Print

ไดอารี่หมอดู - ฉบับที่ ๑๑๒

morpeeหมอพีร์
มกราคม ๒๕๕๔



สวัสดีค่ะทุกคนที่อ่านไดอารี่หมอดู ช่วงนี้อากาศหนาวมากเลยค่ะ ยังไงดูแลร่างกายให้อบอุ่นกันหน่อยนะคะ

สองวันก่อนมีโอกาสไปทานอาหารชายทะเล มีเด็กคนหนึ่งตัวเล็ก ๆ ปั่นจักรยานมาขายมะม่วง เห็นแล้วน่ารักมาก ถามเขาว่าเรียนชั้นไหนเขาบอกว่า ป.สองครับ ช่วยแม่ขายของเหรอ เขาบอกว่าแม่ตายแล้วครับอยู่กับพ่อ แต่พ่อทำงานไม่ได้ตกต้นไม้เลยมาขายตอนเย็นทุกวัน ด้วยความที่เขาช่างพูดคนข้าง ๆ สะกิดประมาณว่าไม่เชื่อเป็นเรื่องโกหก แต่ลึก ๆ พีร์รู้สึกว่าเขาพูดความจริง ที่พูดคล่องเหมือนท่องมาคงเป็นเพราะมีคนถามคำถามนี้บ่อยมาก และเด็กที่ขายของตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ ต้องเจอคนเยอะมากทำให้ไม่กลัวคน กล้าที่จะพูดออกมาตรง ๆ บางครั้งคำพูดของเด็กตัวเล็ก ๆ เหมือนเด็กอนุบาลสามไม่ใช่ ป.สามทำให้เหมือนเจ้าเล่ห์นิด ๆ น้องเขามีลักษณะบางอย่างเจ้าเล่ห์เหมือนกันค่ะ ทำให้คนอื่นมองในแง่ลบได้ สงสารน้องเลยซื้อหมดเลย แถมเงินให้ด้วยนิดหนึ่ง เขาบอกว่าหิวข้าวเลยเลี้ยงข้าวผัดไป บอกว่าจานหนึ่งจะกินหมดไหม เขาบอกว่าหมด เลยสั่งแม่ค้าให้ผัดให้ เขาถามกลับมาว่าเลี้ยงจริงไหมเนี่ย บอกว่าจริงสิไม่โกหกหรอก เขานั่งทานข้าวแบบระแวงนิดหนึ่งว่าจะจ่ายให้จริงไหม พีร์หันหน้าไปบอกแม่ค้าว่าคิดเงินรวมที่โต๊ะได้เลยนะคะ เขาถึงตั้งหน้ากินอย่างสบายใจ ใช้เวลาไม่นานก็หมดจานแล้ว สงสัยหิวจริง ๆ ค่ะเพราะร่างกายผอมมาก วันนั้นที่บ้านกินข้าวกันหมดเกลี้ยงจานไม่ให้เหลือกันเลยค่ะ เพราะรู้สึกว่าเรามีจะกิน ทำไมต้องกินเหลือทิ้งเหลือขว้างด้วย เห็นคนที่เขาลำบากไม่มีจะกินบ้าง วันนั้นทั้งอิ่มข้าวอิ่มบุญ ปนด้วยความสงสาร แต่ก็คงไม่มีกำลังช่วยอะไรได้มากกว่านี้ เกิดความเศร้านิด ๆ เราไม่สามารถช่วยทุกคนให้พ้นจากวิบากกรรมได้หมดหรอก ใจสบายขึ้นมาได้ พอเรียกแม่ค้ามาคิดเงินเขาบอกว่าเด็กคนนี้ตัวเล็กนิดเดียวช่างพูด เป็นคนในหมู่บ้านนี้แหละ เห็นคนข้าง ๆ เขาข้องใจว่าเด็กโกหกเลยถามว่าเขาไม่มีแม่เหรอคะ แม่ค้าบอกคงใช่ค่ะ ไม่เคยเห็นเลย เขาบอกอีกว่าพ่อตกต้นไม้เลยทำงานไม่ได้จริงหรือเปล่าคะ แม่ค้าบอกว่าเมื่อก่อนพ่อเขาเข็นรถผลไม้มาขายที่นี่แหละ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นเลยนะ มีวันหนึ่งเจอเหมือนกันเห็นเขาเดินมาขาเป๋ ๆ อยู่ คนข้างต้องกลืนน้ำลายนิดหน่อยค่ะ เพราะคิดว่าโดนเด็กหลอก

