Print

แง่คิดจากหนัง - ฉบับที่ ๑๖๑

เรื่องของคนอยากย้อนเวลา

shortstoryงดงาม




movie-161 

รูปภาพประกอบจาก http://www.dbcovers.com/big-poster-of-la-maquina-del-tiempo-2002-la_maquina_del_tiempo_2002_4

เรื่องของการเดินทางข้ามเวลาไม่ได้มีแต่เฉพาะในการ์ตูนโดเรมอนเท่านั้นนะครับ
แต่มีภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องเลยที่มีการเดินทางข้ามเวลา ซึ่งในบรรดาหลาย ๆ เรื่องนั้น
เรื่องที่ผมชอบเนื้อหาของเรื่องมากที่สุดก็คือ The Time Machine (ปี 2002) ครับ
(เรียนย้ำว่าภาพยนตร์ปี 2002 นะครับไม่ใช่ปี 2012 คือเป็นภาพยนตร์เมื่อ 10 ปีก่อนโน้น)

ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นเมื่อเหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1989 ในกรุงนิวยอร์ก
“อเล็กซานเดอร์” เป็นนักประดิษฐ์แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มีแฟนสาวชื่อว่า “เอ็มม่า”
ในคืนหนึ่ง อเล็กซานเดอร์ได้พาเอ็มม่าไปเดินเที่ยวในสวนสาธารณะ และได้ขอแต่งงานกับเธอ
ปรากฏว่าจู่ ๆ ก็มีคนร้ายถือปืนมาปล้นทรัพย์ และเกิดเหตุการณ์ทำให้ปืนลั่นถูกเอ็มม่าตาย
หลังจากนั้น เวลาผ่านไป 4 ปี อเล็กซานเดอร์ได้ซุ่มเก็บตัวไม่ยอมพบปะกับผู้คน
โดยเขาได้สร้างเครื่องเดินทางข้ามเวลา หรือที่เรียกว่าเครื่องไทม์แมชชีน (Time Machine)

เมื่อสร้างเครื่องไทม์แมชชีนสำเร็จแล้ว
อเล็กซานเดอร์ก็ใช้เครื่องไทม์แมชชีนนี้เดินทางย้อนเวลากลับไปในคืนที่เอ็มม่าถูกปืนลั่นตายนั้น
โดยอเล็กซานเดอร์เดินทางไปถึงก่อนเวลา และได้พาเอ็มม่าออกมาจากสวนสาธารณะเสียก่อน
เพื่อไม่ให้ตัวเขาในอดีตได้พบเธอ ขอเธอแต่งงาน และจะโดนคนร้ายถือปืนมาปล้น
(กล่าวคือเขาย้อนเวลากลับไปเพื่อไปเปลี่ยนอดีตเพื่อช่วยชีวิตแฟนของเขานั่นเอง)

ปรากฏว่าแม้อเล็กซานเดอร์ในปัจจุบันจะพาเอ็มม่าออกมาจากพื้นที่สวนสาธารณะแล้วก็ตาม
แต่เอ็มม่าก็ต้องมาตายในคืนเดียวกันนั้นด้วยอุบัติเหตุถูกรถม้าพุ่งชนและทับตาย
อเล็กซานเดอร์ในปัจจุบันก็มานั่งคิดหาคำตอบว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?
เพราะในเมื่อเขาได้พาเอ็มม่าออกมาจากพื้นที่สวนสาธารณะแล้ว เธอก็น่าจะรอดตาย
ในเมื่อเขาได้เปลี่ยนอดีตไปแล้ว แต่ทำไมเอ็มม่าจึงยังตายอยู่?

ถ้าเป็นเรา ๆ ท่าน ๆ ก็อาจจะคิดว่า อย่างนี้เราขอลองอีกสักที หรือสองทีใช่ไหมครับ
เราอาจจะขอลองย้อนเวลาไปเปลี่ยนอดีตอีกสักที หรือสองทีแล้วดูว่าเอ็มม่าจะรอดไหม
แต่อเล็กซานเดอร์ไม่คิดอย่างนั้นครับ เขาเห็นว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ
และต่อให้เขาจะย้อนเวลากลับไปอีกกี่หนก็ตาม เอ็มม่าก็จะตายในคืนนั้นอยู่ดี
ดังนี้ หากเขาจะย้อนเวลาไปทดลองหลาย ๆ หนแล้ว
สิ่งที่เขาจะได้ก็คือ ได้เห็นเอ็มม่าตายหลาย ๆ หนเท่านั้น ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร

อเล็กซานเดอร์ไม่ทราบคำตอบสำหรับคำถามว่าทำไมเขาจึงไม่สามารถช่วยชีวิตเอ็มม่าได้
และเขาก็มองว่า เขาไม่สามารถหาคำตอบได้ในอดีต และในปัจจุบัน
เนื่องจากวิทยาการและความรู้ยังไม่เจริญก้าวหน้าเพียงพอที่จะตอบคำถามนี้แก่เขา
เขาจึงใช้เครื่องไทม์แมชชีนเดินทางไปในอนาคต เพื่อหาคำตอบสำหรับคำถามนี้
(ซึ่งเขาเชื่อว่าเมื่อเขาได้คำตอบแล้ว จะได้นำมาใช้เป็นแนวทางเพื่อช่วยชีวิตเอ็มม่าต่อไป)

