ยารักษาใจ - ฉบับที่ ๒๑๐
คู่โคจร
....
....
....
เรื่องราวความรักที่ข้ามฟ้า ข้ามภพ บรรจบกันได้เพียงจุดเชื่อมต่อชั่วครู่ชั่วยาม
คล้ายกับกามนิต-วาสิฏฐีที่ต่างสิ้นหวังในรักแต่ได้กลับมาพบกันในแดนสวรรค์
อุบัติเหตุที่ทำให้ชีวิตอยู่ระหว่างความเป็นความตาย เขาได้พบคนรักที่พลัดพราก
เธอได้บอกต่อเส้นทางที่ก้าวข้าม อุปสรรคและพันธนาการที่ร้อยรัดทั้งหมดทั้งมวล
นั่นคือจุดเปลี่ยนทั้งปวงที่ทำให้มุมมองของ ‘ทวนธง’ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
....
....
....
ภายในผนังกระท่อมที่สานด้วยไม้ไผ่ หลังคากระท่อมมุงไว้ด้วยใบจากที่ตากแดดจนแห้งเกรียม ร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งพันไว้ด้วยผ้าพันแผลตลอดแขนขารวมทั้งศีรษะที่มีหยดเลือดแห้งกรังติดอยู่ เขานอนบนแคร่ไม้ที่มีผ้าผืนบางปูรองไว้ ลมหายใจรวยรินอ่อนล้า ได้ยินเสียงบิดผ้ากับหยดน้ำกระทบภาชนะแล้วสัมผัสได้กับความเย็นกระทบหน้าผาก ใบหน้า ลำคอ และส่วนต่าง ๆ อย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มพยายามลืมตาขึ้น แต่ก็ทำได้เพียงขยับเปลือกตาที่หนักอึ้งได้เพียงเสี้ยว เขามองเห็นเงาร่างของหญิงสาวในชุดสีขาวปิดบังใบหน้าไว้ด้วยผ้าปิดจมูกผืนเล็ก แต่สายตาอ่อนละมุนเจือไว้ด้วยความเคร่งขรึมจริงจังนั้นคุ้นเคยยิ่ง
“ปลายฟ้า...”
ในใจเรียกขานหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำ แต่ผ่านปากเพียงวลีไม่ได้ศัพท์ ฝืนขยับตัวก็รู้สึกปวดร้าวไปทั่วร่าง
“นอนนิ่ง ๆ ค่ะ”
น้ำเสียงและแววตานั้นยังเป็นคนเดิม เด็กสาวหน้าตาสะสวยแต่ท่าทางเงียบขรึมจริงจังที่เขาพบในห้องปฐมพยาบาลเมื่อครั้งเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
....
....
....
‘นอนนิ่ง ๆ ค่ะ’
แผลที่ได้จากการไถลลูกฟุตบอลในสนามหญ้าแล้วขาไปกรีดกับหินแหลมในสนาม เด็กหนุ่มถูกพาเข้าห้องปฐมพยาบาลที่มีเด็กสาวเฝ้าห้องอยู่เพียงคนเดียว เธอเพียงขยับจากหน้าต่างแล้วลุกไปหยิบอุปกรณ์กุกกัก เชิญเพื่อนที่หิ้วปีกเขามาส่งออกจากห้อง ปิดประตู สั่งให้เขานอนแล้วลงมือทำแผล
‘โอ๊ย ๆ ๆ ๆ เบา ๆ มันแสบนะเธอ’
ปลายฟ้าเลิกคิ้วมองเพื่อนชายที่จัดว่าเป็นเด็กป็อบปูลาร์ของชั้นเรียน เขาเดินทางมาโรงเรียนด้วยรถส่วนตัวที่มีคนขับรถเดินลงมาเปิดประตูให้ เดินไปทางไหนมีสาว ๆ ตามเป็นพรวน วันนี้คิดอ่านโชว์ความสามารถด้านการเล่นกีฬาบ้าง แต่ก็โดนเพื่อนนักกีฬาชายหมั่นไส้และเตะตัดขาจนแฉลบล้ม ปลายฟ้ามองเหตุการณ์จากทางหน้าต่างอยู่นานแล้ว เธอหลุดหัวเราะเบา ๆ
‘นี่แหละน้า ไม่ทำเก่งให้ตลอดล่ะ’
ทวนธงรู้สึกฉุน ตั้งแต่เล็กจนโตไม่คุ้นชินกับการถูกเย้ยหยัน เขาคิดจะผุดลุกขึ้นตอบโต้ แต่ในวินาทีเดียวกันนั้น เด็กสาวก็พาดผ้าพันแผลให้อย่างเบามือ
‘เลิกเรียนแล้วควรจะไปฉีดยากันบาดทะยักด้วยนะ นายล้มลงบนพื้นสนามหญ้าที่มีเชื้อโรคเยอะขนาดนั้น เราเลยต้องล้างแผลให้เยอะหน่อย ไม่อย่างนั้นพอพันแผลแล้วเชื้อโรคจะหมักหมม นายจะติดเชื้อ เป็นไข้ แล้วต้องนอนซมอีกหลายวันเลยล่ะ’
