Print

ไดอารี่หมอดู - ฉบับที่ ๘๖

morpeeหมอพีร์
มกราคม ๒๕๕๓


สวัสดีเดือนมกราคมนะคะ ในโอกาสที่เป็นเดือนแรกของปี มาเริ่มต้นชีวิตด้วยสิ่งดี กำหนดอนาคตใหม่กันด้วยการรักษาศีลนะคะ

ช่วงปีใหม่หยุดกันหลายวันเลย ไปเที่ยวกลับมาสนุกกันไหมคะ ของพีร์ก่อนเข้ากรุงเทพฯ รถติดตั้งแต่นครสวรรค์เลยค่ะ ไม่เคยใช้เวลาขับรถเข้ากรุงเทพฯ นานขนาดนี้เลย สิบสามชั่วโมงจากลำปางมาถึงกรุงเทพฯ ทรมานมาก ๆ ปีนี้รถค่อย ๆ ขยับทีละนิดเพราะติดรถที่จะเข้าปั๊มน้ำมัน ตอนก่อนกลับพีร์ไปเที่ยวเชียงรายมาค่ะ รถติดในเชียงรายอีก เลยได้ไปอยู่สองที่เอง ไปดอยตุงถ่ายรูปสวนดอกไม้ และอีกที่หนึ่งคือวัดร่องขุ่น พอดีเป็นทางผ่านเลยแวะก่อน สวยดีค่ะ ที่วัดคนเยอะมาก ๆ จอดรถกันจนล้นออกมาเลย มีเรื่องราวที่น่าประทับใจกับวัดอยู่อย่างหนึ่งค่ะ คือก่อนไปไม่ได้ดูรายละเอียดอะไรเท่าไหร่ เห็นแต่รูปไม่กี่รูปเท่านั้นเอง ไม่ได้อ่านรายละเอียดว่ามีอะไรบ้าง พอไปถึงเดินไปเรื่อย ๆ เข้าทางข้างหลังซึ่งจะผ่านห้องน้ำ เดินเข้ามาขวามือเป็นโบสถ์ขาว ซ้ายมือยังสร้างไม่เสร็จ เดินเข้ามาเรื่อย ๆ เจอศาลาซ้ายมือใหญ่มากเป็นสีทอง เกิดความสงสัยว่า คนรอดูอะไรอยู่ทำไมคิวยาวมาก คิดจะไปต่อแถวดูกับเขาบ้าง พอเดินเข้าไปชะงักนิดนึง เขาบอกว่านี่ห้องน้ำ หลังจากนั้นงงมาก ห้องน้ำมันสวยขนาดนี้เลยเหรอ ไม่กล้าเข้าเลยค่าสร้างกี่ล้านไม่รู้เนี่ยะ


ขำกันมาก ๆ เลยค่ะ ว่าห้องน้ำจะสวยงามอลังการงานสร้างขนาดนี้เลยเหรอ ในใจเกิดความสงสัยว่าห้องน้ำทำไมงามขนาดนี้ มีเจตนาสร้างเพื่อให้เข้าห้องน้ำเหรอ ทำไมเมื่อกี๊เดินผ่านมายังเจอห้องน้ำเยอะกว่านี้อีก พอกลับมาที่บ้านน้องหยิบใบปลิวมาด้วย เลยเอามาอ่านดู อาจารย์เฉลิมชัยท่านชี้แจงรายละเอียดไว้ว่าที่ทำห้องน้ำไว้สวยงามขนาดนั้นเพื่อเปรียบเทียบส่วนนี้ว่าเป็นโลกียะ ส่วนโบสถ์ที่เป็นสีขาวใช้แทนโลกุตระความบริสุทธิ์ ท่านเลยใช้สีขาวแทน พออ่านเสร็จนึกขำตัวเองอีก และแอบอุปมาอุปไมยด้วยตัวเอง ประมาณว่าโลกของเราที่คิดว่าสวยงามที่สุด สุดท้ายเป็นสิ่งสกปรกไม่สวยงามเหมือนที่คิด หรือว่าคนไหนที่มีร่างกายงามมากแค่ไหนเป็นแค่เปลือกภายนอก หลงคิดว่าสิ่งเหล่านี้สวยงาม แท้ที่จริงเป็นของสกปรกโสโครกทั้งนั้น ลองให้คนสวย หล่อ ๆ ไม่อาบน้ำสักเดือนหนึ่งสิคะ ไม่รู้จะเห็นว่าสวยหรือหล่อกันอยู่หรือเปล่า สงสัยจะเป็นแบบนี้หรือเปล่าไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ และได้เดินไปใกล้โบสถ์สีขาว ซึ่งก็สวยเหมือนสวรรค์ จริงๆ ค่ะ งามมาก ๆ กลับมาจากวัดก็มานั่งอมยิ้มเรื่องห้องน้ำตลอดเลยค่ะ

