Print

แง่คิดจากหนัง - ฉบับที่ ๑๙๒

ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง) รัก

shortstoryงดงาม




“บทความนี้มีการเฉลยเนื้อหาที่อาจจะทำให้ผู้อ่านเสียอรรถรสในการชมภาพยนตร์”

movie 192

(รูปภาพประกอบจาก http://www.hdwallpapers.in/prince_of_persia_sands_of_time-wallpapers.html)

ภาพยนตร์เรื่อง “About Time” หรือในชื่อภาษาไทยว่า “ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง) รัก”
เป็นเรื่องราวของพระเอกหนุ่มชื่อ “ทิม” (Tim)
ซึ่งเมื่อทิมอายุครบ ๒๑ ปี พ่อของทิมก็ได้บอกความลับของตระกูลแก่เขาว่า
ผู้ชายในตระกูลของทิมสามารถเดินทางข้ามเวลาไปในอดีตได้
โดยสามารถย้อนไปอยู่ในเหตุการณ์ชีวิตที่ผ่านมาแล้ว
และสามารถเปลี่ยนการกระทำตนเอง เพื่อเปลี่ยนแปลงอดีตที่เกี่ยวกับตัวเองได้
ซึ่งเมื่อเดินทางไปในอดีตแล้ว ก็สามารถเดินทางกลับมาอยู่ในปัจจุบันได้
โดยที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ในอดีตที่ถูกเปลี่ยนแปลงนั้น
ก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเป็นลูกโซ่

ในตอนแรก ทิมก็ไม่เชื่อเรื่องที่พ่อบอก โดยคิดว่าพ่อต้องการล้อตัวเองเล่นเท่านั้น
ทิมจึงได้ทดลองด้วยตนเองตามวิธีการที่พ่อสอนให้ โดยทิมเดินทางไปในอดีต
เพื่อแก้ไขเรื่องผิดพลาดของตนเองในคืนวันส่งท้ายปีใหม่ที่ผ่านมา
หลังที่แก้ไขแล้ว ทิมเดินทางกลับมาสู่เวลาปัจจุบัน แล้วก็มานั่งปรึกษากับพ่อว่า
เขาควรจะใช้ความสามารถนี้อย่างไรดี เพื่อการสร้างชีวิตที่ดีของเขา?
พ่อตอบว่า ต้องมีการวางแผนชีวิตให้ดี
ทิมถามพ่อว่า พ่อใช้ความสามารถนี้เพื่ออะไร?
พ่อตอบว่า “หนังสือ หนังสือ และหนังสือ”
โดยพ่อของทิมย้อนเวลากลับไปอ่านหนังสือมากมาย
เกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะอ่านได้ทั้งชีวิต บางเล่มก็อ่านหลายรอบ

ทิมจึงบอกกับคุณพ่อว่า เขาน่าจะใช้ความสามารถนี้เพื่อหา “เงิน”
พ่อตอบว่า ไม่ใช่ความคิดที่ดี เพราะว่าคุณปู่ของทิมเคยทำมาแล้ว
และเงินก็ทำให้คุณปู่อยู่อย่างโดดเดี่ยว โดยไม่มีความรัก และไม่มีเพื่อน
พ่อของทิมยังบอกอีกว่า เขาไม่เคยพบเห็นคนรวยที่มีความสุขอย่างแท้จริงเลย

ทิมบอกว่า มันน่าจะดีนะ ถ้าเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ต้องทำงาน
พ่อบอกว่า ไม่จริง นั่นเป็นจะเหตุแห่งความหายนะเลย
โดยพ่อแนะนำให้ทิมพิจารณาตัวอย่างจากลุงเฟรด (Uncle Fred)
ทิมถามพ่อว่า เกิดอะไรขึ้นกับลุงเฟรด?
พ่อบอกว่า ไม่มีประโยชน์อะไรในชีวิตเลย เขาเสียเวลาทั้งชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์

