Print

ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๒๑๓

ภารกิจติดงาน

un

โดย อัญญดา

....
....
....

เขา...

ทำงานอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อความก้าวหน้าในชีวิต
ยิ่งตอนนี้เขาพบกับหญิงสาวที่ทำให้หัวใจของเขามีความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เขาไม่รู้ว่าการรักใครสักคนต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวได้
แต่สำหรับเขานั้น เขาต้องการให้ชีวิตมั่นคงมากพอที่จะดูแลอีกหนึ่งชีวิต
และสิ่งที่ทำให้ชีวิตเขามั่นคงได้ก็มีเพียงงานเท่านั้น

เธอ...

ต้องทนกับผู้ชายที่ใช้เวลาเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ไปกับงาน
และมีเวลาให้คนที่ตนเองทำท่าว่าหลงรักไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของชีวิต
ส่วนเปอร์เซ็นต์ที่เหลือไม่รู้ว่าจะมีให้กับคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงสักเท่าไร


ภารกิจของเขา จะติดขัดด้วยเรื่องงานจนไม่อาจพิชิตใจเธอได้กระนั้นหรือ ?

....
....
....

para

“รอด้วยค่ะ!”สาวร่างสูงผอมบางในชุดทำงานทันสมัยวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงหน้าประตูลิฟต์ที่กำลังปิด มือข้างหนึ่งหิ้วถุงพลาสติกที่บรรจุอาหารเช้าของวันนี้ชั่วอึดใจประตูลิฟต์ก็เปิดออกทันใจ หญิงสาวรีบก้าวเข้าไปในลิฟต์ที่มีผู้คนยืนออกันเกือบเต็ม

“ชั้นอะไรครับ” เสียงทุ้มของชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถาม

“20 ค่ะ ขอบคุณมาก” ดารินทร์เอ่ยโดยไม่เหลือบมองคนถามแต่มองนาฬิกาข้อมืออย่างตกใจ

“ตายๆ ตาย อีกไม่กี่นาทีแล้ว...วันนี้มีประชุมด้วยจะทันไหมเนี่ยะ...ขออนุญาตนะคะทุกท่าน” ดารินทร์โค้งน้อยๆ ก่อนจะจัดแจงรื้อถุงแซนวิสทูน่าชิ้นใหญ่ออกมาแล้วยัดใส่ปากอย่างรวดเร็วโดยไม่รอการอนุญาตจากเพื่อนร่วมทาง สายตาเรียวสวยของเธอปราดไปเห็นปุ่มตัวเลขด้านหน้าลิฟต์ก็แทบสำลัก เพราะมันถูกกดเรียงกันเป็นแถบและชั้น 20 ที่เธอทำงานอยู่มีไฟสีส้มขึ้นเป็นชั้นสุดท้าย

หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่เพราะคิดว่าต้องสายแน่ๆ ใจก็เริ่มร้อนยิ่งกว่าเดิม แม้ทุกวันเธอจะตื่นสายแต่ก็มาทันเวลางานทุกครั้ง

“ไม่น่าแวะช่วยเด็กคนนั้นเลย ดาวเอ๊ย!” หญิงสาวบ่นพึมพำพร้อมเคี้ยวอาหารเช้าที่ตนแสนเบื่อแต่ก็จำใจกินแทบทุกวันอย่างหงุดหงิด

จนกระทั่งลิฟต์ส่งคนไปเกือบหมดเหลือเพียงชั้นของเธอพร้อมกับเวลาที่จวนเจียนจะสาย จู่ๆ ลิฟต์ก็สะดุดหลายครั้ง หลอดไฟติดๆ ดับๆ อยู่หลายครั้งและมันก็ดับลงพร้อมกับหยุดตัวเองไว้ที่ชั้น 17 เป็นหน้าที่ของชุดไฟสำรองที่เปิดขึ้นมาอัตโนมัติภายในลิฟต์จึงมีแสงสว่างเพียงพอสำหรับการมองเห็น

“เฮ้ย! ลิฟต์ค้าง ทำไมซวยแบบนี้นะ นี่เหรอคะสวรรค์...รางวัลสำหรับสาวสวยหุ่นดีและนิสัยดีมากๆ อย่างลูก”

“ฮึๆ” เสียงหัวเราะเบาๆ ของเพื่อนร่วมทางหนึ่งเดียวของเธอดังขึ้น เธอหันไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงสวมเสื้อเชิร์ตสีขาวผูกเนคไทลายเรียบๆ กางเกงสแลคสีดำ ดวงตาเรียวชั้นเดียวของเขาฉายแววขบขัน ดารินทร์คร้านจะใส่ใจได้แต่ยืนกระสับกระส่ายทำอะไรไม่ถูก

ชายหนุ่มเห็นท่าทางตื่นกลัวของหญิงสาวจึงรีบกดปุ่ม Emergency Call ที่แผงตัวเลขหน้าลิฟต์ โดยไม่มีท่ามีตื่นตกใจให้เห็นเลย

"สวัสดีครับ ตอนนี้ลิฟต์ค้างที่ชั้น 17 ขอความช่วยเหลือด้วยครับ"

"รอสักครู่นะครับ เราจะรีบช่วยเหลือโดยด่วน!"เสียงชายคนหนึ่งโต้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตกใจ ก่อนที่เสียงจะเงียบไป

ดารินทร์มองชายหนุ่มอย่างทึ่งๆ ทั้งที่เธอตกใจแทบแย่แต่เขากลับมีท่าทึตรงกันข้ามและยังหาทางแก้ไขได้อย่างรวดเร็วชายหนุ่มยืนพิงผนังลิฟต์มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง ส่วนอีกมือหิ้วถุงใส่แก้วกาแฟที่ยังไม่ได้กินสักหยดอย่างสงบนิ่งหญิงสาวยืนรออยู่หลายนาทีใจจึงฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องซวยซ้ำซวยซ้อนของวันนี้อย่างหงุดหงิดขึ้นทุกที

“คุณรู้ไหมวันนี้ฉันซวยแค่ไหน ฉันอุตส่าห์ตื่นตั้งแต่เช้า แต่งตัวสวยเช้งเตรียมเข้าประชุมเสนอแผนงานวันนี้ แต่ลิฟต์ที่คอนโดฯ เสีย ฉันต้องลากส้นสูงสี่นิ้วลงบันไดตั้งหกชั้น เดินออกมาก็ดันเจอเด็กขายพวงมาลัยโดนมอเตอร์ไซต์เฉี่ยว ไม่มีใครสนใจเลย ฉันต้องหิ้วปีกเด็กผู้ชายคนนั้นไปคลินิก แล้วยังต้องนั่งรอพ่อแม่ของเด็กมาอีก” ดารินทร์เล่าอย่างหัวเสีย เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีเธอก็เริ่มเล่าต่อไปอีก