ส่วนอาทิตย์นี้นั่งรอเรื่องที่จะนำมาเขียนเป็นอาทิตย์เลยค่ะ คิดไม่ออกเลยว่าจะเอาเรื่องไหนมาเขียน ไม่มีเหตุการณ์อะไรสะดุดใจเท่าไหร่ จนวินาทีสุดท้ายเมื่อคืนก่อนนี้เอง มีพี่คนหนึ่งเธอโทรมาปรึกษาเรื่องวิปัสสนา เริ่มต้นคุยกันเรื่องปฏิบัติธรรม พีร์บอกเธอไปว่าถ้าไม่เกินความรู้ความเข้าใจของตัวเองก็พอตอบได้ และคำถามของเธอไม่เกินความสามารถเท่าไหร่ ทำให้คุยกันไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่จิตใจของเธอจะเป็นโรคกังวล กลัวพลาดทำผิดศีล กลัวการทำบาป กลัวผลของบาป ซึ่งไม่แปลกเลยค่ะธรรมชาติของคนเราเมื่อเริ่มทำความดีมาได้ระดับหนึ่งจะรู้สึกว่าสิ่งที่ต้องทุกข์ที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นเพราะใครทำมาหรอก จิตใจจะเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าเกิดจากการผิดศีลของตัวเองนี่แหละ พอเริ่มเห็นต้นเหตุจากจิตตัวเอง จะเกิดสภาวะต่อมาคือกลัวตัวเองไปพลาดพลั้งผิดศีลข้อไหนเพิ่มอีกโดยไม่ตั้งใจหรือเปล่า ความจริงที่กลัวแบบนี้เพราะรักตัวเอง กลัวตัวเองต้องมาใช้กรรมอีก กลัวความทุกข์จากบาปที่ทำไปมาก ๆ เลยกังวลกลัวพลาดผิดศีล ความจริงเมื่อจิตกระสับกระส่ายเพราะกลัวพลาดทำบาปอีก ให้ตั้งหลักให้ดีว่าการผิดศีลห้านั้นต้องมีเจตนาเป็นองค์ประกอบ เช่นเจตนาฆ่าสัตว์เผลอปัดมันแรงไปหน่อยมันตาย ถือว่าองค์ประกอบของศีลขาดเจตนา หรือใจด่าคนอื่นไปเรียบร้อยแล้วมีสติเห็นทัน ปากยังไม่ทันด่ากริยาไม่ทันแสดงออก ถือว่าศีลห้าครบ ถ้ายึดหลักว่าไม่มีเจตนาทำร้ายเป็นหลักไว้จะทำให้ใจกระสับกระส่ายน้อยลงไม่กลัวว่าตัวเองจะทำผิดศีลมากเกินไป แต่บางคนต้องสังเกตให้ดีนะ กิเลสมันชอบหลอกเราให้คิดว่าเจตนาดี เหมือนประมาณว่าถือช่อดอกกุหลาบแต่ซ่อนมีดดาบไว้ข้างในช่อ คือรู้ว่าเมื่อพูดแบบนี้ไปเขาจะเกิดความเจ็บใจ หรือเขาต้องไปทะเลาะกัน ปากทำเป็นบอกว่าหวังดีนะ พอเขาทะเลาะกันเสร็จเกิดความกระหยิ่มยิ้มย่องสะใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อันนี้วิบากค่อนข้างหนักมีความโสมนัสในกรรมที่ทำไปด้วย ต้องระวังด้วย เหมือนคำสุภาษิตที่ว่าปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ

เธอถามพีร์อีกว่า บางขณะเธอจะเห็นจิตเกิดอาการแปล๊บขึ้นมาและปวดแสบปวดร้อน มันเกิดอะไรขึ้น อาการแบบนี้ไม่แปลกหรอกค่ะ ธรรมชาติของใจมนุษย์สามารถสัมผัสนรกได้ตั้งแต่ยังไม่ตาย จิตตอนนั้นเกิดโทสะเกิดความโกรธขึ้นมาทำให้รู้สึกแบบนี้ได้ หรืออยู่ ๆ ไปเห็นอาการแปล๊บขึ้นมาเลยก็ได้ มีสภาวะตามหลังมาคือปวดแสบปวดร้อน และเล่าให้พี่เขาฟังว่า เคยไปภาวนาที่วัดทางใต้ หลวงพ่อท่านเคยเทศน์เรื่องของจิตไว้ว่า ?จิตมนุษย์เราวัน ๆ หนึ่งมีแต่ท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่? ครั้งกลับมาที่บ้านเกิดอาการหิวข้าวมาก ใจมันอยากกิน ร่างกายยังไม่อยากขนาดนั้น พอกลับมาบ้านเจอของถูกใจรีบตักใส่ปากเหมือนยัดใส่ จำได้ว่าจิตกลับมามองดูเกิดคำพูดผุดขึ้นมาในสมองสั้น ๆ ว่า ?เปรต? เป็นแบบนี้เองเหรอ ไม่อยากจะเชื่อค่ะ เกิดสภาพค้างกินไม่ลงเลย ใจโลภอยากกินเข้าไปมาก ทั้งที่ร่างกายยังไม่ได้ต้องการขนาดนั้น เหมือนกินสนองความอยาก สะอึกไปหลายวันเหมือนกันหลังจากนั้นเลยเข้าใจสภาวะคำว่าเป็นเปรตตั้งแต่ยังไม่ตาย หลัง ๆ เวลากินตามกิเลสขึ้นมา จิตจำคำว่าเปรตได้เลยค่ะ

มีบางครั้งค่อนข้างยึดมั่นความคิดเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ อยากให้คนใกล้ตัวเห็นตามตัวเองหมดใครไม่เห็นด้วยก็โกรธ เห็นภูมิอสุรกายขึ้นมาชัด ๆ เลยค่ะ หรือบางวันใจลอย เหม่อลอยมึน ๆ ขึ้นมา เป็นสัตว์ตั้งแต่ยังไม่ตายอีก มีอยู่อีกวันหนึ่ง มีคนหนึ่งทำให้เกลียดมาก จิตใจมันโทษแต่เขาว่าไม่ดีเลวมากเกลียด คิดย้ำ ๆ ถ้ามาทำให้ฉันเดือดร้อนจะตบกลับไป หรือมาแล้วจะจัดการให้หงายหลังกลับไปเลย สติไวกลับมาเห็นจิตจมลงหลุมนรกชัดมากเลยค่ะ ถ้าไม่ฝึกสติมานี่คงแช่ลงไปทุกภพทุกภูมิแน่ๆ เห็นผลของการฝึกเจริญสติมาก ๆ เลยค่ะว่า เมื่อรู้ทันอาการทางใจเหล่านี้ จะเกิดการแยกออกมาไม่จมลงไปเป็นตัวตน ลองสังเกตใจตัวเองแต่ละวันดูกันนะคะ ว่ากำลังลงอยู่ภูมิไหนกันบ้าง ยิ่งคนไหนยอมจมอยู่กับความเศร้า คิดแต่เรื่องเศร้า แช่อยู่กับอารมณ์นี้เท่ากับซ้อมลงนรกทุกวันเลยค่ะ

หลักมีอยู่ว่าเมื่อจิตถูกโลภะครอบงำ จะมีสภาวะเอาเข้าตัว เช่น ห่วงลูก ห่วงหลาน ห่วงสมบัติ หวงของรัก อยากกินมาก เป็นทางที่ไปเป็นเปรต จิตถูกโทสะครอบงำ จะมีสภาวะผลักออกไปไกล เช่น กลัว เศร้าหมอง หงุดหงิดเกลียดชัง ภูมิที่เสวยอยู่คือนรก จิตถูกโมหะครอบงำ จะมีสภาวะเบลอ ๆ ใจลอย ไม่รู้เรื่องอะไร ฟุ้งซ่าน หดหู่ ภูมิที่จะไปคือเดรัจฉาน จิตเกิดความยึดมั่นตัวตนรุนแรง อีโก้จัด อัตตาจัด ภูมิที่ไปคืออสุรกาย จิตมีความสุข สบายสว่าง ภูมิที่ไปคือสวรรค์ จิตเกิดความสงบในสมาธิอยู่ในฌานก่อนตายภูมิที่จะไปคือเป็นพรหมโลก