จากนั้น พ่อจึงแนะนำทิมว่า ทิมควรจะใช้ความสามารถนี้เพื่อทำให้ชีวิตของเขา
เป็นไปอย่างที่เขาต้องการจะให้เป็น แล้วพ่อก็ถามทิมว่า ลองคิดดูสิว่าจะใช้ทำอะไร?
ทิมเงียบไปสักครู่หนึ่งแล้ว ก็ตอบพ่อว่า สำหรับในขณะนี้แล้ว
ถ้าความสามารถนี้จะช่วยให้เขาสามารถหาแฟนสาวได้สักคนหนึ่ง ก็คงจะดีมาก
พ่อบอกว่า ว้าว นี่เป็นงานใหญ่เลยนะ
ทิมตอบว่า ใช่ครับ

ทิมได้ใช้ความสามารถนี้แก้ไขปัญหาผิดพลาดบางอย่างในชีวิตของเขา
โดยไม่ว่าเขาจะทำอะไรพลาดไป หรือพูดอะไรผิดไป
เขาก็สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขความผิดพลาดดังกล่าวได้เสมอ
เวลาผ่านไปจนกระทั่งทิมได้เรียนจบ และได้เดินทางย้ายจากเมืองชายฝั่ง Cornwall
เข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงลอนดอน และทำงานเป็นทนายความ
โดยทิมได้มาเช่าที่พักอาศัยอยู่กับคุณอาคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนของพ่อ
และคุณอาคนนี้ทำงานเป็นนักเขียนบทละครเวที

อยู่ต่อมาในคืนวันหนึ่ง ทิมและเพื่อนได้ไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง
ทำให้ทิมได้มีโอกาสรู้จักกับนางเอกของเรื่องคือ แมรี่ (Mary)
ซึ่งทิมก็หลงรักและเริ่มจีบแมรี่ทันทีในคืนนั้น
ก่อนที่จะแยกย้ายจากกัน ทิมได้ขอเบอร์โทรศัพท์ของแมรี่
โดยขอให้แมรี่กดหมายเลขโทรศัพท์ใส่โทรศัพท์มือถือของทิม
เมื่อแม่รี่กดเบอร์โทรศัพท์ให้ และส่งโทรศัพท์คืนให้แก่ทิม
ทิมรับโทรศัพท์คืนมา แล้วก็บอกกับแมรี่ว่า
เขาเคยเห็นว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ของเขามันช่างเก่าและก็ห่วยเสียเหลือเกิน
แต่ทันทีทันใดในขณะนี้ มันกลับกลายเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับเขา

ทิมกลับมาถึงที่พักอย่างมีความสุข
แต่เมื่อกลับมาถึงที่พักแล้ว เขาก็ได้พบกับคุณอาที่กำลังระทมทุกข์อย่างหนัก
ทิมถามคุณอาว่า เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรไป?
คุณอาเล่าว่าในคืนนี้เป็นคืนวันงานเปิดตัวละครเรื่องที่เขาเขียนบท
แต่ปรากฏว่านักแสดงตัวเอกกลับลืมบทพูดในตอนสำคัญที่สุด
โดยไม่ได้แค่ลืมเพียงแค่บรรทัดเดียวหรือ ๒ บรรทัดเท่านั้น
แต่เป็นการลืมบทพูดที่มากที่สุดในครั้งประวัติศาสตร์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย
แล้วคุณอาก็บอกว่าในวันพรุ่งนี้ แทนที่นักวิจารณ์ควรจะพาดหัวข่าวเกี่ยวกับละครเรื่องนี้
เป็นอย่างดี เช่น เขียนบทได้ดี แต่คงจะวิจารณ์อย่างสับเละแน่นอน
ซึ่งน่าจะวิจารณ์พาดหัวข่าวว่า “นักแสดงเป็นโรคอัลไซเมอร์”