“คุณไม่สงสัยเหรอว่าทำไมฉันต้องรอพ่อแม่ของเด็กนั้น ฉันรอด่าพวกเขาไงมีอย่างที่ไหนให้ลูกมาเร่ขายพวงมาลัยริมถนนถึงจะปิดเทอมแล้วก็เถอะ ถ้าลูกถูกรถชนตายจะทำยังไง มันคุ้มกันไหมกับเงินไม่กี่บาท เห็นเงินสำคัญกว่าลูกตัวเอง พูดแล้วของขึ้น!”หญิงสาวเล่าอย่างออกรส

“แล้วตอนนี้คุณก็ดันมาติดอยู่ในลิฟต์กับคนแปลกหน้า” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางที่คล้ายจะเห็นใจ

“ใช่...ลิฟต์ค้างแบบนี้ฉันก็เข้างานสายพอดี...ลิฟต์ค้าง! ...” ดารินทร์เอ่ยขึ้นด้วยแววตาเป็นประกายวาบขึ้นมา

ชายหนุ่มมองใบหน้าระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ของเธออย่างแปลกใจที่อารมณ์ของเธอเปลี่ยนเร็วเช่นนี้

“การมาสายเป็นเรื่องปกติของคนทำงานนะคุณ แล้วยิ่งมีเหตุสุดวิสัยอย่างเรา ฉันไม่ได้ตั้งใจสายนะแต่เทคโนโลยีมันไม่เอื้อเอง” หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวานประจำตัว โดยไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มนี้จะทำให้หัวใจของเพื่อนร่วมทางเต้นด้วยจังหวะแปลกๆ

เมื่อคลายกังวลเรื่องมาสายได้แล้วเธอก็บรรจงกินแซนวิชที่เหลือน้อยนิดในมือจนหมด สายตาก็เหลือบไปที่แก้วกาแฟสดในมือของชายหนุ่ม

“แค่กๆ” ร่างบางทำเป็นไอคล้ายอาหารติดคอ ตาก็แอบเหลือบไปที่แก้วกาแฟซึ่งมีฝาปิดสนิทในมือของชายหนุ่ม

เจ้าของกาแฟมองตามสายตาของเธอแล้วเผยยิ้มออกมา

“ถ้าไม่รังเกียจดื่มกาแฟสักหน่อยดีไหมครับ” ชายหนุ่มยื่นถุงใส่แก้วกาแฟไปให้

“โอ๊ย...ไม่รังเกียจเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” ดารินทร์รับมาแล้วใช้หลอดเจาะรูตรงฝาปิด จากนั้นก็ดูดกาแฟไปหลายอึก

“ไว้ฉันจะซื้อมาคืนคุณนะคะ ว่าแต่คุณชื่ออะไรและทำงานแผนกไหนเหรอ อยู่ชั้นเดียวกันทำไมไม่เคยเห็นหน้าเลย”ร่างบางยิ้มแป้น

“ผมชื่อพีรวิชญ์ครับ อยู่ฝ่ายการตลาด พึ่งมารับตำแหน่งใหม่ที่นี่วันนี้”

“ฉันชื่อดารินทร์ เรียกดาวก็ได้คะ ฉันอยู่ฝ่ายสื่อสารองค์กร มาทำงานที่นี่ได้เดือนกว่าแล้ว คุณมาวันแรกก็สายซะแล้ว ไม่เป็นไร...เดี๋ยวฉันจะเป็นพยานให้คุณเองว่าคุณไปแสกนลายนิ้วมือช้าเพราะเราติดอยู่ในลิฟต์ ส่วนคุณก็ต้องไปเป็นพยานให้ฉันด้วยนะ"

"เอ่อ...ที่จริงแล้ว..." ไม่ทันที่พีรวิชญ์จะเอ่ยจบ ลิฟต์ก็กระตุกเล็กน้อยก่อนเปิดออกมาท่ามกลางพนักงานหลายคนที่ยืนลุ้นกันอยู่หน้าประตู

"เย้..." เสียงร้องดีใจและเสียงปรบมือของผู้คนหน้าลิฟต์ดังขึ้นพร้อมประตูลิฟต์ที่เปิดออก

"ขอบคุณมากนะคะทุกคน" ดารินทร์เอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้างพร้อมทั้งโค้งขอบคุณทุกคน ก่อนจะกดลิฟต์ไปที่ชั้น 20 อีกครั้งแล้วกดปุ่มปิดประตูลงทันทีใช้เวลาไม่นานลิฟต์เจ้าปัญหาก็มาส่งพวกเขาจนถึงที่หมายสักที

"ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ" ดารินทร์ยิ้มกว้าง

"ยินดีที่ได้รู้จักครับ" พีรวิญช์ยิ้มบางรู้สึกคล้ายหัวใจพองโตขึ้นทุกขณะ

ดารินทร์ยิ้มกว้างก่อนจะเดินไปแสกนลายนิ้วมือที่เครื่องบันทึกเวลาเข้างานตรงหน้าประตูกระจกใสบานใหญ่ก่อนจะดันประตูเข้าไปแล้วตรงดิ่งไปที่ห้องกระจกใสของแผนกสื่อสารองค์กรอย่างรวดเร็ว

 

บ่ายวันนั้น

"เมื่อเช้าเธอติดอยู่ในลิฟต์จริงๆ เหรอดาว"รมณีเพื่อนร่วมแผนกของเธอเอ่ยถามขึ้น

"โอ้โห...ขนาดเธอยังไม่เชื่อฉันเหรอ  เมื่อเช้าฉันแจ้งฝ่ายบุคคลไปแล้วว่าวันนี้มาสายเพราะลิฟต์ค้าง ตอนแรกนางก็ทำท่าว่าจะไม่เชื่อนะ แต่พอฉันบอกว่ามีพยานยืนยันได้ ชื่อพีรวิชญ์อยู่ฝ่ายการตลาด พูดไปแค่นี้นางก็ไม่ถามอะไรอีก ดีนะที่มีพยานไม่งั้นมีสิทธิไม่ผ่านโปรแน่"

"แหม...ก็เล่นไปบอกว่าคุณพีเป็นพยาน นางจะกล้าพูดอะไรได้ล่ะ" รมณีหัวเราะร่วน

"เธอรู้จักคุณพีรวิชญ์ด้วยเหรอ เขาพึ่งมาทำงานที่นี่วันแรกเองนะ กว้างขวางเหมือนกันนะเรา"

"เขามาทำงานให้กับส่วนเครื่องมือสื่อสารของเราวันแรกก็จริง แต่ก่อนหน้านี้เขาอยู่ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าเครือเดียวกับเรานี่แหละ"

"อืม...แต่แปลกนะ ฉันมองข้างนอกก็ไม่ยักเห็นเขาเลย ฉันซื้อกาแฟมาคืนเขาด้วย" ดารินทร์ชี้ไปที่แก้วกาแฟที่เธอกินเองไปเกือบหมดก่อนจะมองผ่านประตูกระจกใสของแผนกไปยังด้านนอกที่มีฝ่ายการตลาดนั่งทำงานกันหนาตา

