Print

ไดอารี่หมอดู - ฉบับที่ ๙๔

morpeeหมอพีร์
พฤษภาคม ๒๕๕๓



สวัสดีค่ะทุกคนที่อ่านไดอารี่หมอดู สำหรับต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีแต่วันครบรอบวันเกิดของคนในครอบครัว เลยถือวันเหล่านี้มาเป็นฤกษ์ดีในการทำบุญค่ะ จัดโปรแกรมไปพักที่เขาใหญ่กัน ชอบภูเขาแถวนั้นมากเลยค่ะสดชื่นดี แถมยังมีวัดเยอะมาก ๆ ขับไปไม่เท่าไหร่ก็เจอแล้ว เหมาะสำหรับการถวายสังฆทานแบบไม่เจาะจงวัด ไม่เจาะจงพระสงฆ์ที่จะรับสังฆทาน คราวนี้จัดชุดสังฆทานเป็นตะกร้าสำหรับใช้ใส่สิ่งของ นอกจากนั้นก็มีน้ำยาขัดพื้น แชมพู ผงซักฟอก แปรงซักผ้า น้ำยาขัดห้องน้ำ แปรงขัดห้องน้ำ กระดาษทิชชู่ และอีกหลาย ๆ อย่างค่ะ อืมลืมไปค่ะ มีใส่ชุดยาสามัญประจำบ้านลงไปด้วย มียาธาตุน้ำแดง ยาธาตุน้ำขาว พลาสเตอร์ ยาเหลือง สำลี แอลกอฮอล์สำหรับล้างแผล ยาพาราเซตามอล ยาแก้ปวดท้อง และอีกหลายอย่างอยู่เหมือนกันค่ะ แต่จำได้ประมาณนี้ และที่ขาดไม่ได้คือหนังสือธรรมะ จัดไว้สามชุดค่ะ แต่วันนั้นฝนตกทำให้ได้ถวายแค่สองชุด เลยต้องมาถวายวันอื่นแทน เอาบุญมาฝากทุกคนด้วยนะคะ

สำหรับอาทิตย์นี้หัวตื้อ ๆ คิดอะไรไม่ค่อยจะออกเท่าไหร่ แต่สุดท้ายมีจุดรอดตายทุกที มีเรื่องราวของสาวสวยคนหนึ่ง เธอเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยมาเองค่ะ เธอบอกว่าเคยดูดวงกับพีร์เมื่อตอนที่พีร์ดูดวงอยู่ที่ซีคอนสแควร์ ไม่ได้ดูดวงกับพีร์มาประมาณห้าปีแล้ว คิดถึงเลยกลับมาดูใหม่ จำหน้าเธอได้อย่างเดียวค่ะ เพราะเธอเป็นสาวที่น่ารักมีเสน่ห์ หน้าตาพอจะเป็นดาราได้เลยเพียงแต่ว่าหน้าเธอน่าจะไม่ค่อยขึ้นกล้องเท่าไหร่ แต่เชื่อไหมค่ะหน้าตาที่สวย ๆ จากบุญเก่าของเธอใช่ว่าจะไม่มีวิบากเลย เธอจะตัวเล็ก ๆ ลักษณะหน้าตาของเธอสวยแต่จะมีบางคนจะไม่ค่อยชอบหน้าเธอเท่าไหร่ ชนิดที่ว่าไปทำงานที่ไหน ต้องเจอคนนินทา หมั่นไส้ ไม่ชอบขี้หน้า หรือมักจะถูกกระแนะกระแหน กระทบกระทั่งกระแทกกระทั้นได้ง่าย หรือบางครั้งก็โดนแทงข้างหลังยับเยินได้ง่าย ๆ เธอเล่าให้ฟังเหมือนกันค่ะว่า พอเริ่มทำงานต้องเจอแต่ปัญหาเรื่องคนแบบนี้จริง ๆ เป็นเรื่องที่เธอปวดหัวมาก ทำให้ต้องมาดูดวงต่อว่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องที่เจอยังไงดี