ทิมบอกคุณอาว่า “นี่มันคือหายนะชัด ๆ เลย”
คุณอาบอกว่า “นี่เป็นคำกล่าวที่เบากว่าความเป็นจริงนะ ...
เพราะจริง ๆ แล้ว มันคือเรือไททานิคที่จมลงโดยปราศจากผู้รอดชีวิต
ผู้หญิงไม่รอด เด็ก ๆ ไม่รอด แม้กระทั่งเคท วินสเล็ต (Kate Winslet) ก็ไม่รอดด้วย”
ทิมจึงเดินทางย้อนเวลากลับไป เพื่อไปช่วยเหลือแก้ไขสถานการณ์ให้กับคุณอา
โดยแทนที่ในคืนนั้นเขาจะไปทานอาหารที่ร้านอาหารกับเพื่อน และทำให้ได้พบแม่รี่
แต่เขากลับไปโรงละครกับคุณอาแทน เพื่อไปช่วยแก้ไขสถานการณ์ที่โรงละครให้

เมื่อแก้ไขสถานการณ์ให้กับคุณอาแล้ว ทิมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาแมรี่
แต่ปรากฏว่าในโทรศัพท์ของเขาไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของแม่รี่แล้ว
ทิมจึงนึกขึ้นมาได้ว่า เขาได้เปลี่ยนอดีตตัวเองที่ได้พบกับแมรี่ที่ร้านอาหารในคืนนี้
จึงทำให้เบอร์โทรศัพท์ของแมรี่หายไปด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ทิมจึงรีบออกจากโรงละคร
และเดินทางไปที่ร้านอาหาร เพื่อไปให้ทันพบกับแมรี่
แต่ว่าเขาก็ไปไม่ทัน โดยแมรี่ได้เดินทางออกจากร้านอาหารไปเสียก่อนแล้ว

แม้ว่าทิมจะสามารถย้อนเวลากลับไปใหม่ เพื่อให้ได้ไปเจอแมรี่ที่ร้านอาหารก็ตาม
แต่ถ้าทำเช่นนั้น ปัญหาของคุณอาที่โรงละครก็จะไม่ได้รับการแก้ไข
ทิมจึงไม่ได้ย้อนเวลากลับไป เพื่อที่จะไปเจอแมรี่ที่ร้านอาหาร
แต่เขาอาศัยข้อมูลบางอย่างที่ได้เคยสนทนากับแมรี่ในร้านอาหารในคราวแรกนั้น
ทำให้เขาเชื่อว่าแมรี่จะไปชมงานแสดงภาพงานหนึ่ง เขาจึงไปเฝ้าดักรอแมรี่ที่นั่น

ทิมไปเฝ้ารอแมรี่อยู่หลายวันจนกระทั่งได้พบกับแมรี่ในที่สุด
แต่ปรากฏว่าในช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านไปนั้น แมรี่ได้เริ่มคบชายอื่นเป็นแฟนแล้ว
เมื่อทิมได้ทราบเช่นนี้ จึงสอบถามข้อมูลวันและเวลาที่ทั้งสองคนได้รู้จักกัน
แล้วทิมก็ย้อนเวลากลับไปเพื่อไปจีบแมรี่ตัดหน้าชายอื่นนั้นได้สำเร็จ

เรื่องราวได้ดำเนินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งทิมและแมรี่แต่งงานกัน และมีลูกสาวคนหนึ่ง
แต่แล้วปรากฏว่าน้องสาวของทิมมีปัญหาชีวิต เพราะแฟนของเธอเป็นผู้ชายนิสัยไม่ดี
ทิมจึงย้อนเวลากลับไปในอดีต เพื่อช่วยขัดขวางไม่ให้น้องสาวได้ไปคบผู้ชายไม่ดีคนนั้น
เมื่อทิมช่วยน้องสาว และเดินทางกลับมาแล้ว
ทิมได้พบว่าลูกสาวของเขาหายไป และกลับกลายเป็นว่าเขามีลูกชายแทน
ทิมจึงเดินทางย้อนเวลากลับไปเพื่อแก้ไขเหตุการณ์พาลูกสาวกลับมาอีก