"ถ้าอยากเอาไปให้ นู่นแหนะ"รมณีชี้มือไปที่ห้องกระจกใสที่มีม่านปิดไว้ฝั่งตรงข้าม ทำให้ดารินร์มองตามไปอย่างสงสัย

"ผู้จัดการฝ่ายการตลาด!" ดารินทร์อ่านป้ายหน้าห้องด้วยเสียงแตกตื่น

"วันนี้เป็นวันซวยของฉันจริงๆ แหละ"ดารินทร์พยายามนั่งทำใจกับเรื่องไม่คาดฝันที่เธอต้องเจอติดๆ กันในวันนี้ เรื่องอื่นผ่านมาก็ผ่านไป แต่เรื่องที่เธอคุยเล่นหัวแถมเอากาแฟผู้จัดการมากินหน้าตาเฉยนี่สิที่ทำให้ต้องกุมขมับอย่างกลัดกลุ้ม

 

หลังจากวันนั้นดารินทร์ก็มาทำงานคาบเส้นแดงแทบทุกวัน และทุกวันเธอก็จะเห็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดโดยสารด้วยลิฟต์ตัวเดียวกับเธอพร้อมแก้วกาแฟสดในมือ แรกๆ เธอเหลือบเห็นเขาแต่พยายามไม่สบตาและแกล้งทำเป็นไม่เห็น แต่เหมือนเขาจะรู้จึงได้แต่ยิ้มและไม่พูดอะไร หลายวันเข้าความรู้สึกเกร็งจึงเบาบางลงเพราะดูเหมือนพีรวิชญ์จะไม่ได้ใส่ใจกับความไม่มีกาลเทศะของเธอในวันนั้นเลย พักหลังเธอจึงเป็นฝ่ายยิ้มทักทายเขา และหลายครั้งที่ลิฟต์โดยสารพาเขาและเธอมาถึงชั้น 20 พร้อมกันตามลำพัง ด้วยความที่เจอกันแทบทุกวันทำให้ดารินทร์ทนอึดอัดไม่ไหว ในที่สุดเธอก็เป็นฝ่ายชวนผู้จัดการคุยเสียเองด้วยเรื่องสัพเพเหระของเธอ บางครั้งเธอก็หลุดเป็นตัวเองมากไปจึงเหมือนเธอคุยกับเพื่อนที่สนิทมานาน และมักจะรู้ว่าตนเองลืมตัวก็เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้น 20 ทุกทีเวลาไม่ถึงสองนาทีในลิฟต์ช่วยสร้างมิตรภาพดีๆ ระหว่างเขาและเธอขึ้นทุกวัน

 

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *

 

 “แปลก” ดารินทร์เอ่ยขึ้นขณะรับประทานอาหารกลางวันกับรมณี

“อะไรที่ว่าแปลก” รมณีเอ่ยพลางใช้ตะเกียบคีบก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กขึ้นมาก่อนจะเป่าให้คลายร้อนหลายที

“ก็คุณพีนะสิ เธอบอกว่าเขาได้รับรางวัลพนักงานดีเด่นใช่ไหม แต่เขามาทำงานพร้อมฉันแทบทุกวันเลยนะ อยากรู้จังว่าบริษัทนี้ประเมินคุณสมบัติพนักงานยังไง” ดารินทร์ใช้ตะเกียบคีบลูกชิ้นหมูเข้าปากก่อนจะเคี้ยวหมุบหมับอย่างเอร็ดอร่อย

“ฮะๆ ...เขามาทำงานพร้อมดาวซะที่ไหน คุณพีมาทำงานคนแรกของออฟฟิศประจำ เลิกงานก็หลังคนอื่น เชื่อไหมตอนนี้คงพึ่งลงมากินข้าวเที่ยง”

            “สงสัยจะลงไปซื้อกาแฟ” ดารินทร์สันนิษฐานเพราะทุกวันเธอจะเห็นเขาหิ้วถุงใส่แก้วกาแฟมาด้วย และพักหลังๆ จะมีกาแฟอีกแก้วไว้ให้เธอ คงกลัวเธอจะแย่งกาแฟไปกินเหมือนที่ทำบ่อยๆ ก็ได้ หญิงสาวนึกถึงช่วงเวลามาสายหลายครั้งที่เธอต้องเสียมารยาทยัดแซนวิสใส่ปากภายในลิฟต์ และมักจะฝืดคอจนต้องพึ่งกาแฟของพีรวิชญ์เป็นประจำ

            “นี่แหละแปลกของจริง ใครๆ ก็รู้ว่าคุณพีหวงเวลางานขนาดไหน อย่าว่าแต่แว่บไปซื้อกาแฟกินตอนเช้าเลย ขนาดข้าวเที่ยงบางทียังไม่มีเวลาลงมากินต้องให้แม่บ้านซื้อมาให้ แต่กลับลงไปซื้อกาแฟทุกเช้าแบบนี้...หรือว่า...” รมณีหยุดคิดชั่วครู่

            ดารินทร์มองท่าทีครุ่นคิดของเพื่อนด้วยหัวใจเต้นตึ๊กตั๊ก รู้สึกตะหงิดๆ ว่าเรื่องนี้มันต้องเกี่ยวข้องกับเธอแน่นอน

            “เขาคงติดใจแม่ค้าขายกาแฟแน่ๆ ไม่งั้นจะลงไปซื้อเองเหรอ” รมณีเอ่ยข้อสันนิฐานของตัวเองอย่างขบขัน ปล่อยให้ดารินทร์คิดเพ้อเก้อไปคนเดียว

           

            หกเดือนผ่านไป

            หน้าจอคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คยังคงเปิดใช้งานจนเลยเที่ยงคืนมาสักพักแล้ว พีรวิชญ์ลุกขึ้นบิดไปมาอย่างเมื่อยล้าหลายวันมานี้เขาเปิดประชุมทีมการตลาดเพื่อวิเคราะห์คู่แข่งและคิดหากลยุทธ์เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดให้ได้ก่อนที่จะมีสินค้ารุ่นใหม่เข้ามาสิ้นปีนี้

            ชายหนุ่มใช้นิ้วกดขมับตัวเองหลายทีรู้สึกมึนศีรษะและเบ้าตาเพราะมันผ่านการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์และเอกสารกองพะเนินที่เขาขนกลับมาทำต่อที่บ้านตั้งแต่หัวค่ำ

            “เสร็จไปอีกงาน”

พีรวิชญ์ปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะปิดไฟในห้องแล้วพาตัวเองไปพักผ่อนบนเตียงนอนนุ่มภายในคอนโดมิเนียมใกล้ๆ กับที่ทำงานซึ่งเขาผ่อนมาได้หลายปีแล้วเขารู้สึกอ่อนล้าไปหมดอาจเพราะตำแหน่งงานที่สูงขึ้นทำให้ภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบสูงขึ้นตามไปด้วย