เธอเล่าให้ฟังว่าไปทำงานยังไม่ทันไรก็โดนหมั่นไส้เอาดื้อ ๆ เลย เธอพูดออกมาว่า ไม่รู้มีกรรมอะไรมานักหนาค่ะพี่พีร์ เจอเรื่องนี้ทำให้ปวดหัว บอกน้องไปว่าไม่แน่ใจว่าครั้งก่อนที่ดูไปจำได้หรือเปล่า ดวงหลัก ๆ ที่จะต้องเดือดร้อนคือเรื่องของสังคมที่ทำงาน ดวงงานเป็นคนที่ไม่ตกอับเรื่องงาน นอกจากใจร้อนลาออกไปก่อน สักพักหนึ่งก็หางานทำใหม่ได้ไม่ยาก แต่ไปทำงานที่ไหนต้องทำใจเรื่องคน บอกให้น้องเขาเริ่มสำรวจจากตัวเองก่อนว่า ชาตินี้เกิดมาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยใช้คำพูดทำให้คนอื่นเสียใจเลยใช่ไหม น้องเขาตอบว่าใช่ค่ะ ยิ่งตอนโมโหหลุดทุกที ชาตินี้เกิดมาไม่เคยนินทาใครเลยใช่ไหม น้องเขาตอบว่านินทาค่ะ คำถามต่อมาคือหนูไม่เคยวิจารณ์หรือล้อเลียนคนอื่นลับหลังเลยใช่ไหม พอจบคำถามประมาณนี้ น้องเขาก็หันไปหัวเราะกับเพื่อนคนข้าง ๆ ว่าเคยทำมาทั้งหมดเลย เป็นเครื่องยืนยันว่าทำผิดมาทั้งหมดนี่แหละค่ะ ดังนั้นเขาได้คำตอบกับตัวเองว่า ชาตินี้ยังทำผิดเลย คงไม่ต้องไปโทษใครแล้วล่ะ บาปของฉันเอง พูดเสร็จน้องเขาเกิดความรู้สึกผิดตาม ก็บอกว่าสิ่งที่ต่อไปที่จะช่วยได้ในตอนต้นคือ รักษาศีลข้อสี่ให้ดี โดยไม่ใช่แค่การไม่โกหก ต้องรวมถึงไม่พูดจาหยาบคาย ไม่กระแนะกระแหนคนอื่น ไม่พูดจาตอนโกรธตอนโมโห เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความเสียใจหรือน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่นินทาคนอื่นลับหลัง ไม่เอาคนอื่นมาพูดล้อเลียนให้เสียหาย การรักษาศีลข้อสี่ให้ดีก่อนเป็นจุดเริ่มต้น หลังจากนั้นทุกครั้งต่อไปนี้เมี่อต้องเจอคำพูดของคนอื่นที่ทำร้ายเรา ให้สอนตัวเองสั้น ๆ ว่ากำลังใช้กรรมที่ทำไป หรืออโหสิกรรมให้เขาไป ถ้ายังไม่หาย ปากเริ่มจะขยับด่าหรืออยากโทรไปเม้าท์ให้คนอื่นฟัง ให้สอนตัวเองคิดในแง่บวกขึ้นมาก่อน เช่น เขาก็เป็นแบบนั้นของเขาแหละ ช่างมันเหอะมันผ่านไปแล้ว มันจบไปแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ คงเป็นเวรเป็นกรรมที่ทำมา ไม่งั้นคงไม่แย่ได้ขนาดนี้หรอก การคิดในแง่บวกช่วยจะเป็นตัวแปรเสริมที่ทำให้เราจะไม่เผลอด่าเขาไปเป็นชุดค่ะ