‘ขะ ขอบใจ’
ไม่คุ้นชินกับการถูกกำชับและกำราบอย่างสิ้นเชิงอีกเช่นกัน เด็กหนุ่มพยายามทบทวนความรู้สึกที่เกิดขึ้น แม้จะรู้สึกตกเป็นฝ่ายถูกควบคุมดูแล แต่ก็มีสถานการณ์หนึ่งที่เขารู้สึกว่าตนเองได้เปรียบ
‘เธอรู้ว่าเราล้มลงตรงไหน แปลว่า เธอเองก็แอบดูเรา ใช่ไหมล่ะ’
เด็กสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วเก็บเครื่องไม้เครื่องมือเข้าที่ ไม่สนใจจะตอบคำถามใด ๆ อีก
‘เธอให้คนอื่นกลับไปที่สนาม เพราะเธอชอบเรา และนี่เป็นโอกาสอยู่กับเราลำพัง’
ด้วยความเป็นทายาทของตระกูลที่ขึ้นชื่อว่าคร่ำหวอดในวงการธุรกิจ เด็กหนุ่มมีพรสวรรค์ในการพลิกสถานการณ์จากฝ่ายเสียเปรียบกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบมาตั้งแต่จำความได้ มือเล็ก ๆ ที่กำลังเก็บข้าวของชะงักค้าง สายตาเงียบขรึมของปลายฟ้านั้นมีประกายหวั่นไหวอยู่ในที ทวนธงยืดตัวขึ้นเอนพิงผนัง เขารู้สึกเป็นต่อเด็กสาวขึ้นมาอีกหลายขุม แต่ก็ต้องสะดุดกึกเมื่อเด็กสาวเอ่ยตอบ
‘ไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอก’
ปลายฟ้าหยิบผ้าก๊อซขึ้นมาชูให้ดู นอกจากรอยเลือดแล้วมีเศษดินเศษหินและเศษหญ้าติดอยู่
‘ฉันต้องให้คนอื่นออกไปเพราะต้องการให้ข้างในห้องเป็นเขตสะอาด ส่วนที่รู้ว่านายล้มลงตรงไหนเพราะเศษดินกับหญ้าที่ติดมากับแผลต่าง...’
ปลายฟ้าไม่ทันพูดจบ ทวนธงคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกแตะแก้มนุ่มของเด็กสาวเข้าไป ปลายฟ้าหันหน้าไปเผชิญกับทวนธงโดยไม่ตั้งใจ ชั่ววินาทีนั้นเหมือนโลกหยุดหมุน แสงแดดส่องประกายจากหน้าต่าง เสียงเชียร์กีฬาดังแว่วมาจากสนามไม่ขาดสาย จุมพิตแรกในวัยเรียนยังตราตรึง จนถึงนาทีที่ได้พบกันใหม่...
....
....
....
“ปลายฟ้า กลับมาก่อน!”
จู่ ๆ ชายหนุ่มก็มีเรี่ยวแรงจับมือหญิงสาวที่เขาเห็นเพียงแววตาได้ เขาผุดลุกจากแคร่ไม้และจับมือหญิงสาวไว้แน่น
“คุณใช่ไหม ใช่คุณแน่ คุณหายไปไหนมาตั้งนาน แล้วคุณมาโผล่ที่นี่ได้ยังไง”
คิ้วงามขมวดมุ่น สบแววตาคาดคั้นจริงจังของชายหนุ่มแล้วโอนอ่อนตาม ผ้าปิดปากถูกปลดออก เป็นปลายฟ้าจริง ๆ อย่างที่เขาคาด
“คุณต่างหาก โผล่มาที่นี่ได้ยังไง แล้วคุณจำอะไรได้บ้าง”
“ผมจำได้ว่าคุณเคยทำแผลให้ผมที่ห้องปฐมพยาบาล ตอนนี้ผมเจ็บหนัก คุณก็มารักษาให้”
ปลายฟ้ายิ้มน้อย ๆ เอ่ยคำถามใหม่
“ฉันหมายถึงคุณจำอะไรได้บ้าง ก่อนจะมาที่นี่”
“เอ่อ ผมนั่งเครื่องบินส่วนตัว ตามไปดูการทำสัญญาของพ่อกับคู่ค้ารายใหม่ อยู่ดี ๆ พนักงานก็เข้ามาบอกว่าการบินขัดข้อง เราต้องรีบสละเครื่อง เธอผลักให้ผมออกมาเป็นคนแรก โดยที่ผมเพิ่งเคยได้ใช้ร่มชูชีพ รู้สึกจะกดเป็นอยู่แค่ไม่กี่ปุ่ม แล้วทันทีที่ร่มชูชีพของผมร่อนลงกลางอากาศ เสียงระเบิดก็ดังขึ้นพร้อมกับแรงกระแทกที่ทำให้ผมหมดสติลงตั้งแต่ร่มยังไม่ทันกางได้สนิท จริงสิ นี่ผมรอดมาได้ยังไง”