มนุษย์เราทำบาปมาโดยความไม่รู้ สิ่งที่ควรทำในสภาวะที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้ ก็ไม่ได้ทำให้เจริญขึ้นอีก ต้องดิ้นรนให้ชีวิตอยู่รอดผ่านไปวันหนึ่ง ๆ มีโอกาสได้ทำทานน้อย ได้ฟังธรรมน้อย มาคิดกลับกันแล้วเราโชคดีจริง ๆ รู้จักธรรมะตั้งแต่เด็ก ไม่อย่างนั้นคงพลาดทำบาปอีกเยอะมาก อีกอย่างต้องขอบคุณความทุกข์ที่เจอมาที่ทำให้หันหน้าสนใจพุทธศาสนา

พูดถึงความไม่รู้นี่ ความไม่รู้ทำให้ทำบาปได้ง่าย ๆ จริงนะคะ บางอย่างเราอาจจะคิดว่าไม่เป็นไร มันอาจจะไม่เป็นเหมือนที่คุณคิดก็ได้ค่ะ พีร์รู้จักน้องคนหนึ่งในหมู่บ้าน เขามาทำงานที่ชลบุรี นิสัยค่อนข้างเป็นคนประหยัดมาก ๆ ที่บ้านไม่ถึงขั้นลำบากขนาดนั้นนะคะ แต่จะไม่ค่อยใช้เงินง่ายเท่าไหร่ ที่หอพักเขาไม่ค่อยมีของใช้เท่าไหร่ น้องเขาให้เพื่อนขโมยช้อนส้อมมาจากโรงงานให้ เขาพูดกันว่าตามโรงงานทรัพย์สินบางอย่างจะหายง่ายมาก อะไหล่รถยังสามารถขโมยเอาออกกันไปได้ การเบียดบังทรัพย์สินของบริษัทไปใช้ส่วนตัว มันก็คือการขโมยนั่นเองค่ะ บางคนบอกไม่ปริ้นงานที่บ้านไปปริ้นที่บริษัทดีกว่าประหยัดดี จนบางที่เขาต้องให้เจ้านายมาเข้มงวดเรื่องการใช้อุปกรณ์สำนักงานเลยก็มีค่ะ

ความประหยัดความตระหนี่ก็ทำให้เราตายกับบาปได้ง่ายเหมือนกัน มีคนบอกว่าจะเอาของที่บริษัทมาให้พีร์เหมือนกัน พีร์บอกว่าไม่เอาค่ะ ไม่มีใจยินดีใช้ของคนอื่นที่ได้มาโดยไม่บริสุทธิ์ ไม่กล้าใช้จริง ๆ นะคะ ดังนั้นอย่าให้ความเคยชินมาทำให้เราต้องมาเบียดบังทรัพย์สินบริษัทคนอื่นเขา พอวันหนึ่งตัวเองต้องทำธุรกิจส่วนตัว มักจะมีเหตุให้เจอลูกน้องขี้โกง ลูกน้องไม่รักษาทรัพย์สินให้ สร้างเหตุแบบไหนย่อมเจอคนแบบนั้นเป็นธรรมชาติค่ะ