ถ้าใครยอมรับว่าเป็นวิบากของเราที่ทำมาทั้งนั้น จะไม่ค่อยหลุดออกไปทางวาจาเท่าไหร่หรอกค่ะ จะหยุดตัวเองได้ทัน ยอมรับความเสียใจที่เกิดขึ้นจากปากคนอื่นได้ง่าย ๆ การยอมรับในกรรมไม่ได้หมายถึงจะไม่เจ็บปวดไม่เสียใจเลยนะคะ มันเจ็บปวดมันเสียใจ แต่จะไม่ค่อยคร่ำครวญตามมาทีหลังเท่าไหร่ เช่น ทำไมต้องทำเรา เราไม่เคยทำอะไรให้สักหน่อย แล้วจะเกิดความน้อยใจตามมาอีกเยอะเลย กรรมเล่นงานผิดตัวหรือเปล่า ลงโทษผิดคนไหมเนี่ยะ ไม่ยุติธรรมสำหรับเราเลย แค้น ๆ คับอกคับใจจำไปตลอดชีวิตเลย ดังนั้นการยอมรับในวิบากที่ทำมาทำให้ทุกข์สั้นลงได้ง่ายค่ะ ไม่ใช่ไม่ทุกข์ บางคนจิตไม่ลงง่าย ๆ หรอกค่ะ เพราะเชื่อมั่นว่าฉันไม่ได้ทำมาแน่ ๆ เมื่อก่อนพีร์เป็นบ่อยสมัยที่ยังไม่เคยศึกษาเรื่องกรรม จะรู้สึกเสมอว่าสวรรค์ลงโทษผิดคน อันนี้ถือว่าโทษสวรรค์นะคะ คิดว่าสวรรค์เป็นคนจัดสรรความโชคร้ายที่เจอมาให้ ไม่ได้คิดหรอกค่ะ ว่าบาปที่ทำมานี่แหละเป็นสิ่งที่ให้ผลเราเอง ต่อมาพอเริ่มเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรม ตอนเริ่มต้นจะชอบใช้คำพูดที่ว่า ความบังเอิญโชคร้ายไม่มีในโลก เกิดจากบาปที่ทำมาทั้งนั้น ใจจะสงบลงได้ง่ายค่ะ บางคนก็มีหลายวีธีการเหมือนกันค่ะ สุดท้ายถ้าใจบางคนมันดื้อมากไม่ยอมรับก็ให้ปล่อยมันเลย รักษาศีลไว้อย่าให้ขาดก่อน ใจมันบังคับไม่ได้เรื่องของมันไม่ใช่เรื่องของเรา มันจะโกรธอย่างนี้ก็เรื่องของมัน เดี๋ยวมันทุกข์มาก ๆ มันก็วางของมันเอง อันนี้ไม้ตายไม่ต้องทำอะไรปล่อยมันทุกข์ไปไม่ทำบาปอีกเป็นพอ


ผลของวจีทุจริต หรือใช้คำพูดที่ไม่ดี จะตกแต่งให้หน้าตาโหงวเฮ้งน่าหมั่นไส้แบบไร้สาเหตุได้ง่าย ๆ เลยค่ะ บางคนเท่าที่สำรวจดูแล้วพบว่าชาตินี้รักษาศีลข้อสี่มาได้ดีมากๆ ไม่ขาดแน่นอน อันนี้คงเป็นผลของวิบากเก่าชัวร์ ส่วนบางคนพอสั่งสมกรรมใหม่ไปเรื่อย ๆ วิบากก็จัดสรรให้โหงวเฮ้งเกิดลักษณะน่าหมั่นไส้ ลักษณะที่เห็นแล้วก็ไม่ชอบได้ง่าย พอไปเจอคนที่เขาศีลขาดง่ายเข้า ก็ต้องกลับด้านเป็นผู้ใช้กรรมบ้างเป็นธรรมดา เคยมีดาราอยู่คนหนึ่งนะคะเธอผิดศีลข้อนี้มาก ๆ เหมือนกัน ผลลัพธ์ที่เจอคือมีกระแสถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง ตอนนั้นไม่ค่อยได้ดูข่าวเกี่ยวกับเธอเท่าไหร่ แต่เห็นหน้าก็ทำให้รู้ได้ว่าเธอมีกระแสในทางลบสำหรับคนอื่น และเธอเป็นคนเก่ง อัตตาตัวตนค่อนข้างรุนแรง ทำให้เธอพลาดพลั้งทำบาปเรื่องคำพูดไว้มาก คือพลาดพูดจาไม่ดีใส่คนอื่น ลับหลังชอบเอาคนอื่นมาล้อเลียนมาวิจารณ์มาหัวเราะเยาะในทางสะใจนิด ๆ ด้วย ยิ่งมีความยินดีในบาปที่ทำไป กระแสเธอยิ่งแรงในทางติดลบ เธอมาดูดวงตอนที่กรรมมันให้ผลแล้วทำให้เธอเห็นบาปที่ตนทำไว้ได้ง่าย เธอกำลังทุกข์เรื่องนี้อยู่มาก ๆ พอดี บวกกับเธอมีบุญเก่าทางศาสนาอยู่แล้ว ทำให้เข้าใจเรื่องที่บอกได้ง่าย จิตเธอเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีว่าเป็นเพราะเธอทำไว้ทั้งนั้นเลย เธอกล้ายอมรับอย่างเต็มอกว่าเธอมีนิสัยแบบนั้นจริง ๆ ความรู้สึกผิดเลยเกิดขึ้นในใจเธออย่างแรง อันดับแรกคือต้องรู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปนั้นมันผิดจริง ๆ ก่อน จึงจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และสิ่งที่แนะนำให้เธอเริ่มแก้ไข คือเรื่องการรักษาศีลให้ละเอียดเลย อีกสิ่งหนึ่งที่แนะนำไป คือให้ริเริ่มทำบุญเพื่อสังคมส่วนรวมด้วย