เมื่อพบว่าจิตตัวเองมีลักษณะในทางไม่ดี มีทางออกตรงนี้ค่ะ เช่น จิตถูกความโลภครอบงำ แก้ได้โดยฝึกเป็นคนเสียสละทำทานบ่อย ๆ จิตถูกความโกรธครอบงำ ให้ฝึกเจริญเมตตามาก ๆ จิตถูกโมหะครอบงำ ฝึกขยับตัว เช่นเดินจงกรมรู้กาย การเล่นกีฬา ออกกำลังกายเป็นของแก้โมหะ แต่ที่ดีกว่านี้คือฝึกวิปัสสนาไปเลย จิตจะไม่ติดในภูมิใดภูมิหนึ่ง จะมีแต่ว่ามีโลภะก็รู้ มีโทสะก็รู้ มีโมหะก็รู้ ฝึกหนทางที่เป็นกลางนำไปสู่เส้นทางพระนิพพาน

จิตของคนเราเมื่อทำความดีตรงกันข้ามกับทางเดิมมาก ๆ สิ่งแรกที่จะสัมผัสได้คือกรรมมีจริง กรรมเกิดจากการกระทำของตัวเองทั้งนั้น จิตจะไม่โทษคนอื่นว่าเขาทำเรา หลังจากนั้นจิตจะสัมผัสกับนรกสวรรค์ได้ในใจตั้งแต่ยังไม่ตาย จะเชื่อว่าภพชาติมีจริง เพราะจะเห็นว่าจิตของเราท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ตลอดเวลา ถ้าไม่ฝึกสติไว้เลยเราก็จะไปติดอยู่ในภพภูมิเหล่านั้น ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นอบายภูมิ ดังนั้นมาเริ่มฝึกสติกันเลยดีกว่าค่ะ

**************************************************************

รายการวิทยุออนไลน์ "คุ้ยแคะแกะกรรมกับหมอพีร์"
ขอเชิญชวนคุณผู้อ่าน แวะไปร่วมฟังหมอพีร์พูดคุยและคุ้ยแคะแกะกรรม
ในบรรยากาศสบาย ๆ กับตอนใหม่ล่าสุดกันได้ทุกสองสัปดาห์
ที่ www.goodfamilychannel.com นะคะ

สำหรับฉบับนี้พบกับ

ตอนที่ ๓๓ เรื่องสนุกๆ ของคุณนุ่น สาวกราฟฟิกดีไซน์ ทำไมรักแป๊บเดี๋ยว เดี๋ยวก็เลิกแล้ว ทำไงดีคะหมอพีร์
http://www.goodfamilychannel.com/video/337/ใหม่ล่าสุดไดอารี่หมอดู-คุ้ยแคะแกะกรรมกับหมอพีร์-ตอน-33

ตอนที่ ๓๔ หนุ่มกอล์ฟกลัวกรรมเก่าจะตามมา ว่าแต่ไปทำอะไรมาหละ ต้องรีบฟัง :)
http://www.goodfamilychannel.com/video/338/ใหม่ล่าสุดไดอารี่หมอดู-คุ้ยแคะแกะกรรมกับหมอพีร์-ตอน-34

ท่านที่สนใจพูดคุยกับหมอพีร์ในรายการ
ส่งคำถามมาได้ที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. นะคะ

หรือติดต่อดูดวงกับหมอพีร์ได้ที่
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
๐๘๗-๙๓๔-๗๘๗๑ และ ๐๘๖-๓๐๔-๑๙๒๔
๓๗๙๘/๘๓ หมู่บ้านสรานนท์ ซอยลาดพร้าว ๑๐๑
ถ.ลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ
กรุงเทพมหานคร