ชายหนุ่มนอนนึกถึงการประชุมในวันนี้ที่เขาและทีมการตลาดต้องเร่งสรุปแผนงานเพื่อนำเสนอกับประธานบริษัทให้เร็วที่สุด เพราะสินค้าประเภทเทคโนโลยีสื่อสารเช่นนี้มีระยะเวลาสั้นกว่าสินค้าประเภทอื่น ดูได้จากรุ่นของโทรศัพท์มือถือที่มักจะออกมาหลายรุ่นในหนึ่งปี หากเขามัวชักช้านอกจากจะสร้างยอดขายให้สินค้าไม่ได้แล้วเขายังอาจสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่งที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นทุกวัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีประชุมกับหน่วยงานต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งฝ่ายพัฒนาสินค้า ฝ่ายขาย ไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายสื่อสารองค์กรที่ต้องช่วยกันสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์สินค้าและผลิตภัณฑ์

พีรวิชญ์ยอมรับว่าเขาอยากประชุมกับแผนกสื่อสารองค์กรให้บ่อยขึ้นเพราะนอกจากจะได้งานแล้วเขายังได้พบกับหญิงสาวที่มาอยู่ในหัวใจของเขาอีกด้วย แคมเปญล่าสุดนี้เขาคิดมันออกตอนไปประชุมกับฝ่ายนี้ โดยจะเสริมสร้างภาพลักษณ์พร้อมๆ กับการกระตุ้นยอดขาย ซึ่งทุกฝ่ายเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างไร้ข้อขัดแย้ง เพราะทุกวันนี้จะมัวแต่สร้างกำไรอย่างเดียวคงไม่ได้ แต่ควรคืนกำไรให้สังคมด้วย โครงการ “คืนต้นไม้ให้ป่าชายเลน” จึงเกิดขึ้น โดยชูแคมเปญซื้ออุปกรณ์สื่อสารทุกรุ่น รายได้ส่วนหนึ่งจะนำไปซื้อกล้าไม้เพื่อปลูกป่าชายเลนในพื้นที่หลายจังหวัดของไทย ชายหนุ่มอมยิ้มให้กับความคิดของตนเองก่อนจะพล่อยหลับไปอย่างง่ายดาย

 

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *

 

 

ณ จังหวัดกระบี่

“ตกลงคุณพีชอบดาวแน่เหรอ” รมณี เอ่ยอย่างสงสัยมากขึ้นทุกวัน

ร่างเล็กบางยื่นแฟ้มรายชื่อสื่อมวลชนที่จะมาทำข่าวในกิจกรรมปลูกป่าชายเลนที่จังหวัดกระบี่ให้กับเพื่อนก่อนจะหันไปชงกาแฟดื่มเพราะตอนนี้เจ็ดโมงเช้าแล้ว แต่เมื่อคืนหลังจากที่เตรียมงานเรียบร้อยแล้ว เธอและเพื่อนพนักงานในบริษัทเห่อทะเลที่จังหวัดกระบี่มากเกินไปจึงไปเดินเล่นกันริมหาดจนดึกดื่น เมื่อต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อเตรียมงานต่อจึงอยู่ในโหมดกึ่งหลับกึ่งตื่นอย่างที่เป็นอยู่

“ฉันจะขอบใจมากถ้าเธอเลิกถามเรื่องนี้สักที” ดารินทร์รับแฟ้มมาเปิดดูโดยไม่หันไปมองหน้าเพื่อน

“แหม...ก็คนมันอยากรู้นี่ ตั้งแต่คุณพีออกตัวแรงในงานเลี้ยงปีใหม่ คนทั้งบริษัทก็ลุ้นพวกเธอสุดตัวเลยนะ ไอ้เราก็คิดว่าคุณพีไปแอบหลงรักแม่ค้าร้านกาแฟที่ไหนได้...จุดไต้ตำตอแท้ๆ เชียวใครจะไปรู้ว่าคุณพีจะลงไปดักรอดาวทุกวันแบบนั้น ไม่ยักรู้ว่าสุภาพบุรุษมาดนิ่งจะโรแมนติกขนาดนี้” รมณีเอ่ยอย่างประทับใจ

ดารินทร์จำเรื่องวันนั้นได้ดี เธอและรมณีต้องเป็นพิธีกรบนเวทีในงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่บริษัทจัดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน ช่วงที่มีการแสดงบนเวทีเธอเดินไปหลังเวทีเพื่ออ่านสคริปในมือ ส่วนอีกมือก็คว้าแก้วน้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบเตรียมจะดื่มขณะนั้นเองพีรวิชญ์หยิบแก้วน้ำอัดลมออกจากมือเธอ แล้วยื่นแก้วใส่น้ำอุ่นมาให้พร้อมรอยยิ้มแสนหวานและอบอุ่นอยู่ในที

ต้องพูดบนเวทีนานๆ ดื่มน้ำอุ่นดีกว่านะครับคุณดาว

คุณพี!’

ดารินทร์หน้าเหว่อเล็กน้อย ก่อนจะเห็นท่าทีเลิ่กลั่กที่เจือความขวยเขินขัดกับบุคลิกเคร่งขรึมเอาการเอางานของเขาลิบลับ

เป็นห่วงนะครับ ชายหนุ่มเอ่ยจบก็เดินจากไปหน้าตาเฉย พร้อมกันเสียงฮือฮาด้านหน้าเวที

ดาว! …ลืมปิดไมค์!’ รมณีวิ่งเข้ามาหลังเวทีด้วยท่าทีตื่นเต้น

เหตุการณ์นี้ทำให้คนทั้งบริษัทโจษจันจนถึงวันนี้แต่หลังจากวันนั้นดูเหมือนความอ่อนหวานของพีรวิชญ์จะถูกสตาร์ฟไว้ด้วยบุคลิกจริงจังเช่นเคยบวกกับการงานที่เขาพยายามทำให้บีบรัดตัวเองอยู่ทุกวันจนเธอชักไม่แน่ใจว่าคำพูดและการกระทำของเขานั้นมันคือการเริ่มต้นเส้นทางแห่งความรักหรือไม่

ดารินทร์นึกถึงเดทแรกของเธอที่ดูจะพิลึกพิลั่นเพราะดูเหมือนเธอจะเป็นฝ่ายกระตือรือร้นอยู่คนเดียว แต่อีกฝ่ายกลับติดงานด่วนทั้งที่ตนเองเป็นคนเอ่ยปากชวนเองแท้ๆ

'คุณพี งานยังไม่เสร็จเหรอคะ' ดารินทร์คุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

เธอเริ่มหงุดหงิดตั้งแต่เขาโทรศัพท์มาบอกว่าให้กินข้าวที่ร้านก่อนเลย เขาจะตามมาทีหลัง แต่นี่เลยเวลานัดมาร่วมสองชั่วโมงก็ไม่เห็นวี่แววว่าเขาจะมาสักที เธอจึงตัดสินใจโทรตามทั้งที่เคยปฏิญาณกับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่เป็นผู้หญิงขี้หึง ขี้วีนขีเหวี่ยง และโทรจิก ดูท่าเธอจะเริ่มทำลายกฎเหล็กของตนเองทั้งที่พีรวิชญ์ยังไม่ขอเป็นแฟนด้วยซ้ำ

