Print

แง่คิดจากหนัง - ฉบับที่ ๑๘๖

คนไม่รู้จักพอ

shortstoryงดงาม




Prince of Persia

(รูปภาพประกอบจาก http://www.hdwallpapers.in/prince_of_persia_sands_of_time-wallpapers.html)

ภาพยนตร์ Prince of Persia เป็นเรื่องเจ้าชายแห่งอาณาจักรเปอร์เซียในยุคอดีต
พระเอกในเรื่องชื่อว่า “ดัสแทน” (Dastan) ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าบิดามารดา
เมื่อสมัยยังเด็ก ดัสแทนได้แสดงวีรกรรมอันกล้าหาญช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งในตลาด
พระราชาแห่งเปอร์เซียได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว จึงได้รับดัสแทนเป็นโอรสบุญธรรม
จากเด็กกำพร้าในตลาด ดัสแทนจึงได้กลายมาเป็นเจ้าชายแห่งเปอร์เซีย
แต่ดัสแทนไม่มีสิทธิ์สืบราชบัลลังก์ เพราะว่าเขาไม่ได้เป็นเจ้าชายโดยสายโลหิต
พระราชาแห่งเปอร์เซียยังมีโอรสโดยสายโลหิตอีก ๒ องค์ได้แก่ ทัส (Tus) และการ์ซิฟ (Garsiv)
โดยทัสเป็นเจ้าชายองค์โต และเป็นรัชทายาทที่จะสืบครองราชย์บัลลังก์องค์ต่อไป
การ์ซิฟเป็นเจ้าชายองค์รอง และดัสแทนเป็นเจ้าชายองค์สุดท้าย

เจ้าชายทัสได้รับพระบัญชาจากพระราชาให้นำกองทัพเปอร์เซีย
ไปบุกยึดเมืองคอชคาน (Koshkhan) ซึ่งเป็นศัตรูของอาณาจักรเปอร์เซีย
โดยเจ้าชายทัสนำทัพเดินทางไปพร้อมกับเจ้าชายการ์ซิฟ และเจ้าชายดัสแทน
พร้อมด้วยน้องชายของพระราชา ซึ่งมีชื่อว่า นีซาม (Nizam)
และมีฐานะเป็นพระเจ้าอาขององค์ชายทั้ง ๓
ภายหลังจากได้ชัยชนะเมืองคอชคาน และระหว่างเดินทัพกลับนั้น
กองทัพของเปอร์เซียได้เดินทางผ่านมายังเมืองอลามัต (Alamut)
ซึ่งผู้คนมีความเชื่อกันว่าเป็นนครศักดิ์สิทธิ์

ในเวลานั้น นีซามได้แจ้งต่อเจ้าชายทัสว่า
สายลับทหารของนีซามได้โจมตีกองคาราวานจากเมืองอลามัต
และพบหลักฐานว่าเมืองอลามัตได้แอบผลิตอาวุธขายให้กับเมืองคอชคาน
ซึ่งเท่ากับว่าเมืองอลามัตแอบช่วยเหลือศัตรูของอาณาจักรเปอร์เซีย
เจ้าชายทัสตรัสว่าพระราชาแห่งเปอร์เซียได้ตรัสห้ามมิให้แตะต้องเมืองอลามัต
แต่ว่าพระราชาไม่ได้ทรงอยู่ในกองทัพในขณะนี้ ดังนั้นตนเองจึงต้องตัดสินใจเรื่องดังกล่าว

เจ้าชายทัสได้ทรงนำเรื่องดังกล่าวปรึกษาหารือกับนีซาม การ์ซิฟ และดัสแทน
ซึ่งนีซาม และการ์ซิฟสนับสนุนให้เข้าโจมตีเมืองอลามัต
แต่ดัสแทนคัดค้าน โดยให้เหตุผลว่าพระราชาสั่งให้โจมตีเมืองคอชคาน
ไม่ได้สั่งให้โจมตีเมืองอลามัต ซึ่งกำแพงเมืองอลามัตแข็งแกร่งมาก
ดัสแทนไม่ต้องการที่จะให้เหล่าทหารเปอร์เซียต้องล้มตาย โดยไม่จำเป็น
แต่ในที่สุด เจ้าชายทัสได้ตัดสินใจเลือกที่จะเข้าโจมตีเมืองอลามัต