อีกเรื่องหนึ่งคือไม่ได้เข้าไปในเมืองนานมากแล้ว วันนั้นพาลูกไปเที่ยวดูปลากลางใจเมือง จอดรถไว้ขึ้นรถไฟฟ้าต่อไปอีกหน่อย สังคมเมืองเปลี่ยนไปมาก ๆ ทุกคนเป็นอะไรไปแล้วตอนนี้ ภาพที่เห็นมันแปลกตามากค่ะ คือก้มหน้าอยู่กับมือถือ พร้อมพิมพ์ ๆ หันไปทางไหนทุกคนแชทบ้างเล่นอินเทอร์เน็ตบ้าง ฆ่าเวลากันหมดเลยค่ะ อิเลคทรอนิคส์มีข้อดีมากเลยค่ะ แต่ไม่คิดว่าจะเห็นภาพอย่างนี้โลกไฮเทคมากเลย ขาไปก็เห็น ขากลับก็เห็นภาพเดียวกันเลย ไม่น่าเชื่อไม่ได้มาแค่ไม่กี่ปี มันเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยเหรอ ไปเล่าให้สนิทที่ต้องขึ้นรถไฟฟ้าทุกวันฟัง เพื่อนบอกว่ามันเป็นแบบนี้มานานแล้ว ที่น่ากลัวกว่านั้นมันไม่ได้แค่มือถือ เวลาทำงานก็เป็นกัน เพื่อนพีร์ทำงานบัญชีเพิ่งเปลี่ยนงานใหม่มาปีกว่าจะสองปีแล้ว เขาเล่าว่าตอนแรกที่มาทำงานที่ใหม่ตรงนี้ทุกคนจะบอกว่างานยุ่งมาก ทำไม่ทันพอเขามาทำจะเสร็จตรงเวลาตลอด บางช่วงเสร็จเร็วมากเลยไปช่วยคนอื่นทำเพราะสงสารเห็นงานเหลือเยอะ เพื่อนพีร์คนนี้มีกรรมประเภทใช้แรงงานทาสมาเยอะ ดังนั้นจะเป็นคนที่ทุมเทกับงานตลอด อยู่ดึกแบบไมได้โอทีก็เห็นเขาทำมาเยอะแล้วเหมือนกัน กรรมเก่าเคยทำมาแบบนั้นแต่กรรมใหม่ไม่ทำเพิ่มทำงานเต็มที่ตลอด ตอนหลังเพื่อนบอกว่าเพิ่งฉลาดขึ้น คือความจริงพวกเขางานไม่ยุ่งจนทำไม่ทันหรอก เขาบอกว่าเพื่อนร่วมงานเขามัวแต่เล่นอินเตอร์เน็ต นั่งคุยกับเพื่อนกัน ถามเพื่อนว่าเวลาทำงานเนี่ยเหรอ ทำไมไม่คุยโทรศัพท์กันแล้วจบ ๆ ไปล่ะ เพื่อนบอกว่าโทรศัพท์ก็คุย พอวางเสร็จนัดกันมาแชทต่อเหมือนเดิม หลัง ๆ พอเห็นเป็นแบบนี้ก็เลยไม่เคยช่วยงานอีกเลย อ้างว่างานเยอะก็คุณไม่ทำให้เสร็จเอง เพื่อนบอกว่าไม่สนใจเลยหลัง ๆ งานตัวเองเสร็จตรงเวลา เก็บกระเป๋ากลับบ้านไม่หลวมตัวอีกแล้ว

เพื่อนว่ามันเป็นโรคติดต่อกันไปหมดแล้ว ความจริงการทำแบบนี้เป็นการเอาเปรียบบริษัทนะเนี่ย เขาจ้างมาทำงานให้เต็มที่นะไม่ได้จ้างมาแชท เพื่อนบอกไม่เห็นเขาสนใจกันเลย พอถึงเวลาก็อยากได้เงินเดือนขึ้น อยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่ไม่เห็นเขาจะรักษาผลประโยชน์ให้บริษัทกันเลย