'ขอโทษนะครับ ผมเคลียร์งานช้าไปหน่อย ตอนนี้ผมอยู่ที่ชั้นจอดรถแล้ว'

'ค่ะ...ดาวรอที่หน้าโรงหนังแล้วนะคะ' ดารินทร์กดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

'สองชั่วโมงมันไม่หน่อยแล้วค่ะคุณพี'หญิงสาวเอ่ยกับโทรศัพท์ หากเป็นไปได้เธออยากจะตะโกนใส่หูให้เขาฟัง ติดที่เป็นเดทแรกจึงยังออมมือเอาไว้

 

หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ที่ดารินทร์อยากเรียกว่าคนรักก็เริ่มพัฒนาขึ้นแบบกระท่อนกระแท่น แต่ก่อนเมื่อเลิกงานเธอมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำสิ่งต่างๆ ที่ตนเองอยากทำ แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถดึงเวลาที่พีรวิชญ์ยื้อยุดเอาไว้ให้หน้าที่การงานของเขาได้สำเร็จสักที จนทำให้เวลาของเธอสูญเสียไปกับการรอคอยเมื่อเขามาสาย หรือการผิดนัดเมื่อมีงานด่วนเข้ามาขัดจังหวะ นานวันเข้าดารินทร์เริ่มรู้สึกว่าตนเองเพ้อพกไปคนเดียว เพราะมีเพียงเธอที่อยากอยู่ใกล้เขา อยากใช้เวลาทุกวินาทีกับเขา เธออยากรู้เหลือเกินว่าจะมีสักนาทีไหมที่เขาจะคิดเช่นเดียวกับเธอ

ดารินทร์คิดว่าเธอจะทนเขาได้อีกนานแค่ไหน เธอต้องทนกับผู้ชายที่ใช้เวลาเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ไปกับงาน และมีเวลาให้คนที่ตนเองทำท่าว่าหลงรักไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของชีวิต ส่วนเปอร์เซ็นต์ที่เหลือไม่รู้ว่าจะมีให้กับคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงสักเท่าไร

"บางทีคงถึงเวลาแล้วล่ะ" ดารินทร์เอ่ยกับตัวเองอย่างมาดมั่น

 

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *

 

            เช้าตรู่ในวันทำงาน พีรวิชญ์เดินออกมาจากลิฟท์ของอาคารสูงใจกลางกรุงอย่างรีบร้อนราวกับเขามาสายจนต้องรีบไปแสกนลายนิ้วมือเข้างานให้ทันเวลาชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก็ยิ่งเร่งฝีเท้า เพราะเข็มสั้นชี้ไปที่เลขเจ็ดแล้ว เขารีบหอบแฟ้มเอกสาร สะพายกระเป๋าสีดำที่มีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คสุดรักอยู่ภายใน ขายาวๆ ตรงไปที่เครื่องบันทึกเวลาเข้าออกงาน ก่อนจะใช้นิ้วโป้งแสกนเข้างานอย่างรวดเร็ว แล้วเร่งฝีเท้าเข้าไปที่ห้องกระจกใสที่มีผ้าม่านเหลืองอ่อนปิดเอาไว้ ป้ายบนประตูติดตัวอักษรขนาดไม่ใหญ่นักว่า 'ผู้จัดการแผนกการตลาด'

รอบข้างไร้วี่แววของพนักงานคนอื่น มีเพียงโต๊ะทำงานที่กั้นเป็นส่วนตัวของฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย ฝ่ายจัดซื้อ และฝ่ายประสานงาน ส่วนห้องกระจกที่ไล่เรียงกันไปนั้นเป็นของแผนกการเงิน บัญชี และประชาสัมพันธ์ โดยทั้งชั้นจะดูแลสินค้าประเภทเครื่องมือสื่อสารยี่ห้อดัง

เมื่อชายหนุ่มจัดแจงวางข้าวของเป็นที่เป็นทางแล้วก็ลงมือเปิดงานในคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คและเอกสารดูอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะไปนำเสนอให้กับคุณทวนธง ประธานบริษัทเครื่องมือสื่อสารชื่อดังของไทยในเวลาสิบนาฬิกา เขาทำงานนำเสนอนี้มาหลายวันแล้ว และคิดว่าหากงานนี้สำเร็จจะทำให้เขามีผลงานชิ้นโบว์แดงอีกชิ้น หลังจากที่เขาพึ่งได้รางวัลพนักงานดีเด่นติดต่อกันมาหลายปี เขาเก็บสะสมความสำเร็จราวกับการสะสมแต้ม อันที่จริงเขาไม่ได้ต้องการรางวัลชูเกียรตินัก แต่สิ่งที่เขาต้องการคือผลหลังจากนั้นเพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยส่งเสริมตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม จากพนักงานการตลาดที่ไร้ประสบการณ์ไต่เต้าด้วยน้ำพักน้ำแรงมาหลายปีจนสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ และตอนนี้เขาได้รับความไว้วางใจจากท่านประธานให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการแผนกการตลาดสินค้าเครื่องมือสื่อสารทั้งโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต อุปกรณ์เสริมต่างๆ

เขาทำงานอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อความก้าวหน้าในชีวิต ยิ่งตอนนี้เขาพบกับหญิงสาวที่ทำให้หัวใจของเขามีความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาไม่รู้ว่าการรักใครสักคนต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวได้ แต่สำหรับเขานั้น เขาต้องการให้ชีวิตมั่นคงมากพอที่จะดูแลอีกหนึ่งชีวิตและสิ่งที่ทำให้ชีวิตเขามั่นคงได้ก็มีเพียงงานเท่านั้น เขาฝันถึงงานแต่งงานของเขาและดารินทร์ ฝันเห็นครอบครัวที่มีความสุขและใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย

"ก๊อกๆ" เสียงเคาะประตูดังเบาๆ

"เชิญครับ" พีรวิญช์คิดว่าแม่บ้านคงเข้ามาทำความสะอาดห้องทำงานเช่นเคยจึงก้มหน้าก้มตาตรวจทานงานต่อไป

ประตูกระจกค่อยๆ เปิดขึ้นก่อนจะมีเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง

"สวัสดีครับน้านงค์ รู้ได้ยังไงว่าผมมาแล้ว วันนี้ผมมาเช้ากว่าเดิมนิดหน่อย" พีรวิญช์เอ่ยทักทายในขณะที่ก้มหน้าก้มตามองเอกสารอย่างใจจดใจจ่อ

"กาแฟของคุณพีได้แล้วค่ะ"

พีรวิญช์สะดุดหูกับเสียงหวานชวนฟังที่แสนคุ้นเคยจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมเอ่ยอย่างประหลาดใจ

            “อ้าว...คุณดาว!