ทิมจึงไม่ได้ใช้การแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตเพื่อช่วยเหลือน้องสาวของเขา
แต่ทิมกลับมาในปัจจุบัน และใช้เหตุการณ์ในปัจจุบันแก้ไขปัญหาชีวิตของน้องสาว
โดยสอนให้น้องสาวรักอนาคตชีวิตตนเอง และเลิกคบกับแฟนนิสัยไม่ดีนั้น
ซึ่งน้องสาวได้ยอมทำตาม และทำให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้น และได้พบผู้ชายคนที่นิสัยดีกว่าเดิม

ภาพยนตร์ได้แสดงให้เห็นถึงความรักระหว่างทิมกับในครอบครัวได้ดีมาก ๆ
ทั้งความรักระหว่างสามีภรรยา ระหว่างพ่อกับลูก ระหว่างพี่กับน้อง
เรื่องราวดำเนินเรื่อยมาจนถึงวันที่พ่อของทิมป่วยหนัก และใกล้ตาย
พ่อของทิมจึงได้สอนความลับเรื่องสุดท้ายให้แก่ทิมว่า
วิธีการที่จะสร้างความสุขในชีวิตนั้น พ่อแนะนำให้ทิมดำเนินการใน ๒ ขั้นตอน
ในขั้นตอนแรก ให้ทิมใช้ชีวิตในแต่ละวันตามปกติเหมือนคนธรรมดาอื่น ๆ ทั่วไป
ในขั้นตอนที่สอง หลังจากขั้นตอนแรกแล้ว
ให้ทิมย้อนเวลากลับไปอยู่ในวันนั้นอีกครั้ง และดำรงชีวิตทุกอย่างเหมือนเดิม
โดยในคราวแรกนั้น ความเครียดและความกังวลทั้งหลาย
จะทำให้ทิมไม่สังเกตเห็นความสวยงามของโลก
แต่ในคราวที่สองที่ทิมย้อนเวลากลับไปใช้ชีวิตนี้ เพิ่มความแตกต่างอย่างหนึ่ง
คือให้ทิมสังเกตเห็นความสวยงามของโลก

ภาพยนตร์ได้แสดงตัวอย่างเปรียบเทียบชีวิตของทิมให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
ในคราวแรกนั้น ทิมใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ เคร่งเครียด มองสิ่งรอบข้างอย่างไม่มีความสุข
แต่ในคราวที่สองนั้น ทิมใช้ชีวิตอย่างสบายใจ และมองสิ่งรอบตัวอย่างมีความสุข
จากเดิมที่เขาประชุมงานเครียด ก็ไม่เครียด
จากเดิมที่เขาทำหน้าเครียดกับคนขายอาหารเที่ยง
ก็กลายเป็นยิ้มให้กับคนขาย และไม่รับถุงใส่อาหารด้วย (ช่วยลดโลกร้อน)
จากเดิมที่เขารีบวิ่งเข้าไปห้องพิจารณาคดีในศาลอย่างเร่งรีบ
ก็กลายเป็นว่าเวลาหยุดมองอาคารศาล และชมว่าอาคารศาลมีสถาปัตยกรรมสวยงาม
จากเดิมที่เขานั่งรถไฟใต้ดินแล้วไม่พอใจคนนั่งข้าง ๆ ที่เปิดเพลงฟังเสียงดัง
ก็กลายเป็นว่าทิมได้นั่งฟังเพลงที่เขาเปิดไปด้วยอย่างสบายใจ

