหนื่อยหน่าย พลิกย้อนหลังไปดูผลงานของตัวเองบ้าง

จริงๆก็น่าประหลาดใจอยู่บ้าง พ่อซื้อสมุดวาดเขียนเล่มนี้ให้ตอน ป.2 ฉันเริ่มเจอเอินช่วงเวลานั้น จนวันที่แม่ถามหา ฉันอยู่ ป. 5 และตัวก็โตขึ้นตามลำดับ

แต่เอินเคยตัวเท่าไร ก็เท่านั้น ผมก็ทรงเดิม ใบหน้าก็ละม้ายคล้ายเดิมไม่มีเปลี่ยน

ไม่เคยเปลี่ยนเลย... จนกระทั่งฉันอายุ 19

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“นี่พ่อเธอหรือเปล่า”
ฉันวางรูปใบหนึ่งบนโต๊ะกินข้าว ในนั้นเป็นรูปผู้ชายสูงขาว นัยน์ตาและเส้นผมสีน้าตาลแดง ใบหน้าคมคาย หล่อเหลา เอินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ชะโงกหน้าเข้ามาดูรูปนั้นอย่างตั้งใจก่อนจะตอบ

“คิดว่าใช่...”
ฉันพยักหน้าพอใจแล้วตักข้าวกินต่อ

“ได้มายังไง”
เอินถามสั้นๆ และเรียบง่ายเหมือนทุกครั้ง

“ขอแม่มา ก็แค่ คุยกับแม่ดีๆ แม่เห็นว่าเราโตแล้ว ก็เลยหยิบรูปมาให้ดู แล้วยอมเล่า”
เอินยังจ้องมองรูปนั้นไม่วางตา

“เขาทิ้งแม่ไป แบบเก็บข้าวของเผ่นหนีไปในวันเดียวที่รู้ข่าว ผู้ชายอะไร ใจเสาะชะมัด”
“อือ...”

เอินพึมพำ

“ส่วนแม่ก็อ่อนแอเหมือนกัน ตอนนั้นยังไม่เจอพ่อ แม่ไม่มีใครเลย ตากับยายก็ตายไปแล้ว มีลุงกับป้าเลี้ยงดู ลำพังตัวเองคนเดียวก็เป็นภาระ เลยต้องตัดสินใจอย่างนั้น แม่เองก็ทรมานใจมาตลอด”

“อือ...”
ฉันเพิ่งเคยเห็นเอินน้ำตาไหล

เอินไม่ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้น เธอแค่ก้มหน้า ปล่อยให้หยดน้ำตาร่วงเบาๆ ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งเงียบๆ

ผ่านไปพักใหญ่ ต้นถึงได้มาตามนัด เขารอให้ฉันกินข้าวจนเสร็จแล้วค่อยๆประคองฉันไปนั่งที่ใหม่ ในมุมที่ไม่ค่อยมีคน นั่นคงเพราะไม่อยากให้ใครได้ยินบทสนทนาของพวกเรา

ฉันพยักหน้า ให้เอินเดินตามมาด้วย...

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

...
...
...

"ชื่ออะไรดีนะ...”

ฉันลูบท้องของตัวเองเบาๆอย่างไม่แยแสต่อสายตาของต้น ที่ยังทำท่าขยะแขยงเสียเต็มประดา

“นี่อ้อน อย่าโกรธนะ แต่เราว่า น่ากลัวจะเลี้ยงเขาไม่ไหว”
ต้นออกปากเกลี้ยกล่อม ฉันทวนถามให้แน่ใจ ว่าต้นต้องการให้ฉันไปทำแท้งจริงๆใช่ไหม

ต้นพยักหน้าด้วยสายตาวิงวอน
ฉันถอนหายใจแล้วบอกออกไป

“ชื่อบังเอิญก็แล้วกัน...”
“หือ! ว่าไงนะอ้อน”

ต้นทำตาลุกวาว เขาทำท่าเหมือนเหน็ดเหนื่อย เมื่อเห็นฉันไม่เข้าใจสิ่งที่เขาสาธยายมายืดยาว จริงๆแล้วเขาต่างหาก ที่ไม่เข้าใจฉัน

“ลูกของอ้อน ถ้าคลอดออกมาแล้ว คงต้องชื่อว่าบังเอิญ เพราะพ่อเขาไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมา แต่บังเอิญ อ้อนอยากมีเขา”
“ไม่เอาน่า...อ้อน”

“ต้นจะไปไหนก็ไปเถอะไป อ้อนเพิ่งยืนใบลาออกจากมหาลัยไปเมื่อต้นคาบที่แล้ว ตอนที่ต้นยังเรียนอยู่นั่นแหละ”
ฉันเห็นต้นทำหน้าเหมือนกลืนยาขมเข้าไปก้อนใหญ่ จากนั้นก็ทำกระฟัดกระเฟียดปึงปังแล้วลุกออกไป
“งั้นช่วยไม่ได้นะอ้อน ถ้าอ้อนตัดสินใจแบบนี้ เราขาดกัน”
ต้นเพิ่งแสดงธาตุแท้ของตัวเองออกมา ทั้งที่จริงๆ ฉันก็เห็นมานานแล้ว

“ใจเสาะจริงๆ”

เอินที่นั่งอยู่ข้างฉันพึมพำอย่างคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิด

“แล้วชื่อนี้พอไหวไหม”
ฉันเปลี่ยนเรื่องคุย เอินพยักหน้า
“อื้อ... ขอบใจนะ”
“อืม อีกไม่กี่เดือนก็คงได้เจอกันนะ”

แล้วเอินก็หายตัวจากไป

ฉันลูบท้องตัวเองเบาๆอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม แม่เพิ่งออกจากร้านมารับฉันถึงโรงอาหารในมหาวิทยาลัย
“อ้าว คุยกันจบแล้วเหรอลูก”
“ค่ะแม่ เขาทิ้งหนูไปแล้ว”
“อืม... แล้วลูกจะเอายังไง”

ฉันเห็นสีหน้ากระวนกระวายของแม่แล้วยิ้มปลอบใจ
“หนูขอโทษนะ ที่ป้องกันไม่ดี แต่เรื่องมันเป็นมาแบบนี้ แม่ช่วยหนูเลี้ยงเขาได้ไหม”
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
จากนั้น เราสองคนโอบกอดกันอย่างไม่อายใคร
“ไม่สิ แม่ต้องบอกว่า ขอบใจนะลูก ขอบใจ...”

ฉันปล่อยให้น้ำตาไหลรินด้วยความเต็มใจ
ถ้าเอินอยู่ตรงนี้ ก็คงยิ้ม และพูดประโยคนี้เหมือนกัน.


- (โปรดติดตามตอนต่อไป) -