            “ดื่มสิคะ เพราะมันคงเป็นแก้วสุดท้ายแล้ว” ดารินทร์วางแก้วกาแฟสดเจ้าประจำให้กับเขา

            “แก้วสุดท้าย” พีรวิชญ์ทวนคำอย่างงุนงง

            “ค่ะ...แก้วสุดท้าย...ฉันรู้ว่าคุณรักงานมากกว่าฉัน เราสองคนคงไปด้วยกันไม่ได้ ลาก่อนนะคะ” ดารินทร์เอ่ยจบก็เดินออกจากห้องไปด้วยท่าทีเรียบเฉย ทิ้งให้พีรวิชญ์นั่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก รู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อประตูกระจกถูกปิดจนสนิทแล้ว

            “ไม่นะ!

            ชายหนุ่มลุกพรวดจากเก้าอี้ก่อนจะวิ่งตามร่างอรชรของดารินทร์ไป

“คุณดาว...อย่าพึ่งไป!” ชายหนุ่มร้องตะโกนสุดเสียง ช่วงนี้มีคนเริ่มเข้ามาทำงานที่อาคารบ้างแล้วต่างตกอกตกใจกับเสียงตะโกนและท่าทีกระวนกระวายของพีรวิชญ์

            พีรวิชญ์พาตัวเองวิ่งตามหาคนรักอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เขาวิ่งขึ้นลงบันไดเพื่อตามหาเธอแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ชายหนุ่มวิ่งไปจนถึงชั้นดาดฟ้าของอาคาร รอบกายเขาไม่มีแม้แต่เงาของดารินทร์ มีเพียงตึกสูงตะหง่านมากมายรายล้อมกายเขาอยู่

 

            เขาถูกทิ้ง!...

 

            ชายหนุ่มล้วงกระเป๋ากางเกงของตนเองหวังจะหยิบกล่องแหวนที่เขาบรรจงเลือกเพื่อจะขอเธอแต่งงานในอีกไม่กี่วันนี้ แต่เมื่อล้วงออกมาแล้วกลับเป็นกระดาษโน้ตมากมายเต็มกระเป๋า บนกระดาษมีทั้งข้อความนัดหมาย เบอร์โทรศัพท์ลูกค้า ภาระงานที่เขาต้องทำในแต่ละวัน และอื่นๆ อีกมากมาย เขาพยายามล้วงหากล่องแหวนในกระเป๋ากางเกงอีกข้างก็มีแต่กระดาษโน๊ตแบบเทปกาวบรรจุข้อความเกี่ยวกับงานสำคัญติดเต็มมือไปหมด ชายหนุ่มพยายามสะบัดกระดาษเล็กๆ พวกนี้ทิ้ง แต่มันกลับลอยปลิวมาติดทั่วตัวของเขา ไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าที่ตอนนี้เริ่มมองอะไรไม่เห็นแล้ว

            “ไม่!

            เสียงร้องตะโกนสุดเสียงดังขึ้นมาพร้อมโทรศัพท์ที่เปล่งเสียงปลุกเจ้านายให้ตื่นไปทำงานเช่นทุกวัน

            พีรวิชญ์นอนลืมตาโพล่งบนเตียงนอนสีขาวหนานุ่ม เสียงหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยดังประสานกับเสียงเตือนบอกเวลาของโทรศัพท์จากบริษัท เมื่อตั้งสติได้ว่าเขาพึ่งตื่นจากความฝันใจที่ชุ่มเหงื่อของเขาก็บรรเทาลง มือใหญ่คว้าโทรศัพท์คู่ใจมากดปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ก็เห็นเลขเจ็ดผ่านไปไม่ถึงสองนาที เขาเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตอนนี้เขาอยู่ในห้องพักของโรงแรม และเขาต้องอาบน้ำแต่งตัวไปร่วมกิจกรรมของบริษัทที่จะมีขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมง

            แม้เมื่อครู่จะเป็นเพียงความฝัน แต่มันกลับทำให้เขาใจหายอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับเขากำลังจะสูญเสียเธอไปแล้วจริงๆ ตลอดเวลาเขาคิดว่าเธอจะเข้าใจว่าเขาทำทุกวันนี้เพื่อใคร แต่ความฝันที่ดูเหมือนจริงนี้กลับทำให้เขาชักลังเลว่าเธอเข้าใจเขาจริงๆ หรือไม่ชายหนุ่มนึกถึงบทเพลงเพลงหนึ่งที่ตรงกับชีวิตเขามากที่สุด เขาคิดจะมอบเพลงนี้ให้กับเธอเพื่อแทนคำพูดมากมายที่เขาอยากบอกให้เธอรับรู้ และหวังเหลือเกินว่าเธอจะเข้าใจเขามากขึ้น

            พีรวิชญ์ออกมาจากห้องพักของโรงแรม เขาเห็นพนักงานชายหญิงสวมเสื้อยืดสีเขียวอ่อน กางเกงลำลองเช่นเดียวกับเขาเริ่มทยอยขึ้นรถบัสเพื่อไปที่ป่าชายเลนบ้างแล้ว เขามองหาดารินทร์แต่ไม่พบจึงคิดว่าเธอน่าจะไปถึงหน้างานแล้ว เมื่อไปถึงพื้นที่ป่าชายเลนมีพนักงานชายหญิงหลายคนกำลังขนต้นโกงกางและต้นแสมเล็กๆ มาวางเป็นกลุ่มๆ เตรียมปลูกลงดินโคลน บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยต้นโกงกางและต้นแสมขนาดไม่สูงมากนักปลูกไว้บ้างแล้ว มีบริเวณโล่งๆ บางส่วนที่เขาคาดว่าน่าจะเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมในวันนี้ ชายหนุ่มสอดส่ายสายตามองหาดารินทร์จนพบว่าเธอนั่งอยู่ใกล้ๆ คุณทวนธง ประธานบริษัทซึ่งกำลังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับกิจกรรมในวันนี้

            “ปัจจุบันมีการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนมากขึ้น เมื่อธรรมชาติถูกทำลายก็จะส่งผลถึงความเป็นอยู่ของมนุษย์ด้วยกิจกรรมปลูกป่าในวันนี้เราจึงร่วมกันปลูกต้นโกงกาง และต้นแสมเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติป่าชายเลนซึ่งเป็นห่วงโซ่ระบบนิเวศทางทะเลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์” ทวนธง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

            ส่วนดารินทร์ก็ถ่ายภาพการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้เพื่อนำไปทำวารสารภายในองค์กรและทำข่าวประชาสัมพันธ์เผยแพร่ยังสื่อต่างๆใช้เวลาไม่นานดารินทร์ก็พานักข่าวไปเตรียมลุยปลูกป่าพร้อมกับคุณทวนธง หญิงสาวเห็นพีรวิชญ์กำลังง่วนอยู่กับมือถือ เธอถอนใจเบาๆ เพราะคิดว่าเขาคงทำอะไรเกี่ยวกับงานของเขาอยู่แน่ๆ