ทิมบอกว่าเขาได้เข้าถึงบทเรียนสุดท้ายของเขาสำหรับการเดินทางย้อนเวลาแล้ว
โดยเขาสามารถไปไกลกว่าที่พ่อของเขาเคยทำได้
เนื่องจากในภายหลังนั้น ทิมไม่ต้องเดินทางย้อนเวลาอีกเลยแม้แต่วันเดียว
เพราะว่าทิมได้ใช้ชีวิตตามปกติทุกวัน โดยมีความสุขกับวันนั้น ๆ
โดยถือว่าวันนั้น ๆ ในแต่ละวันเป็นวันสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา
จากนั้น ทิมก็ได้สรุปให้ฟังว่า คนเราทุกคนก็ต่างเดินทางผ่านเวลาด้วยกันทุกคน
โดยผ่านช่วงเวลาในชีวิตของเรา ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ คือทำในแต่ละวันให้ดีที่สุด

ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อใดที่ทิมทำผิดพลาดแล้ว
เขาก็รู้สึกทุกข์ใจ เขาจึงย้อนเวลากลับไปเพื่อแก้ไขสิ่งผิดพลาดเหล่านั้น
แต่แล้วเขาก็ต้องย้อนกลับไปแก้ไขอยู่บ่อย ๆ เดี๋ยวเหตุการณ์นั้น เดี๋ยวเหตุการณ์นี้
ในกรณีของเราทุกคนนั้น เราไม่มีความสามารถย้อนเวลาได้อย่างทิม
แต่เราทุกคนมีความสามารถที่จะไม่ทำผิดซ้ำอีกได้
โดยอะไรก็ตามที่เราเคยทำผิดพลาดแล้ว เราสามารถสำนึกผิดได้ และไม่ทำผิดซ้ำอีก
เราก็จะสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นคนที่ดีขึ้นไปได้
โดยไม่ทำผิดซ้ำซ้อน และไม่ต้องย้อนกลับไปแก้ไขซ้ำซ้อน
ในส่วนนี้ก็เป็นเสมือนเวลาที่เราทำผิดศีลแล้ว ก็ให้สำนึกผิด และตั้งใจไม่ทำผิดอีก
ซึ่งการพัฒนาให้ตนเองไม่ทำผิดเช่นนี้ ย่อมจะดีกว่ามีความสามารถย้อนกลับแก้ไขอดีตได้
แต่แล้วก็ทำผิดซ้ำซาก และต้องย้อนกลับไปแก้ไขอย่างซ้ำซากเสียอีก

แม้ว่าเราจะไม่มีความสามารถในการย้อนเวลาไปในอดีต
เพื่อมีชีวิตเหมือนเดิมอีกคราวหนึ่ง เพื่อที่จะสังเกตเห็นความสวยงามของโลก
แต่เราก็มีความสามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่เร่งรีบ ไม่เครียด
และมองสิ่งรอบตัวอย่างมีความสุขได้
โดยในกรณีของทิมนั้น ทิมได้พบความจริงว่า ที่ดีกว่าการย้อนเวลาก็คือ
การใช้ชีวิตให้ดีที่สุด และสามารถมีความสุขได้ในแต่ละวัน โดยไม่ต้องย้อนเวลา

เราทุกคนก็มีทางเลือกนะครับว่า เราจะใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างไม่มีความสุข
โดยไปทำงานอย่างซังกะตายในแต่ละวัน ๆ
แล้วก็รอเพียงว่าวันไหนได้หยุดพักผ่อน ได้เดินทางไปเที่ยว วันนั้นถึงจะมีความสุข
เวลาเรามองดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตกในวันที่เราไปเที่ยวต่างสถานที่ เราก็เห็นว่าสวยงาม
แต่เวลาเรามองดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตกระหว่างที่เราเดินทางไปทำงานหรือกลับบ้าน
ในวันทำงานปกติ เราเองกลับบอกว่า รู้สึกเฉย ๆ และไม่ได้รู้สึกสวยงามอะไร
ทั้ง ๆ ที่ก็คือดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตกเช่นเดียวกัน
ถ้าชีวิตเราเป็นอย่างนั้นแล้ว ความสุขก็คงจะเป็นสิ่งที่หาได้ยากเหลือเกินในแต่วันปกติ