พอเวลาผ่านมาเป็นปี เห็นเธอในทีวีอีกครั้ง รู้สึกว่าเธอทำได้จริง ๆ กระแสของความน่าหมั่นไส้หายไป กระแสของการวิจารณ์ในทางลบของเธอก็หายไป ดูจางลงกว่าเดิมเยอะมาก

การรักษาศีลข้อสี่ไม่ได้มีแค่การไม่โกหกอย่างเดียว เคยบอกว่าคุณผิดศีลข้อสี่มามาก เขายืนยันเลยว่าไม่ผิดแน่นอน เขาไม่โกหกเลย ซึ่งความหมายตอนนั้นไม่ได้หมายถึงการไม่โกหกอย่างเดียว แต่หมายความถึง การกระทบกระทั่งกระแทกกระทั้น หรือการใช้คำพูดตอนโกรธ ตอนหงุดหงิด ตอนรู้สึกไม่ยุติธรรม หรือตอนมีเจตนาให้เขาเสียใจ ให้เขาน้อยเนื้อต่ำใจด้วย

กรรมที่ทำไปเรื่องคำพูดไม่ใช่ให้ผลแค่ธรรมดานะคะ ให้ผลหนักหน่วงถึงขั้นเป็นโรคคิดมาก สุขภาพจิตเสื่อมเป็นโรคซึมเศร้า ต้องกินยาหาหมอ หรือบางรายถึงขั้นเป็นโรคจิตเภทขั้นต้นเลยด้วยซ้ำ เห็นมาเยอะเลยค่ะ การไม่ยับยั้งชั่งใจทางวาจานี่ให้ผลที่หนักเอาเรื่องเลยเหมือนกัน คนส่วนใหญ่บางทีคิดว่าศีลข้อนี้ให้ผลไม่หนัก ความจริงหนักเลยนะคะ ถ้าผิดไม่หนักมากจะเห็นผลตอนเริ่มต้นปฏิบัติธรรม ปฏิบัติยังไม่ก้าวหน้าง่าย ๆ เลยค่ะ เพราะจะเกิดความฟุ้งซ่านง่าย บางคนมัวคร่ำครวญก็มีมาก บางคนชอบได้ยินเสียงแปลก ๆ ขึ้นมาก็มี ขั้นที่เบาที่สุดเวลาให้ผล ก็จะแคร์คำพูดคน เก็บคำพูดคนมาคิดมาก เก็บมาเสียใจข้ามวันข้ามคืน ทั้งที่เขาไม่มีเจตนาจะพูดให้เราเสียใจ แต่ด้วยผลของบาปทำให้ต้องเก็บมาทนทุกข์ได้นานแสนนานก็มีค่ะ

เริ่มแรกเมื่อพยายามรักษาศีลข้อสี่ก็อาจจะมีหลุดบ้าง แต่พอทำไปเรื่อยจนเกิดความเคยชินก็จะทำได้เอง และการเริ่มที่จะฝึกยับยั้งชั่งใจทางคำพูดได้ทุกครั้งที่โกรธ เป็นการสร้างบารมีด้านขันติบารมีได้มากขึ้น คือฝึกความอดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุของกิเลสที่จะทำให้ก่อกรรมทางวาจาได้สำเร็จค่ะ


*********************************************************

รายการวิทยุออนไลน์ "คุ้ยแคะแกะกรรมกับหมอพีร์"
ขอเชิญชวนคุณผู้อ่าน แวะไปร่วมฟังหมอพีร์พูดคุยและคุ้ยแคะแกะกรรม
ในบรรยากาศสบาย ๆ ที่ www.goodfamilychannel.com นะคะ

ท่านที่สนใจพูดคุยกับหมอพีร์ในรายการ
ส่งคำถามมาได้ที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. นะคะ

หรือติดต่อดูดวงกับหมอพีร์ได้ที่
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
๐๘๗-๙๓๔-๗๘๗๑ และ ๐๘๖-๓๐๔-๑๙๒๔
๓๗๙๘/๘๓ หมู่บ้านสรานนท์ ซอยลาดพร้าว ๑๐๑
ถ.ลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ
กรุงเทพมหานคร