ปลายฟ้านิ่งฟังอย่างใคร่ครวญ ก่อนจะบอกเล่าสถานการณ์ต่อมาให้เขารู้
“ร่มชูชีพพาคุณร่อนลงไปในป่าที่ชาวบ้านออกไปหาสมุนไพร เขาพบคุณบาดเจ็บอยู่กลางป่า เดี๋ยวนี้ข่าวสารไปถึงทุกที่ที่มีหมู่บ้านคน สื่อมวลชนออกข่าวเครื่องบินส่วนตัวทายาทมหาเศรษฐีตกติดกันอยู่หลายวัน ชาวบ้านดูข่าวหลายหน เขาจับเค้าโครงหน้าจนแน่ใจว่าเป็นคุณ ตอนนี้พวกเขาเริ่มส่งข่าวของคุณไปให้ทางบ้านคุณแล้ว ไม่นานก็คงจะมีคนมารับ”
ระหว่างรับฟังเรื่องราว ทวนธงเฝ้าสบตาดำขลับของหญิงสาว เขาจ้องมองใบหน้านั้นอย่างไม่วางตา ปลายฟ้าเติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวเต็มตัว ใบหน้าเรียวดูผุดผาด ดวงตาดำขลับนั้นมีประกายแวววาวเหมือนดวงดาวส่องประกายวิบวับในคืนเดือนมืด
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีสิ คุณกลับไปกับผมนะ นะ ปลายฟ้า”
ชายหนุ่มเลื่อนมือไปโอบกอดหญิงสาวเบา ๆ ปลายฟ้าไม่ปฏิเสธอ้อมกอดนั้น น้ำเสียงที่ได้ยิน สัมผัสที่ได้รับ ทั้งอบอุ่นและคุ้นเคย ราวกับความผูกพันยังไม่เคยเลือนหายไปไหน แม้เวลาจะล่วงผ่านมาร่วม 10 ปีแล้วก็ตาม
“เรากลับไปด้วยกันไม่ได้ คุณต้องกลับไปคนเดียว”
ปลายฟ้าใช้มือผลักชายหนุ่มออกจากอ้อมกอด ทวนธงค่อยรู้สึกว่าเนื้อตัวของหญิงสาวเย็นเฉียบ นี่ปลายฟ้าคงนั่งพยาบาลเขามาตลอดคืน นั่นแปลว่าเธอยังไม่มีครอบครัวให้ต้องกลับไปดูแล เขาเริ่มชวนคุยเพื่อหาข้อสมมติฐานใหม่
“คุณยังอยู่ในห้องพยาบาลเหมือนเดิมเลย หรือว่า คุณสอบเข้าคณะแพทย์ได้อย่างที่ตั้งใจ”
“ค่ะ ฉันเรียนหนักมาก เราเลยไม่มีเวลาติดต่อกัน”
“นั่นสิ จากม.ต้น ไปหาม.ปลาย เรายังคบกันอยู่ดี ๆ แต่ช่วงก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย จู่ ๆ คุณก็ติดอ่านหนังสือสอบ ติดโน่นติดนี่ จน...”
“จนเราค่อย ๆ ห่างกัน”
“ไม่ใช่ จนคุณหายตัวไปต่างหาก รู้ไหมผมแทบคลั่ง คุณย้ายหอพัก ย้ายที่อยู่โดยไม่บอกผมสักคำ...”
ดวงตาดำขลับหวนนึกถึงอดีต เรื่องราวที่ไม่น่าจดจำแต่ก็เป็นต้นสายของเรื่องราวอีกหลายต่อหลายอย่าง
....
....
....
‘เธอสองคนไม่เหมาะกันหรอก ออกไปจากชีวิตลูกชายฉันเสียเถอะ’
คำพูดของหญิงวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานที่เรียกปลายฟ้าไปพบ แล้วมองเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเอ่ยคำตำหนิอย่างไม่ปิดบังอำพราง มารดาของทวนธงนั่นเอง ในวันนั้น ปลายฟ้าได้รับข้อเสนอที่ไม่คาดฝัน
‘ฉันรู้ว่าเธออยากเรียนหมอ รู้ใช่ไหมว่าค่าใช้จ่ายในการเรียนมันสูงขนาดไหน รับเงินนี่ไปแล้วตั้งใจเรียนซะ’
กระดาษแผ่นบางที่วางอยู่ตรงหน้า คือเช็คเงินสดจำนวนเจ็ดหลัก มูลค่ามากพอที่เธอจะสามารถใช้ในการเรียนแพทย์จนจบหลักสูตร พาฝันมองกระดาษแผ่นนั้นด้วยความงุนงง
‘แต่มีข้อแม้คืออย่ามายุ่งกับลูกชายของฉันอีก’
....
....
....