เมื่อเจ้าชายทัสตัดสินใจดังกล่าวแล้ว
ดัสแทนและการ์ซิฟต่างแย่งกันขอนำกองทหารตนเองออกรบก่อน
แต่เจ้าชายทัสได้ตัดสินใจมอบหมายให้การ์ซิฟเป็นผู้นำกองทหารเข้าโจมตีเป็นคนแรก
ดัสแทนรู้ดีว่าการ์ซิฟถนัดแต่การรบแบบตรง ๆ
ซึ่งจะทำให้ทหารทั้ง ๒ ฝ่ายต้องสูญเสียเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น ในระหว่างที่การ์ซิฟนำกองทหารไปที่ประตูหน้าของเมืองอลามัต เพื่อเตรียมการบุก
ดัสแทนก็ได้นำกองทหารกลุ่มเล็ก ๆ ของตนไปลอบปีนเข้าเมืองทางกำแพงเมืองอีกด้านหนึ่ง

ในเวลานั้น เมืองอลามัตอยู่ในการปกครองของเจ้าหญิงทามินา (Tamina) ซึ่งเป็นนางเอกในเรื่อง
ภายในเมืองอลามัตมีสถานที่เก็บซ่อนผลึกแก้วซึ่งบรรจุทรายแห่งกาลเวลาเอาไว้
และเป็นที่เก็บรักษากริชวิเศษที่สามารถแทงทะลุผลึกแก้วและปลดปล่อยทรายแห่งกาลเวลาได้
เมื่อมีการปลดปล่อยทรายแห่งกาลเวลา จะทำให้ผู้ปลดปล่อยสามารถย้อนเวลาได้
กริชวิเศษ และผลึกแก้วดังกล่าวได้รับการดูแล โดยผู้พิทักษ์จากรุ่นสู่รุ่น
โดยในปัจจุบัน เจ้าหญิงทามินาเป็นผู้พิทักษ์กริชวิเศษ และผลึกแก้วดังกล่าว

เมื่อเห็นกองทัพเปอร์เซียเดินทัพเข้ามาใกล้ และมีทีท่าว่าจะเข้าโจมตีเมืองอลามัต
เจ้าหญิงทามินาได้สั่งให้เตรียมพร้อมสูงสุด และตนเองได้ไปเตรียมขนย้ายกริชวิเศษ
ขุนนางแห่งเมืองอลามัตเห็นว่าเจ้าหญิงทามินาตื่นเต้นเกินไป จึงได้กล่าวว่า
เมืองอลามัตไม่เคยถูกโจมตีแตกในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ผ่านมา
เจ้าหญิงทามินาได้ตอบขุนนางนั้นว่า ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลเวลา
(กล่าวคือ เมืองอลามัตไม่เคยถูกโจมตีแตกในอดีต ก็อาจจะถูกโจมตีแตกในปัจจุบันก็ได้)
ซึ่งคำตอบนี้ ถือว่าตรงตามหลัก “อนิจจัง” คือสิ่งต่าง ๆ ล้วนแต่ไม่เที่ยงนะครับ

ดัสแทนสามารถนำกองทหารกลุ่มเล็ก ๆ ของตนลักลอบเข้าเมืองอลามัตได้สำเร็จ
และได้เปิดประตูเมืองอีกด้านหนึ่งให้กองทัพเปอร์เซียเข้าไปยึดเมืองอลามัตได้อย่างสะดวก
เมื่อเมืองอลามัตถูกยึดแล้ว เจ้าหญิงทามินาได้ตรัสยืนยันกับเจ้าชายทัสว่า
เมืองอลามัตไม่ได้ผลิตอาวุธขายให้กับเมืองคอชคานดังที่เจ้าชายทัสเชื่อและกล่าวอ้าง