อเล็กซานเดอร์ได้เดินทางไปในอนาคตเป็นร้อย ๆ ปี และได้ไปเข้าห้องสมุดในโลกอนาคต
เพื่อหาคำตอบสำหรับคำถามของเขา แต่ก็ไม่พบข้อมูลอะไรที่จะตอบคำถามให้แก่เขาได้
เขาเดินทางข้ามเวลาไปจนกระทั่งพบช่วงเวลาที่ดวงจันทร์พุ่งชนโลก
แล้วเขาก็ข้ามเวลาผ่านไปอีกเป็นเวลาประมาณ 8 แสนปีในอนาคต
ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นยุคที่วิทยาการของมนุษย์นั้นเสื่อมถอยแล้ว
โดยเผ่าพันธุ์มนุษย์แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือมนุษย์ธรรมดา และมนุษย์กลายพันธุ์

มนุษย์กลายพันธุ์นั้นส่วนใหญ่จะมีร่างกายแข็งแรงกว่ามนุษย์ธรรมดา
โดยมีลักษณะคล้าย ๆ กับมนุษย์วานร และมีสติปัญญาน้อย ยกเว้นมนุษย์กลายพันธุ์ที่เป็นหัวหน้าเผ่า
หัวหน้าเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์นั้นมีปัญญาชาญฉลาด และมีพลังจิตอ่านความจำของมนุษย์คนอื่นได้
มนุษย์กลายพันธุ์นั้นมีชีวิตอาศัยอยู่โดยจับมนุษย์ธรรมดานี้ไปกินเป็นอาหาร
“มารา” เป็นมนุษย์ธรรมดา และได้ถูกเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์จับตัวไป
อเล็กซานเดอร์จึงบุกเดี่ยวเข้าไปช่วยมาราถึงถ้ำของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์
และได้ไปพบเผชิญหน้ากับหัวหน้าเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์

ปรากฏว่าเดิมทีที่อเล็กซานเดอร์ได้ไปเข้าห้องสมุดในโลกอนาคต
ซึ่งมีวิทยาการและเทคโนโลยีทันสมัย มีระบบคอมพิวเตอร์ ระบบดิจิตอลมากมาย
แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบสำหรับคำถามเกี่ยวกับเรื่องของเอ็มม่าได้
แต่เมื่อได้มาพบเผชิญหน้ากับหัวหน้าเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ในถ้ำ
ซึ่งมีแต่ดิน หิน ทราย และไม้ โดยไม่มีคอมพิวเตอร์ และไม่มีไฟฟ้านี่นะครับ
อเล็กซานเดอร์กลับได้พบคำตอบ โดยหัวหน้าเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์เป็นผู้เฉลยคำตอบให้ครับ

เมื่อหัวหน้าเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ได้พบหน้าอเล็กซานเดอร์ปุ๊บ ก็อ่านความจำของเขา
หัวหน้าเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ได้กล่าวว่ามนุษย์ในโลกนั้นต้องทุกข์
เพราะคำว่า “What if ...” ซึ่งแปลว่า “มันจะเป็นอย่างไรนะ ถ้า ...”
หมายถึงว่า สิ่งใด ๆ ก็ตามที่ผ่านไปแล้ว แต่มนุษย์เราก็ยังเก็บมาครุ่นคิดให้ตนเองทุกข์
โดยก็ลุ่มหลงคิดว่า มันคงจะดีกว่านี้ ถ้ามีอย่างนั้น ถ้าทำอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างโน้น ฯลฯ
อย่างกรณีของอเล็กซานเดอร์นั้น เอ็มม่าเธอได้ตายไปแล้ว
แต่เขาก็หมกมุ่นอยู่แต่ว่า เรื่องราวจะต้องดีกว่านี้ถ้าเอ็มม่าเธอไม่ตาย

จากนั้น หัวหน้าเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ก็เฉลยคำตอบให้แก่อเล็กซานเดอร์ว่า
อเล็กซานเดอร์ไม่มีทางที่จะใช้เครื่องไทม์แมชชีนไปช่วยชีวิตเอ็มม่าได้
เพราะว่าเขาสร้างเครื่องไทม์แมชชีนขึ้นมาเนื่องจากเอ็มม่าตาย
หากเอ็มม่าไม่ตาย ก็จะไม่มีเครื่องไทม์แมชชีนเกิดขึ้นมา
(ในกรณีนี้ มีศัพท์เทคนิคเรียกว่า “Temporal paradox” ซึ่งแปลว่า “ความขัดแย้งทางกาลเวลา”
ทำนองเดียวกับว่าคนเราจะไม่สามารถย้อนเวลาไปฆ่าบรรพบุรุษตนเองได้ ทำนองนั้นครับ)