ปลายฟ้าก้มหน้าหลบตา หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ
“แม่ผมใช่ไหม ที่เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการให้เราต้องแยกจากกัน บอกผมเถอะปลายฟ้า ให้โอกาสผมได้แก้ตัวบ้าง”
“เปล่าค่ะ แม่คุณมาเสนอเงินให้ฉัน แต่ฉันไม่ได้รับมัน เพราะตั้งแต่ก่อนสอบฉันลงสมัครรับทุนเรียนเอาไว้ด้วย แล้วฉันก็ได้รับทุนนั้นหลังจากรู้ผลสอบไม่นาน ดังนั้นเงินของแม่คุณจึงไม่จำเป็นสำหรับฉัน แต่เพราะหนทางที่เราจะเดินไปด้วยกัน มันลำบากเกินไป ฉันอยากเป็นหมอ อยากช่วยคนไข้ มากกว่าอยากอยู่กับคุณ ก็เท่านั้น”
“คุณนี่ ยังโกหกไม่เก่งเหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้นผมถามตรง ๆ หรือคุณมีใครอยู่”
ปลายฟ้าส่ายหน้าช้า ๆ
“แม่ฉันบังคับให้แต่งงานกับคนที่มาทาบทาม เขาจะได้ช่วยใช้หนี้ให้กับทางบ้าน แต่ฉันหนีมาอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร อยู่อย่างนี้ไม่ต้องมีใครตามมาตอแย”
“แต่ผมก็มาตอแยคุณจนได้ มาเถอะคนดี ตอนนี้ผมเลือกชีวิตของตัวเองได้แล้ว คุณไปกับผม”
“นี่อย่าบอกนะคะ ว่าคุณก็ยังไม่มีใคร”
ปลายฟ้าเลิกคิ้วถาม ทวนธงเกลี่ยนิ้วไล้แก้มบางแล้วบอก
“ก็มีบ้างแหละครับ ที่เข้ามา แต่สุดท้ายก็มักจะไปด้วยกันไม่ได้ เพราะผมไม่เคยลืมคุณเลย”
ประโยคแรกทำปลายฟ้าหน้ามุ่ย แต่ประโยคหลังทำหญิงสาวยิ้มขันพร้อมเอามือทุบอกเขา
“เจ้าชู้ ปากดีไม่มีเปลี่ยน”
“รักคุณไม่มีเปลี่ยนต่างหาก อยู่กับผมนะคนดี”
“ฉันจะอยู่กับคุณตรงนี้ จนกว่า...”
“จนกว่าอะไรครับ”
ปลายฟ้าเบือนหน้ามองหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ลมพัดกรูเอาดอกอโศกพัดตกลงมาบนหน้าอกของทวนธง หญิงสาวเสมองดอกอโศกบนอกเขา หยิบดอกไม้สีแดงระเรื่อมาพินิจดูใกล้ ๆ พร้อมท่องบทเบา ๆ
“เพลานั้น โสมทัตต์ได้กระเซ้าว่า วาสิฏฐีคงไม่เอาดอกสีเหลืองไปต้มอาบดอก เพราะสีเหลืองเหมือนความรักที่จืดจางเร็ว น่าจะเป็นดอกสีแดงที่อกเจ้ากามนิตมากกว่า เพราะสีสดใสเหมือนความรักที่คงทนไม่มีวันจืดจาง”
ปลายฟ้าเว้นจังหวะให้ ทวนธงจึงพูดขึ้นบ้าง
“วาสิฏฐีกลับบอกว่าผิดแล้วโสมทัตต์ ความรักแท้จริงย่อมมิใช่สีแดง แต่เป็นสีดำเหมือนศอพระศิวะที่ดื่มยาพิษเพื่อรักษาโลกไว้ต่างหาก เอ่อ แล้วยังไงต่อนะ ผมจำไม่ได้แล้ว”
ปลายฟ้าซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยอาจารย์อ่านบทประพันธ์ผ่านเสียงตามสายกล่าวต่อได้อย่างชัดถ้อย
“ความรักต้องเต็มใจลิ้มรสความเจ็บปวดเพื่อเสียสละให้คนที่เรารักได้พบความสุข ความรักจึงยอมเลือกสีดำ ซึ่งหมายถึงเลือกความขมขื่นเอาไว้ ดีกว่าเลือกสีอื่น ๆ ซึ่งเน้นแต่ความสุขสมหวังเพียงอย่างเดียว”
ทวนธงฝืนกลั้วหัวเราะเบา ๆ ปลายฟ้าชี้นำความขมขื่นในรักจากบทประพันธ์อมตะ เขาต้องเบนความสนใจของเธอออกมาจากเรื่องนั้น
“ถ้าผมจำไม่ผิด กามนิตโดนวัวขวิดตาย พระเอกอะไรจะพบจุดจบที่น่าหวาดเสียวขนาดนั้น”
“คุณก็ตกเครื่องบินเกือบตาย ฉันว่าน่าหวาดเสียวกว่า แถมยังน่าเสียดายกว่า เพราะคุณยังไม่ได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย”
“กามนิตได้พบพระพุทธเจ้าที่บ้านช่างปั้นหม้อ แต่ก็ไม่รู้นี่ว่านั่นคือพระพุทธเจ้านี่ครับ”