เมื่อพระราชาแห่งเปอร์เซียได้ทรงทราบข่าวการโจมตีเมืองอลามัตแล้ว
พระองค์ก็ได้รีบเสด็จมาที่เมืองอลามัต และทรงตำหนิเจ้าชายทัสว่า ตัดสินใจไม่รอบคอบ
โดยการโจมตีเมืองอลามัตนี้ จะทำให้เหล่าเมืองพันธมิตรของเปอร์เซียไม่พอใจ
เจ้าชายทัสได้ทูลต่อพระราชาว่า ตนเองจะค้นหาหลักฐานในเมืองอลามัต
เพื่อให้ยืนยันได้ชัดเจนว่า เมืองอลามัตผลิตอาวุธขายให้กับเมืองคอชคานจริง ๆ

ระหว่างที่เจ้าชายทัสไปค้นหาหลักฐานดังกล่าวตามสถานที่ในเมืองอลามัตนั้น
กองทัพเปอร์เซียได้จัดงานเลี้ยงในเมืองอลามัต
โดยในงานเลี้ยงนั้น พระราชาแห่งเปอร์เซียทรงกล่าวชื่นชมเจ้าชายดัสแทน
ว่าทรงทราบข่าวว่าดัสแทนได้กลายเป็นนักรบเปอร์เซียผู้ยิ่งใหญ่
ดัสแทนได้ทูลพระราชาว่า ตนเองเพียงหวังช่วยไม่ให้ต้องเสียเลือดเนื้อผู้คนจำนวนมาก
พระราชาแห่งเปอร์เซียได้ฟังแล้วตรัสว่า คนดีย่อมกระทำดังเช่นดัสแทน
คือการกระทำที่มั่นคง กล้าหาญ ได้ชัยชนะโดยไม่เข่นฆ่า
แต่สำหรับผู้ยิ่งใหญ่นั้น จะต้องหยุดมิให้สงครามเกิดขึ้น
ผู้ยิ่งใหญ่จะหยุดในสิ่งที่เขารู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ว่าจะมีใครบัญชาเขาก็ตาม
พระราชาแห่งเปอร์เซียกล่าวต่อไปว่า เด็กที่พระองค์ได้เห็นในตลาดในอดีตนั้น
สามารถทำสิ่งที่เหนือกว่า “แค่ดี” ได้ เพราะเขาคือผู้ยิ่งใหญ่

ต่อมา พระราชาแห่งเปอร์เซียได้ถูกลอบวางยาพิษสิ้นพระชนม์ในงานเลี้ยงนั้นเอง
โดยเจ้าชายดัสแทนถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้วางยาพิษดังกล่าว
ในเหตุการณ์วุ่นวายนั้น ดัสแทนได้พาเจ้าหญิงทามินาหลบหนีออกมาจากเมืองอลามัต
พระเอกและนางเอกทั้งสองคนได้เดินทางผจญภัยพบเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย
รวมทั้งดัสแทนได้มีโอกาสใช้กริชวิเศษ และทรายแห่งกาลเวลาบางส่วนที่บรรจุในกริชนั้น
เพื่อย้อนเวลา และเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่าง ๆ

ในช่วงแรกภายหลังที่หลบหนีมานั้น ดัสแทนเข้าใจผิดว่า เจ้าชายทัสเป็นผู้วางยาพิษพระราชา
แต่ต่อมา ดัสแทนได้พบความจริงว่าผู้วางยาพิษนั้น แท้จริงคือนีซาม
โดยนีซามหลอกให้เจ้าชายทัสโจมตีเมืองอลามัต
เพราะนีซามต้องการจะใช้กริชวิเศษและทรายแห่งกาลเวลาย้อนเวลาไปเปลี่ยนอดีต
โดยแก้ไขเหตุการณ์บางอย่าง ทำให้พระราชาแห่งเปอร์เซีย ซึ่งเป็นพี่ชายตนเองตายตั้งแต่ยังเด็ก
และตนเองจะได้เป็นพระราชาแห่งเปอร์เซียแทนพี่ชาย