            เสียงโทรศัพท์ว่ามีอีเมล์เข้าดังขึ้นสั้นๆ ดารินทร์หยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตนเองขึ้นมาดูก็เห็นว่าผู้ส่งคือพีรวิชญ์ เธอหันขวับไปมองเขาก็พบว่าเขายืนล้วงกางเกงยิ้มแป้นให้กับเธอ ก่อนจะพูดไร้เสียงว่าให้เปิดดู หญิงสาวจึงกดเปิดดูก็พบเนื้อเพลงและไฟล์เพลงแนบติดมาในเมล์

           

                เพลง ภารกิจติดงาน

บางวัน ก็รถมันติด บางทีมันเป็นภารกิจ ชีวิตอุทิศให้งาน

บางวัน โทรหาเธอไม่ติด ก็พอดีมันมีภารกิจ

วันๆ ก็ติดที่ทำงาน

 

งานคือเงิน และเงินนั้นก็คืองาน

ครอบครัวสำราญ รากฐานมั่นคง

ใจที่ซื่อตรงรักเธอตลอดกาล รักเธอ รักเธอ Love you ตลอดกาล

ไม่ได้ไปไหนก็อยู่ที่ทำงาน รักเธอ รักเธอ Love you ตลอดกาล

 

            ดารินทร์อ่านข้อความนั้นจนจบก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วเดินไปสมทบกับสื่อมวลชนต่อไป พีรวิชญ์ที่รอลุ้นปฏิกิริยาของเธอก็ใจแป๊วขึ้นมาทันที เพราะเธอดูไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เขาอยากบอกให้เธอรู้เลย ชายหนุ่มไม่รอช้า เขารีบจ้ำอ้าวไปยังพื้นที่ปลูกป่า เขาพยายามเดินบนดินโคลนไปใกล้ๆ ดารินทร์ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของเพื่อนพนักงานทั้งบริษัทที่ลุ้นพวกเขาสุดตัว ดูเหมือนรมณีจะรู้งานจึงลากดารินทร์ออกมาจากสื่อมวลชนแล้วตัวเองก็ไปทำหน้าที่แทน พีรวิชญ์เดินมาใกล้ดารินทร์พร้อมๆ กับที่หญิงสาวรู้ตัวแล้วว่าตนเองถูกแยกออกมาให้อยู่ใกล้ชิดกับเขา

            "อ่านข้อความรึยังครับ" พีรวิชญ์เอ่ยถาม

            "อ่านแล้วค่ะ" ดารินทร์ตอบสั้นๆ ก่อนจะหันเหความสนใจไปที่ต้นแสมที่เธอกำลังจะปลูกลงดินโคลน

            "มันคือสิ่งที่ผมอยากบอกคุณดาว" ชายหนุ่มช่วยปลูกต้นไม้อย่างขัดเขิน

            "คุณพีต้องการจะสื่อแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหมคะ" ดารินทร์เอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ข้อความของเขาทำให้เธอมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขามีใจให้เธอ และดูเหมือนจะจริงจังถึงขั้นแต่งงาน น่าแปลกที่เธอกลับไม่รู้สีกยินดีอย่างที่ควรจะเป็นเลย

            "ครับ"

            “ดาวควรดีใจใช่ไหมค่ะที่คุณพีคิดแบบนี้”

            “ผมแค่อยากให้คุณดาวเข้าใจในตัวผม” พีรวิชญ์พยายามสบตาเรียวสวยที่เหมือนจะไม่ยอมสบตาเขาง่ายๆ

            ดารินทร์ยิ้มบางก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ตนคิดออกมา

            "เวลาของคนเรามียี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากัน แต่ทำไมดาวถึงรู้สึกว่าเวลาของเราถึงไม่เท่ากันเลย" คำพูดของดารินทร์ทำให้พีรวิชญ์นึกถึงความฝันที่โหดร้ายของตนเองขึ้นมา ยิ่งทำให้ใจคอของเขาหวั่นวิตกขึ้นทุกที

            "ตลอดเวลาที่ผ่านมาดาวพยายามเข้าใจคุณ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เข้าใจ ดาวรู้ว่างานสำคัญสำหรับคุณมาก... แล้วดาวล่ะค่ะ สำคัญกับคุณบ้างรึเปล่า บางทีคำว่าความมั่นคงของเราอาจไม่ตรงกันก็ได้ ถ้าความมั่นคงในชีวิตต้องแลกด้วยเวลาที่คุณไม่คิดจะจัดการให้พอดี มันจะมั่นคงได้จริงๆ เหรอคะ " ดารินทร์หันไปสบตากับพีรวิชญ์ด้วยสายตาที่ยากจะอ่านได้ ร่างบางส่งต้นแสมให้กับเขาก่อนจะเดินไปสมทบกับรมณีโดยไม่หันกลับมามองชายหนุ่มที่ยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออกอยู่ที่เดิม

            นับเป็นครั้งแรกที่พีรวิชญ์คิดว่าปัญหาตรงหน้าช่างยากเย็นเหลือเกิน เขาเป็นนักการตลาดมือทองที่หาตัวจับยาก แต่เขากลับบริหารจัดการเรื่องของตัวเองไม่ได้ ชายหนุ่มยืนมองร่างบางช่วยสื่อมวลชนปลูกป่าอย่างกระตือรือร้น รอยยิ้มสดใสของเธอทำให้เขารู้สึกใจหาย หากว่ารอยยิ้มนั้นจะไม่มีให้เขาอีกแล้ว เขาเดินอ้อยอิ่งกลับไปยืนมองดารินทร์อยู่ไกลๆ

 

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *

 

            ทวนธงทำกิจกรรมปลูกป่าชายเลนได้สักพักก็ได้เวลาไปพักผ่อนปล่อยให้พนักงานทั้งหลายสนุกสนานกับการปลูกป่าที่แทบทุกคนไม่เคยทำมาก่อนเลย เขาเดินขึ้นมาจากดินโคลนเพื่อไปล้างไม้ล้างมือก็เห็นพีรวิชญ์ยืนหน้าเครียดเหม่อมองไปยังบริเวณป่าชายเลน ก็พอรู้ว่าพีรวิชญ์กำลังมองไปที่ดารินทร์ก่อนหน้านี้เขาเห็นทั้งคู่พูดคุยอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และเมื่อเห็นสีหน้าของพีรวิชญ์ตอนนี้ก็พอเดาได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว

            "ความรักมันไม่ง่ายเลยใช่ไหม"

            เสียงทุ้มนุ่มของทวนธงประธานบริษัทหนุ่มทำให้พีรวิชญ์ออกมาจากความคิดวกวนของตนเอง เขาหันไปมองต้นเสียงด้วยรอยยิ้มบาง