ทวนธงออกแรงค้านพลางนึกในใจ ‘อย่าลืมสิ ตอนม.ปลาย ผมฟังคุณอ่านผ่านเครื่องกระจายเสียงทุกวัน พอจะจำได้บ้างล่ะน่า’
“พบแล้วรู้จักพระพุทธเจ้าหรือไม่ ไม่เท่ากับได้ฟังคำสอนของพระองค์ ถ้าคุณเคยฟัง คุณจำได้บ้างไหมว่าคืนนั้นพระพุทธเจ้าทรงสอนอะไรกับกามนิตบ้าง”
โดนปลายฟ้าพาเข้าเรื่องอีกจนได้ ทวนธงส่ายหน้าจนใจ คิดไม่ออก
“พระพุทธเจ้าสอนทางดับทุกข์ให้กับกามนิต เป็นหนทางที่หลุดพ้นจากความใคร่ ความกระหายทั้งหลายทั้งปวง ชื่อว่าอริยมรรค เป็นหนทางที่สิ้นภพจบชาติ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่กามนิตซึ่งเวลานั้นไม่รู้ว่าผู้พูดคือพระพุทธเจ้า เขาก็ว่าชายแปลกหน้านี้กล่าวไม่น่าฟัง เหตุใดไม่พูดถึงภพสวรรค์ภายหลังการเกิด”
“นั่นสิ ถ้าจูงใจคนด้วยสวรรค์ คนอาจจะสนใจธรรมะกันมากขึ้นก็ได้นะ”
ทวนธงเห็นด้วยกับกามนิตอีกต่างหาก
“พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตรัสเรื่องการปฏิบัติภาวนาเพื่อไปสู่สวรรค์เพราะนั่นเป็นเรื่องของใบไม้นอกกำมือ การยกเอาสวรรค์มาล่อใจว่าทำเช่นนั้นเช่นนี้แล้วจะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้า ก็เท่ากับเป็นการรั้งเอาตัณหาให้ยึดติดแน่นอยู่ในเหตุแห่งทุกข์ การจะดับทุกข์ก็เหมือนไฟไหม้บ้าน หากมีบ่าวไพร่วิ่งมาบอกว่าไฟกำลังไหม้ เจ้าของบ้านจะร้องถามก่อนไหมว่าข้างนอกมืดหรือเปล่า หนาวไหม มีความสะดวกสบายไหม ถ้าไม่มืด ไม่หนาว สะดวกสบายดีแล้วถึงจะค่อยออกไป”
“อืมม อย่างนี้ก็น่าคิด”
“การจะดับทุกข์ ไม่ต้องมีข้อแม้เพื่อความสุขสบายในภายหน้า เมื่อวาสิฏฐีได้พบกับพระพุทธเจ้าเพียงไม่นานก็ได้ออกบวช จนกระทั่งพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพานหัวใจนางก็แตกสลายตายไปเกิดเป็นเทพธิดาในแดนสวรรค์สุขาวดีแล้วค่อยได้พบกับกามนิตที่ไปรออยู่นั่น”
“ต่อจากนั้นผมนึกออกล่ะ กามนิตอยากเห็นหน้าตาของพระพุทธเจ้า เลยขอให้วาสิฏฐิสร้างภาพนิมิตของพระพุทธเจ้าขึ้นมา วาสิฏฐิสร้างภาพนิมิตของพระพุทธเจ้าจนกระทั่งดวงจิตของนางฟ้าสลายไป ทิ้งกามนิตทุกครั้งไป ไม่ว่าจะอยู่บนดินหรือบนฟ้า”
“คุณนี่นะ ไม่รู้จักตั้งใจฟัง วาสิฏฐีไม่ได้สร้างภาพนิมิตจนดวงจิตสลายไปเสียหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นที่จริงเป็นยังไงครับ”
“เทพธิดาวาสิฏฐีน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วจึงรู้แจ้งเห็นจริงว่าพระธรรมเป็นเครื่องนำทางสู่จุดหมาย เหมือนใช้แพข้ามลำธาร พอถึงฝั่งก็ไม่ต้องข้องแวะกับแพอีกต่อไป ไม่ต้องเอาแพแบกขึ้นบ่า ไม่ยึดติดเกาะเกี่ยวกับสิ่งไหน ๆ วาสิฏิฐีได้บรรลุมรรคผลนิพพานแล้วจุติไปจากภพของเทพธิดา ส่วนกามนิตก็ค่อย ๆ พิจารณาธรรมะที่ได้ฟังจากพระพุทธเจ้าและจากการพบปะสนทนากับวาสิฏฐี ก็ค่อยบรรลุมรรคผลนิพพานตามไป”
“นี่คุณแม่นในบทประพันธ์ของไทยมาก ตอนผมไปเรียนเมืองนอก ได้เห็นบทวิจารณ์ต้นฉบับของชาวเดนมาร์ก ว่าสิ่งที่กามนิตเห็นบนสวรรค์คืออาการเพ้อจากพิษบาดแผลที่ถูกวัวชน ส่วนสวรรค์นิพพานอะไรไม่มีจริงสักอย่าง”
“คุณจะเชื่อในทฤษฎีไหนก็เรื่องของคุณ แต่ฉันขอร้องว่า คุณอย่าประมาทในสวรรค์ อย่าหมดความเลื่อมใสในนิพพาน สิ่งที่บางคนไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริงสักหน่อย”