ภาพยนตร์ได้แสดงให้เห็นว่า ทิมใช้เวลาชีวิตใน ๒ วันที่มีกิจกรรมเหมือน ๆ กัน
แต่ในวันแรก ทิมอยู่อย่างไม่มีความสุข และมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่างไม่สบายใจ
ส่วนในวันที่สอง ทิมอยู่อย่างมีความสุข และมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่างสบายใจ
ทั้ง ๆ ที่เขาก็ต้องทำกิจกรรมเหมือน ๆ กับวันแรก
เพียงแต่ว่าทิมเปลี่ยนมุมมองของเขาต่อสิ่งรอบตัวเท่านั้น
ทิมไม่ได้ไปเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ทุกอย่างก็ดำเนินของมันไป
แต่ทิมเปลี่ยนมุมมองของตัวเอง และสิ่งนี้ได้ทำให้ทิมทำตัวต่างออกไปจากวันแรก
และสิ่งรอบตัวเขาหลายอย่างก็เปลี่ยนตามเขาไปด้วย

ในชีวิตปกติของเรานั้น หลายคนพยายามจะไปแก้ไขปัญหาที่ภายนอกตัวเอง
แต่พยายามเท่าไรก็แก้ไขปัญหาไม่สำเร็จ แต่พอลองเปลี่ยนว่ามาแก้ไขที่ตัวเองแล้ว
ปรากฏว่าเราทำสิ่งต่าง ๆ แตกต่างไปจากเดิม
แล้วกลับกลายเป็นว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้
ยกตัวอย่างเช่น เราไปทำงานสาย และทำงานผิดเยอะ หัวหน้าเราจึงไม่ชอบเรา
หากเราจะไปแก้ไขที่ตัวหัวหน้า เพื่อทำให้หัวหน้าเลิกไม่ชอบเราแล้ว
ก็ย่อมจะอยู่นอกเหนืออำนาจเรา และเราไปแก้ไขที่หัวหน้าไม่ได้ใช่ไหมครับ
แต่หากเราหันมาแก้ไขที่ตัวเราเอง โดยเรามาทำงานเช้า และขยันตั้งใจทำงานอย่างดี
งานเราก็ไม่ผิดอีกหรือผิดน้อย หัวหน้าเราก็เลิกไม่ชอบเราได้ และทำให้แก้ไขปัญหานี้ได้

ในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสุขจากความรักระหว่างคนในครอบครัว
เช่น ความสุขของทิมที่รักพ่อ รักแม่ รักน้องสาว รักภรรยา รักลูก
ทิมมีความสุขมากในเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัว อยู่กับพ่อ อยู่กับแม่
อยู่กับน้องสาว อยู่กับภรรยา อยู่กับลูก
แต่ในวันที่พ่อของทิมได้ตายจากไป ก็เป็นวันที่ทิมเสียใจมากมาย
ดังนั้นแล้ว ยิ่งเรามีความสุขจากความรักมากเท่าไร
เราก็จะห่วงกังวลในสิ่งที่เรารักมากขึ้นเท่านั้น
และเมื่อเราได้ประสบกับการพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักนั้นแล้ว เราก็จะยิ่งมีทุกข์มาก
ความสุขจากความรักนี้จึงเป็นเสมือนกับขนมหวานอาบยาพิษ
นอกจากนี้แล้ว ความสุขจากความรักก็ยังอิงอาศัยปัจจัยภายนอก
ซึ่งไม่เที่ยงแท้ ทนอยู่ไม่ได้ และไม่ได้เป็นสิ่งที่เราจะสั่งได้ตามใจ
เราจึงไม่สามารถถือสิ่งเหล่านี้เป็นที่พึ่งที่อาศัยได้
เราพึงมองหาสิ่งดีกว่านี้ เป็นประโยชน์กว่านี้ และปลอดภัยกว่านี้ เป็นที่พึ่งที่อาศัยครับ