            "ครับ...มันไม่ง่ายเลย" พีรวิชญ์ตอบเสียงอ่อน

            ทวนธงมองสีหน้าหม่นเศร้าของอีกฝ่ายอย่างเข้าใจ

            "แต่มันก็ไม่ยากนักหรอก ผมขอโทษด้วยที่เข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณ ผมเพียงแค่ไม่อยากให้คุณสูญเสียคนรักไป ผมเคยสูญเสียผู้หญิงที่ผมรักไปตลอดกาลโดยที่ไม่มีโอกาสได้ดูแลเธอเลยแต่คุณยังมีโอกาสที่จะดูแลความรักของคุณได้แล้วจะมัวรออยู่ทำไม"

            "ผมแค่รอให้ชีวิตมั่นคงกว่านี้ รอให้ผมมีพร้อมทุกอย่างเพียงพอที่จะดูแลเธอได้ มันผิดด้วยเหรอครับที่ผมมุ่งมั่นในหน้าที่การงาน แม้ตอนนี้ผมจะไม่มีเวลาให้เธอ แต่เมื่อผมพร้อมเราก็จะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ผมแค่อยากให้เธอเข้าใจในตัวผม" คำพูดของพีรวิชญ์ทำให้ทวนธงนึกเห็นใจไม่น้อย

            "คุณไม่ผิดหรอกที่มุ่งมั่นกับงาน ผมดีใจด้วยซ้ำที่มีพนักงานเก่งๆ อย่างคุณ บริษัทเราจำเป็นต้องมีคุณ และผมเชื่อว่าคุณดาวก็จำเป็นต้องมีคุณเช่นกันอย่ารอคอยให้ชีวิตมั่นคงเลยเพราะความมั่นคงมันไม่มีอยู่จริงหรอก โลกนี้อะไรๆ ก็ไม่แน่ไม่นอน ทำงานอย่างเป็นสุขและมีชีวิตอย่างมีความสุขไม่ดีกว่าเหรอ ชีวิตของเราไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อทำงานสะสมทรัพย์สินเท่านั้น แต่มันมีอะไรอีกมากมายเข้ามาเติมในชีวิต มีทุกข์ มีสุข ปะปนกันไป มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณมีทุกอย่างที่ต้องการ แต่กลับไม่มีคนอยู่รอบกายชื่นชมความสำเร็จของคุณเลย" ทวนธงระบายยิ้ม เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของพีรวิชญ์

            "ชีวิตคนเราต้องรู้จักสร้างความสมดุลย์ เหมือนการปลูกป่าชายเลนเพื่อสร้างความสมดุลย์ให้สิ่งแวดล้อม บริษัทอยากเห็นพนักงานมีชีวิตและครอบครัวที่สมดุลย์เรียกว่า work life balance เพราะนั่นคือความยั่งยืนอย่างแท้จริงขององค์กรในระยะยาว ผมไม่ได้มาพูดให้คุณเลือกงานหรือความรัก เพราะคุณไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง" ทวนธงตบบ่าของพีรวิชญ์เบาๆ ก่อนจะเดินออกไป

            พีรวิชญ์มองตามแผ่นหลังของประธานหนุ่มไปพร้อมคิดถึงคำพูดของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะเผยยิ้มออกมาได้ด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งกว่าเคย ชายหนุ่มเดินกลับไปที่ป่าชายเลนอีกครั้งโดยหอบต้นกล้าไม้โกงกางหลายต้น เขามุ่งตรงไปใกล้ๆ ดารินทร์ หญิงสาวหันมาเห็นชายหนุ่มยืนยิ้มกว้างก็แปลกใจ เธอยังรู้สึกไม่พอใจเขาอยู่มากจึงไม่ได้พูดอะไรกับเขา มีเพียงพีรวิชญ์ที่ยืนยิ้มกว้างพร้อมหอบกล้าไม้หลายต้นไว้กับตัวไม่ยอมวางลงสักที

            "ไม่หนักเหรอคะ" ในที่สุดดารินทร์ก็ยอมพูดด้วย

            "หนักครับ แต่พอเห็นหน้าคุณดาวผมก็หายเมื่อยแล้ว" พีรวิชญ์เอ่ยขึ้นมา ดารินทร์หน้าแดงด้วยความเขินอาย แต่ก็พยายามเก็กหน้าไม่ให้ยิ้มออกมามากนัก

            "ภาระงานของผมมันหนักมาก แต่ทุกครั้งที่ผมเห็นคุณหรือคิดถึงคุณ ก็เหมือนผมได้เติมพลังให้ตัวเองทุกวัน จนลืมไปว่าคนที่มอบพลังใจให้กับผมก็ต้องการคนดูแลเหมือนกัน" ชายหนุ่มวางกล้าไม้โกงกางลงบนพื้นทีละต้นจนเหลือหนึ่งต้นในมือ

            "ตอนนี้ผมวางมันลงแล้วครับ ต่อไปนี้ผมสัญญาว่าจะถือมันอย่างพอดี และจะดูแลความรักของเราให้พอดีเช่นกัน คุณดาวจะให้โอกาสผมสักครั้งได้ไหมครับ" พีรวิชญ์เอ่ยพร้อมกับจับมือดารินทร์เอาไว้

            ดารินทร์สบตาที่มุ่งมั่นและจริงใจของชายหนุ่มอย่างสุขใจ ความไม่พอใจที่เคยมีละลายหายไปในอากาศจนหมดสิ้น

            "ถ้ารู้ว่าได้ผลขนาดนี้ดาวน่าจะเหวี่ยงคุณไปตั้งนานแล้วนะคะ" ดารินทร์เอ่ยพร้อมร้อยยิ้มกว้าง

            "ฮะๆ ...ผมคงไม่ทำตัวให้คุณเหวี่ยงอีกแล้วล่ะครับ ใจหายบ่อยๆ คงเป็นโรคหัวใจเข้าสักวัน" พีรวิชญ์ยิ้มกว้าง รู้สึกหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขใจ

            ทั้งคู่ช่วยกันนำกล้าไม้โกงกางปลูกลงในดินเลนอย่างบรรจง ให้เหมือนกับความรักที่เขาตั้งใจว่าจะทนุถนอมให้เติบโตและเบ่งบานในหัวใจของเขาตลอดไป

 

* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *

 

(The end.)

 

 

เรื่องสั้นจบแล้ว แต่อย่าเพิ่งลุกจากที่นั่งอีกเช่นเคยค่ะ :)

เพลงเขาคือภารกิจติดงานในเรื่อง ฟังกันเต็ม ๆ ได้ที่

http://www.youtube.com/????

 

ฉบับนี้เราได้เห็นการฟันฝ่าอุปสรรคจนข้ามพ้นภารกิจติดงานกันไปแล้ว
ฉบับหน้า จะมีตัวละครใหม่ออกมาให้เซอร์ไพรส์ อย่าลืมติดตามกันนะคะ

และขอเชิญร่วมเป็นสมาชิก
Fanpage ชมรมสัมมาทิฏฐิ( Right View)
ต้นสังกัดเพลง เรื่องสั้น และรับข้อคิดธรรมะดี ๆ กันต่อ ที่ link นี้ค่ะ :)
https://www.facebook.com/pages/Right-View/399444403436900