ปลายฟ้าเอ่ยอย่างจริงจังทั้งน้ำเสียงและแววตา ทันใดนั้นทวนธงกลับรู้สึกชาวูบไปทั่วร่างและปวดร้าวที่กลางอก ลมกรรโชกแรงตีบานหน้าต่างกระทบผนังปึงปังอยู่ทางด้านนอก ดอกอโศกร่วงกราว ปลายฟ้าผละจากเขาไปปิดหน้าต่างและทำท่าจะเดินไปที่ประตู
“เดี๋ยวปลายฟ้า คุณจะไปไหน อย่าจากผมไปอีกเลยนะ ขอร้องล่ะ”
“ฉันไม่ได้จากไปไหน นี่ไง ฉันอยู่กับคุณเสมอ เพราะคุณยังนึกถึงฉัน เพราะฉันยังนึกถึงคุณ เราถึงได้มาพบกัน”
ปลายฟ้าเป็นฝ่ายเดินมากุมมือเขาไว้ ทวนธงบีบมือนั้นแน่นขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าหัวใจเหมือนถูกกระชาก สรรพสิ่งรอบตัวดับวูบลง ทวนธงได้ยินเสียงปี๊บ ปี๊บ กับลมหายใจหนักหน่วงของตนเอง
“อยู่กับผมนะ ปลายฟ้า อยู่กับผม...”
ประโยคที่ทวนธงเข้าใจว่าตนเองตะโกนก้อง แท้จริงแทบไม่ลอดออกมาจากริมฝีปากแห้งผากและซีดเซียว ความมืดเริ่มปกคลุมมาอีกคราหนึ่ง ชายหนุ่มเฝ้ารอคอยแสงสว่างหวนมาอีกครั้งหนึ่ง เขาหวังว่าจะลืมตาขึ้นมาเห็นเธออีกครั้ง
* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *
“แม่ฮะ พี่ทวนธงฟื้นแล้ว”
“โอ... จ้ะ ดีจังเลย ทวนธง เป็นยังไงบ้างลูก คมธรรพ์ ไปตามพยาบาลมาสิลูก”
“ครับแม่”
ได้ยินเสียงแม่กับน้องชายค่อยใจชื้น ยิ่งลืมตามาเห็นห้องสี่เหลี่ยมโล่งกว้างและขาวสะอาดตายิ่งรู้สึกผิดความคาดหมาย
“นี่ผมอยู่ที่ไหนครับแม่”
ทวนธงเอ่ยถามมารดาออกมาเป็นคำแรก
“ลูกอยู่ที่โรงพยาบาลจ้ะ ทันทีที่ชาวบ้านในหุบเขาติดต่อมาว่าเจอผู้ชายบาดเจ็บอยู่ใกล้จุดที่เครื่องบินตก แม่ก็ให้คมธรรพ์เขาเอาฮ.ไปรับ หมอที่นี่เก่งมากนะ ดูสิช่วยกู้ชีวิต ช่วยผ่าตัดช่วยดูแลจนลูกฟื้นขึ้นมาได้ นี่ลูกสลบไปตั้ง 10 วันเลยนะรู้ไหม”
“10 วัน ? แล้ว ?...”
“แล้วอะไรจ๊ะลูก”
ไม่สิ ปลายฟ้ากับมารดาเขาไม่ถูกกัน... เขาไม่ควรเอ่ยคำถามที่อยากถามในตอนนี้
“แม่ครับ พยาบาลกับคุณหมอมาแล้วครับ”
“จ้ะ ๆ งั้นให้คุณหมอเค้าเช็คอาการของพี่เราก่อน แม่ไปรอข้างนอกนะ”
“ครับ”
“ธรรพ์”
“ครับ”
“ตอนนายเอาฮ.ไปรับพี่ นายเห็นผู้หญิงสวย ๆ คนหนึ่งไหม เธอเป็นหมอประจำอยู่ที่หมู่บ้านนั้น”
“หมอ... ประจำหมู่บ้านนั้น”
“เอาใหม่ นายจำปลายฟ้า ที่เป็นแฟนพี่สมัยมัธยมได้หรือเปล่า”
“อ๋อออ จำได้สิครับ แต่ก็พอรู้ว่าคุณแม่ไม่ปลื้มเท่าไหร่ แล้วสุดท้ายพี่ปลายฟ้าก็สอบติดแพทย์แล้วก็หายตัวไป”
“ใช่ ฉันไปเจอปลายฟ้าที่หมู่บ้านนั้น เธอช่วยรักษาพยาบาลฉัน”
“เหรอครับ อืมมมม”
“นายกลับไปตามหาเธอให้ฉันหน่อย ถ้าเธอไม่ยอมมา บอกเธอว่าอย่าไปไหน พอฉันหายแล้วฉันจะไปตามเธอด้วยตัวเอง”
“ครับ ได้ครับ”
คมธรรพ์รับคำและหลีกทางให้หมอและพยาบาลมาเช็ดตัวและวัดไข้พี่ชาย คิ้วดกหนาขมวดมุ่นอยู่ครู่หนึ่ง เขาอาจไม่จำเป็นต้องขึ้นฮ.กลับไปที่จุดรับพี่ชาย เพราะในเวลานั้นเขาพบทวนธงในสภาพหมดสติ มีแผลเต็มตัว และคนดูแลก็เป็นหมออนามัยในท้องถิ่นที่ช่วยปฐมพยาบาลให้เพียงอาการทุเลาลงเท่านั้น
คมธรรพ์กดโทรศัพท์ไปยังสถานีอนามัยแห่งนั้นเพื่อความแน่ใจ เขาหวังว่าพี่ชายจะเพ้อเพราะพิษบาดแผลจากแรงกระแทก และเชื่อว่าคำตอบคงจะเป็นไม่มีคนชื่อปลายฟ้าอยู่ในบริเวณนั้น
“อ๋อ คุณหมอปลายฟ้าน่ะหรือคะ มีค่ะ มีคนชื่อนี้อยู่”
“จริงหรือครับ”
“ค่ะ แต่ว่า...”