เมื่อทราบความจริงนี้แล้ว ดัสแทนได้ลอบเข้าไปพบเจ้าชายทัส เพื่อเล่าความจริงให้ฟัง
เจ้าชายทัสไม่เชื่อดัสแทน และไม่เชื่อเรื่องกริชวิเศษ และทรายแห่งกาลเวลา
ดัสแทนจึงสอนวิธีใช้กริชวิเศษ ซึ่งบรรจุทรายแห่งกาลเวลาให้กับเจ้าชายทัส
จากนั้น ดัสแทนก็ใช้กริชดังกล่าวแทงตนเองตาย เพื่อแสดงความจริงใจ
ก่อนที่จะใช้กริชแทงตนเองนั้น ดัสแทนได้กล่าวว่า
ตนเองน่าจะทำก่อนที่กองทัพจะบุกเมืองอลามัต
เจ้าชายทัสทรงถามว่า ดัสแทนหมายถึงอะไร?
ดัสแทนตอบว่า ทำในสิ่งที่ตนเองรู้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร
(กล่าวคือ ดัสแทนควรจะห้ามกองทัพเปอร์เซียมิให้เข้าโจมตีเมืองอลามัต)
ซึ่งถึงดัสแทนจะใช้กริชแทงตนเองตายก็ตาม แต่เจ้าชายทัสได้ใช้กริชวิเศษย้อนเวลา
เรื่องราวจึงย้อนเวลากลับไปยังเวลาที่ดัสแทนยังไม่ตาย และเรื่องก็ดำเนินต่อไป

ในตอนท้ายของเรื่อง ดัสแทนสามารถเปิดโปงต่อทุกคนได้ว่า
นีซามคือผู้หลอกลวงให้กองทัพเปอร์เซียเข้าโจมตีเมืองอลามัต
นีซามจึงเข้าทำร้ายและต่อสู้กับดัสแทน และได้พ่ายแพ้ต่อดัสแทน
ดัสแทนได้กล่าวกับนีซามว่า “ท่านมีทุกสิ่งที่ทุกคนฝันจะมี
มีความรัก ความนับถือ และครอบครัว
แต่เพียงแค่นั้น ยังไม่เพียงพอสำหรับท่านใช่ไหม?”

จริง ๆ แล้ว เรื่องราวในภาพยนตร์ซับซ้อนกว่านี้ และมีหักมุมบางอย่าง
โดยผมไม่ได้เล่า เพราะเผื่อว่าบางท่านจะสนใจไปหาชมเองนะครับ
แต่ประเด็นที่จะสื่อในบทความนี้ก็คือ ความไม่รู้จักพอของคนเรา
นีซามเป็นถึงน้องชายพระราชา และมีชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่าง
เขามีทุกอย่างที่คนอื่นจำนวนมากฝันที่จะมี
แต่เขาเองก็ยังไม่พอใจ เขายังอยากจะได้เป็นพระราชาให้ได้
และความอยากนั้นเองก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องทำเรื่องเลวร้ายมากมาย
แล้วก็นำพาเขาไปพบกับจุดจบอันไม่พึงปรารถนา

เรื่องราวของคนที่ไม่รู้จักพอนี้ ก็ไม่ได้มีแต่ในนิยายนะครับ
ในชีวิตจริงของเรานั้น เราก็คงจะได้มีโอกาสเห็นกันอยู่บ่อย ๆ
เมื่อใดก็ตามที่เราหลงตามตัณหาแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่จะไม่รู้จักพอ
เพราะว่าไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ หรือมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ ฉันใด
ความอิ่มด้วยกามย่อมไม่มีในโลก ฉันนั้น

ถ้าเราเติมเชื้อให้ไฟลงไปเรื่อย ๆ ไฟก็ยิ่งกองใหญ่ขึ้น ๆ
ถ้าเราเติมน้ำลงในมหาสมุทรเรื่อย ๆ มหาสมุทรก็ยิ่งใหญ่ขึ้น มีน้ำมากขึ้น
ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราเติมกามให้กิเลสตัณหาไปเรื่อย ๆ
กิเลสตัณหาก็มีแต่จะใหญ่โตขึ้น ๆ และไม่ได้ลดน้อยลง
ฉะนั้นแล้ว หากเราต้องการจะแก้ไขปัญหาทุกข์จากกิเลสตัณหา
เราก็พึงต้องอาศัยธรรมะ (โดยย่อคือ ทาน ศีล ภาวนา) นะครับ
การเติมกามลงไปให้กิเลสตัณหานั้น ไม่ได้ทำให้เราพบความสุขที่แท้
เพราะว่ากองไฟกิเลสตัณหากลับจะยิ่งกองใหญ่ขึ้น และเผาใจเราไปได้เรื่อย ๆ