การเบียดเบียนเวลาของบริษัทมันก็เป็นการลักทรัพย์อยู่แล้วค่ะ เพราะการที่เราไม่ทำงานเต็มที่ให้เท่ากับค่าจ้างที่เขาจ้างเรามา ย่อมทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ถ้าละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง พอวันหนึ่งต้องเจอบริวารแบบนี้ก็ไม่ต้องสงสัยกันหรอกค่ะ เป็นผลของการเบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความเสียหายทางอ้อม ลองเอาจำนวนหลาย ๆ ชั่วโมงมารวมกันเป็นปีจะเห็นภาพว่าเสียหายมากแค่ไหนค่ะ

พี่คนหนึ่งเขาเล่าให้ฟังว่าที่บริษัทมีนายมาใหม่ แก้ปัญหานี้โดยการบอกว่าต่อไปนี้จะไม่ให้ทำโอทีในส่วนงานออฟฟิต ถ้ามีต้องชี้แจงหรือถ้าไม่เสร็จเจ้านายบอกว่าให้คุณใช้วันหยุดมาทำให้เสร็จเป็นรายวันดีกว่า ไม่ต้องเปิดทำโอที

ถ้าเรามองแบบลูกจ้างจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล็ก ในทางกลับกันถ้าเราเป็นนายจ้างบ้างจะเห็นว่าบริษัทได้รับความเสียหายจริง ๆ ค่ะ เพราว่าเจ้าของจะมีรายจ่ายทุกวัน ซึ่งก็คือรายได้องเรา เวลาได้รับผลกระทบมันรุนแรง เป็นลูกจ้างสามารถหาที่ทำงานใหม่ได้ง่าย การจะได้เป็นนายจ้างมันยากกว่าเยอะ คุณค่าเลยต่างกันในความรู้สึก

ความเคยชินในการให้ค่าว่าไม่เป็นไร มีสิทธิทำได้บ่อย ๆ จะทำให้ไม่รู้สึกว่าบาป ดังนั้นเราต้องมองใหม่ค่ะว่าเป็นการโกงเวลาบริษัท บางที่เขาบอกว่าอาการหนักมาก เวลาเข้าไปติดต่อออฟฟิตต้องกะเวลาให้ดี เช่นช่วงสิบเอ็ดโมงครึ่งถึงบ่ายสองห้ามไป เพราะเขาทั้งหลายยังไม่กลับจากการช็อปปิ้งค่ะ หลังสี่โมงครึ่งอย่าไปเพราะเขาจะเตรียมตัวกลับบ้านให้มาติดต่อใหม่ในวันพรุ่งนี้ค่ะ ดังนั้นช่วงเวลาในการติดต่อออฟฟิตจะเป็นที่รู้กันดี พี่คนนี้เขาเล่าให้ฟังขำมาก เพราะเขาไม่ใช่ผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์เลยตลกดีค่ะ อันนี้ไม่เกี่ยวกับคนที่ทำงานเสร็จเร็วและมีเวลาว่างเยอะนะคะ คนละส่วนกันค่ะต้องแยกให้ดีเดี๋ยวจะเครียดไปกันหมดค่ะ ทำงานในหน้าที่เสร็จเร็วคนละเรื่องกับการใช้เวลาของบริษัทไปทำอย่างอื่นค่ะ

*********************************************************

รายการวิทยุออนไลน์ "คุ้ยแคะแกะกรรมกับหมอพีร์"
ขอเชิญชวนคุณผู้อ่าน แวะไปร่วมฟังหมอพีร์พูดคุยและคุ้ยแคะแกะกรรม
ในบรรยากาศสบาย ๆ ที่ www.goodfamilychannel.com นะคะ

ท่านที่สนใจพูดคุยกับหมอพีร์ในรายการ
ส่งคำถามมาได้ที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. นะคะ

หรือติดต่อดูดวงกับหมอพีร์ได้ที่
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
๐๘๗-๙๓๔-๗๘๗๑ และ ๐๘๖-๓๐๔-๑๙๒๔
๓๗๙๘/๘๓ หมู่บ้านสรานนท์ ซอยลาดพร้าว ๑๐๑
ถ.ลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ
กรุงเทพมหานคร