คำตอบแรกว่าน่าอัศจรรย์แล้ว ประโยคที่ตามมายิ่งสร้างความประหลาดใจยิ่งกว่า
…
…
…
ทวนธงได้ยินเสียง “โครม” กับหน้าตาตื่น ๆ ของน้องชายที่เดินไปชนรถเข็นเครื่องมือแพทย์ ผู้ช่วยพยาบาลต่างกรูกันเข้าไปเก็บของที่ตกกระจาย พอหมอและพยาบาลพากันแยกย้าย คมธรรพ์ค่อยเข้ามาบอกหน้าซีด ๆ
“พี่ครับ”
“ว่าไง นี่นายโทรไปเช็คกับคนในหมู่บ้านมาก่อนใช่ไหม”
“ครับ แต่ เอ่อ”
คมธรรพ์ทำหน้าเบ้ นึกถึงคำให้การของชาวบ้านแล้วไม่รู้จะบอกพี่ชายอย่างไร
“คุณหมอเป็นคนดี เป็นคนน่ารัก ชาวบ้านทุกคนรักคุณหมอมากค่ะ คุณหมอมาใช้ทุนอยู่ที่โรงพยาบาลประจำอำเภอแล้วก็ไม่ย้ายไปไหน แถมเข้ามาตรวจรักษาพวกเราถึงในป่าในเขา เพราะในนี้มีพระมาสร้างวัดป่าเอาไว้ด้วยค่ะ บางทีคุณหมอก็ชอบหลบมาภาวนาเงียบ ๆ แต่ใครจะรู้ล่ะคะ ว่าคุณหมอต้องมาพบจุดจบด้วยโรคมาลาเรีย คุณหมอเพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อ 2-3 วันก่อนเครื่องบินตกนั่นเองค่ะ ในโทรศัพท์ของดิฉันมีรูปของคุณหมอ เดี๋ยวดิฉันจะส่งไปให้ดูนะคะ”
“ว่าไงล่ะ อ้ำอึ้งอยู่นั่น”
เสียงดังกริ๊ก เป็นสัญญาณว่ามีข้อความภาพเข้ามาในสมาร์ทโฟน คมธรรพ์เปิดดูแล้วขยายภาพให้ชัดก่อนยื่นให้กับทวนธง
“พี่ปลายฟ้า โตมาแล้วสวยขนาดนี้เลยนะครับ”
“ใช่ หน้าตาแบบนี้ ชุดนี้แหละ ที่ฉันเจอ ว่าไง เธอยอมมาหาพวกเราไหม”
กริ๊ก
ภาพถัดไปถูกส่งมา เป็นภาพงานพระราชทานเพลิงศพของ พญ.ปลายฟ้า กิจวโรดม วันที่ที่บรรยายในพิธี คือวันชาตะซึ่งตรงกับวันเกิดของปลายฟ้า และวันมรณะ คือวันที่ก่อนที่เครื่องบินตกเป็นเวลา 3 วัน
คมธรรพ์ที่กำลังจะอ้าปากบอกคำได้เห็นทวนธงพี่ชายเลื่อนดูรูปชะงักค้าง น้ำตาลูกผู้ชายไหลหยดแหมะลงบนตัวเครื่อง คมธรรพ์เดินถอยหลังออกไปปิดประตูห้องคนไข้และขอร้องไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนแม้กระทั่งมารดา...
* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *
ทวนธงใช้เวลาฟื้นตัวอีกไม่กี่เดือนหลังจากนั้น และเขาเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เงียบขรึม แต่ตั้งอกตั้งใจ และเอาการเอางานขึ้น ภาพที่คมธรรพ์เห็นหยดน้ำตาของพี่ชายมีเพียงวันนั้นวันเดียวเท่านั้น เรื่องราวที่ทวนธงเล่าและเอ่ยถาม เขาก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟังอีก แน่นอนว่ามันควรเป็นความทรงจำดี ๆ ไม่ใช่ทฤษฎีพิษบาดแผลทำให้เกิดภาพหลอน
คมธรรพ์ต้องถอนตัวออกจากกองทัพอากาศมาช่วยงานกิจการของครอบครัวแทนที่จะได้เป็นทหารอย่างที่หลบเลี่ยงได้มาระยะหนึ่ง ต่อมาเมื่อทวนธงอาการดีขึ้นและกลับมาบริหารงานได้ เขาก็กลายไปเป็นคนขับรถ (แต่ด้วยความเต็มใจ) เมื่อถึงวันครบรอบการตายของปลายฟ้า ถือว่าเป็นวันสำคัญแห่งการนัดหมาย ที่ทวนธงจะชวนน้องชายขับรถพากันไปทำบุญด้วยตนเอง
“พี่ เอ้อ เจ้านายทำแบบนี้ เหมือนไม่ยอมลืมพี่ปลายฟ้าเสียทีเลยนะครับ”
“ไม่ใช่ไม่ยอมลืม แต่ไม่อยากเลิกจำ อย่างน้อยก็จนกว่าฉันจะเข้าใจคำสอนที่ปลายฟ้าฝากเอาไว้แล้วตามเธอไปให้ถึงจุดหมาย”
“ครับ งั้นพี่ เอ้ย เจ้านายต้องฟังซิงเกิ้ลออกใหม่เพลงนี้ นี่ผมโหลดมาลงเครื่องเล่นในรถของเราเพื่อเจ้านายเลยนะครับ”
ท่ามกลางการจราจรที่วุ่นวาย แสงแดดแผดเผา แต่รถหลายพันคันบนท้องถนนกับดูไม่ยี่หระ ยังคงขับเคลื่อนฝ่าเปลวแดดไปเบื้องหน้า เสียงเพลงจังหวะเย็น ๆ ค่อยดังขึ้นภายในรถคันหรูที่ 1 คนขับรถ 1 ผู้โดยสารกำลังนั่งมาด้วยกัน
...มหัศจรรย์ทางช้างเผือกนั้น
อันจุฬาตรีคูณแม่น้ำสามสาย
งดงามจับตา สัญญาจับใจ
ต่างวาดฝันใด หัวใจผูกพัน
บทเพลงบรรเลงยังไม่ทันจบ เสียงดังโครมก็ดังมาจากทางด้านหลัง แท็กซี่คันที่ขับเป๋ไปมาเบียดเอาด้านหน้ามากระแทกกันชนของรถคันหรูเข้าอย่างจัง ถัดจากนั้น หญิงสาวใบหน้าเรียว ดวงตาดำขลับกับผมยาวสลวยก็วิ่งตรงมาขอโทษขอโพยชายหนุ่มทั้งสองยกใหญ่
‘นะ... นั่นพี่ปลายฟ้านี่’
คมธรรพ์อุทานในใจแต่ไม่กล้าพูดออกมา
ชีวิตคู่โคจรทั่วสังสารวัฏ
หมุนเวียนเกิดดับตามกรรมวิถี
ต่ำสุดสูงสุดถึงแดนสุขาวดี
แม้นสุขแสนดี ยังมีดับลง...
เสียงเพลงยังบรรเลงต่อ ทวนธงเผยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินลงไปจากรถ ตรงไปหาหญิงสาวแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เธอซับเลือดกำเดา
วงโคจรของสังสารวัฏยังหมุนเวียน แต่ทวนธงจะเปลี่ยนวิถีของตนให้หลุดจากวงโคจรได้หรือไม่...ชายหนุ่มเองก็ถามตัวเองเช่นนั้นและมีคำตอบภายในใจเช่นกัน
ดวงตาที่เขามองหญิงสาวดวงหน้าคล้ายปลายฟ้านั้นเปี่ยมด้วยแววแห่งเมตตา แต่เขามิได้มองเธออย่างที่เคยมองปลายฟ้า เป็นเมตตาที่มิได้เจือด้วยราคะอย่างบุคคลผู้ฝึกใจดีแล้วควรเป็น.
(The end.)
* •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• *
เรื่องสั้นจบแล้ว แต่อย่าเพิ่งลุกจากที่นั่งอีกเช่นเคยค่ะ :)
เพลงที่คุณคนขับรถเปิดให้เจ้านายฟังในเรื่อง ฟังกันเต็ม ๆ ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=z9dojClRf-o
ฉบับนี้เราได้รู้จักตัวตนและความหลังของคุณ CEO รูปหล่อกันไปแล้ว
ฉบับหน้า จะถึงคราคนขับรถบ้าง อย่าลืมติดตามกันนะคะ
และขอเชิญร่วมเป็นสมาชิก Fanpage ชมรมสัมมาทิฏฐิ( Right View)
ต้นสังกัดเพลง เรื่องสั้น และรับข้อคิดธรรมะดี ๆ กันต่อ ที่ link นี้ค่ะ :)
https://www.facebook.com/pages/Right-View/399444403436900