หัวหน้าเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์เฉลยคำตอบแล้ว
เขายังอธิบายเพิ่มเติมว่า จริง ๆ แล้วอเล็กซานเดอร์ไม่ต้องสร้างเครื่องไทม์แมชชีนขึ้นมาก็ได้
เพราะว่ามนุษย์ทุกคนก็มีเครื่องไทม์แมชชีนส่วนตัวอยู่ในใจตนเองอยู่แล้ว
การที่เราเดินทางไปในอดีต ก็คือคิดไปในอดีตความทรงจำ เรียกว่า Memory
การที่เราเดินทางไปในอนาคต ก็คือฝันไปในเรื่องอนาคต เรียกว่า Dream
เมื่อหัวหน้าเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์กล่าวจบแล้ว เขาก็บอกอเล็กซานเดอร์ว่า
อเล็กซานเดอร์เดินทางข้ามเวลามาเพื่อหาคำตอบสำหรับคำถามเกี่ยวกับเอ็มม่า
ขณะนี้เขาได้คำตอบแล้ว ก็ควรจะเดินทางกลับไปในช่วงเวลาของตนเองได้แล้ว

อเล็กซานเดอร์จะตัดสินใจเดินทางกลับไปในเวลาของตนเอง
หรือจะอยู่ในโลกอนาคตต่อไป เพื่อต่อสู้กับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหลาย
เพื่อช่วยมาราที่โดนจับอยู่นั้น ผมไม่เฉลยตอนจบของเรื่องก็แล้วกันนะครับ 

สมมุติว่าเราได้ประสบปัญหาความทุกข์ใด ๆ เหมือนกับอเล็กซานเดอร์ เราจะทำอย่างไรดี?
ปัญหาความทุกข์ในใจของอเล็กซานเดอร์นั้น ไม่ใช่เกิดจากการที่เอ็มม่าตาย
แต่เกิดจากความที่เขาไม่อยากจะให้เอ็มม่าตาย หรือความที่เขาต้องการให้เอ็มม่ามีชีวิตอยู่
เมื่อเขาประสบกับความทุกข์ในใจดังกล่าวแล้ว เขาก็พยายามจะแก้ไขความทุกข์นั้น
โดยการที่เขาไปมุ่งแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ภายนอกให้ได้ดังใจ
เขาสร้างเครื่องไทม์แมชชีนเดินทางข้ามเวลาไปเปลี่ยนสิ่งอื่น ๆ ในอดีต
แต่เขาไม่ได้ย้อนกลับมาสนใจจิตใจตนเอง และต้นเหตุแห่งทุกข์ในใจของเขาเอง

(หากเราจะลองเปรียบเทียบกับเครื่องไทม์แมชชีนในเรื่องของโดเรมอนนะครับ
ผมเคยอ่านพบความเห็นหนึ่งซึ่งเขาบอกว่า
โนบิตะมีอุปกรณ์วิเศษของโดเรมอน และเครื่องไทม์แมชชีนเดินทางย้อนเวลาไปได้ตั้งหลายรอบ
โนบิตะไปเปลี่ยนโน่น เปลี่ยนนี่ เปลี่ยนตั้งหลายอย่างเลย ยกเว้นเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง)

แม้ว่าอเล็กซานเดอร์จะสร้างเครื่องไทม์แมชชีนเดินทางข้ามเวลาไปในอดีตหรืออนาคตก็ตาม
แต่เขาไม่ได้ย้อนมาพิจารณาความทุกข์ในปัจจุบันในใจของตนเอง
คำถามคือความทุกข์ของเขาอยู่ที่ไหน? ตอบว่าอยู่ที่ใจของเขา ... ไม่ได้อยู่ที่สิ่งภายนอกเลย
ความทุกข์ของเขาอยู่ในเวลาไหน อยู่ในอดีต ในปัจจุบัน หรือในอนาคต? ตอบว่าอยู่ในปัจจุบัน
ทุกข์ในอดีตนั้นจบลงไปหมดแล้ว ทุกข์ในอนาคตนั้นยังมาไม่ถึง
ปัญหาเรื่องทุกข์เดียวที่เขามีก็คือ เรื่องทุกข์ในปัจจุบันเท่านั้น สิ่งที่เขาควรทำคือแก้ทุกข์ในปัจจุบัน
(แต่ในชีวิตเรา ๆ ในปัจจุบันนั้น บางท่านที่พยายามจะไปแก้ไขอดีตก็มีนะครับ
อย่างเช่น กรรมบางเรื่องได้ทำไปจบหมดแล้ว ก็ยังไปพยายามแก้กรรมของเดิมนั้นอยู่ เป็นต้น)
ดังนั้น ถ้าหากเราต้องประสบกับความทุกข์ในเรื่องใด ๆ แล้วก็ตาม
เราไม่ต้องไปลงทุนลงแรงสร้างเครื่องไทม์แมชชีน หรือพยายามไปแก้ไขอดีตหรอกนะครับ
แต่ให้เรามาศึกษาและแก้ไขปัญหาที่ใจเราเองในปัจจุบัน
และพยายามมุ่งทำปัจจุบันให้ดี ก็ย่อมจะเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาได้มากกว่าครับ