Print

ของฝากจากหมอ - ฉบับที่ ๑๐๓

แก้กรรม... แก้โรค

kookaiโดย พญ.ณัฐชญา ไมตรีเวช

 

 

กว่าโรคร้าย ๆ จะเกิดขึ้น ต้องมีทั้งกรรมเก่าและกรรมปัจจุบันมารวมกัน
ทราบไหมคะว่าการแพทย์สมัยนี้มีวิธีวินิจฉัยว่าอันไหนเป็นกรรมเก่า
หรือกรรมใหม่ แถมยังมีสูตรแก้กรรมแต่ละโรคให้อีก

ไม่ได้โม้...
มาทางนี้ค่ะ หมอจะเล่าให้ฟัง ^_^

กรรมเก่าทางการแพทย์เราเรียกว่า กรรมพันธุ์
มันจะถ่ายทอดออกมาทางสารพันธุกรรม หรือที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า DNA
เจ้าตัวนี้มีการจัดเรียงตัวเป็นลำดับแบบต่าง ๆ
แล้วการเรียงตัวที่แตกต่างไปนี้ก็จะสร้างโปรตีนออกมาต่างชนิดกัน
ทำให้เกิดสีผม สีตา รูปหน้า รูปร่างได้ต่างสไตล์
และแน่นอน รวมไปถึงโรคของแต่ละคนด้วยค่ะ

น่าทึ่งกับบรรพบุรุษของเรานะคะที่เรียกมันว่า สารพันธุกรรม
หมายถึง มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ นั้นเองค่ะ

กรรมเก่า หรือ เจ้ากรรมพันธุ์นี้ติดตัวคนเรามาตั้งแต่เกิด
การศึกษาใหม่ ๆ สามารถตรวจการเรียงตัวของเจ้าสาย DNA
จึงบอกได้ว่าใครมีแนวโน้มจะเป็นเบาหวาน เป็นมะเร็ง หรือสมองเสื่อม ตอนไหน !

ค่ะ แนวโน้ม... แปลว่าอาจจะไม่เป็นก็ได้
เพราะมีกรรมอีกอย่างที่สำคัญกว่า คือ ปัจจุบันกรรม
ทางการแพทย์เราเรียกว่า "พฤติกรรม" ค่ะ

พฤติกรรมประกอบไปด้วย กรรมทางการคิด การพูด และการกระทำ
หรือ มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม ในทางพุทธเรานั่นเอง

ยกตัวอย่างเช่น กรรมเก่า หรือ DNA ของเรา มีสายโปรตีนที่เรียงตัวกันแล้ว
ทำให้ร่างกายมีโอกาสดื้อต่ออินซูลินสูง
เราก็มีแนวโน้มจะเป็นเบาหวานแบบดื้อต่ออินซูลิน (DM type2)

แต่ถ้าเรามีพฤติกรรมที่ห่างไกลจากความเป็นเบาหวาน
คือ ไม่ชอบรับประทานแป้งและน้ำตาล
ไม่ชอบกินจุบกินจิบ ไม่รับประทานอาหารมื้อดึก
ชอบรับประทานผักและผลไม้ชนิดที่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นเร็ว (low glycemic index)
แถมยังออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จิตใจสดใสร่าเริง ไม่เครียด
ก็จะเหมือนเราไม่เปิดโอกาสให้กรรมเก่าแสดงตัว

โอกาสเป็นโรคเบาหวานมีมากก็จริง แต่เราไม่เป็น ^_^
เหมือนมีผู้ร้ายมายืนจ่อหน้าประตูบ้าน แต่เข้าไม่ได้
เพราะรั้วบ้าน และทหารยามของเราเข้มแข็งเหลือเกิน

การศึกษายุคนี้บอกเราว่า
"กรรมปัจจุบัน สำคัญที่สุดค่ะ !"

และสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานแล้วก็ตามเถอะค่ะ
เราสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ง่ายขึ้น
ถ้ารู้จักใส่ปัจจัยบวก เพียงแค่เติมกรรมปัจจุบันที่ดี ๆ ลงไป
น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันใด โรคร้ายก็แพ้พฤติกรรมใหม่(ดี ๆ )ที่มากกว่า ฉันนั้น

อดีตเป็นสิ่งที่เรากลับไปแก้ไม่ได้ เกิดขึ้นแล้ว สิ้นสุดลงแล้ว
แต่กรรมใหม่ เราสามารถเลือกทำได้แบบไม่มีจำกัด ไม่มีประมาณ
มองแค่นี้ กรรมอันไหนจะมีพลังมากกว่าคะ


ศาสตร์ของการแก้กรรม ที่ไม่เป็นอันตราย
เช่น " อิฉันจะไปบริจาคโรงศพ สร้างพระประธานค่ะ "
หรือ "ผมจะถือศีลปิดวาจา ไม่พูด ๓ วัน ๗ วัน "
เราไม่จำเป็นต้องต่อต้าน หรือมองเป็นสิ่งงมงาย

โดยเฉพาะกิจกรรมที่เป็นบุญเป็นกุศล
ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
แถมยังได้แบ่งปันสิ่งดี ๆ สู่สังคม สู่สาธารณะชน
เพราะอย่างน้อยถ้าไม่มีผลใด ๆ ให้เห็นทางกายภาพ
แต่จิตใจของผู้ป่วยมีกำลัง นั้นถือว่าคุ้มค่าที่สุดแล้วค่ะ
ขอแค่อย่าลืมแก้พฤติกรรมที่ส่งผลต่อร่างกายโดยตรงเท่านั้นเอง...

อันดับแรก เริ่มต้นที่ความคิดก่อนเลยค่ะ
คิดว่าเราจะรักษาร่างกายนี้ ให้แข็งแรงสมบูรณ์
ถ้าอายุยืนไปถึงแปดสิบ เก้าสิบปี จะต้องยังสามารถเดินขึ้นบันไดได้
และสมองไม่มีความจำเลอะเลือน อารมณ์ยังดี ไม่หงุดหงิดง่าย
ทำให้สามารถใช้เวลาของชีวิตนี้ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
และเก็บเกี่ยวประโยชน์สูงสุดไว้ให้ได้นะคะ

มีบางคน บอกว่าร่างกายนี้เป็นรูปธรรม นามธรรมไม่ต้องสนใจ
เกิดมาแล้วก็ต้องเสื่อมเป็นธรรมดา
แต่ลองหยุดคิดสักนิด ว่าทุกอย่างเราเป็นผู้กำหนดเอง
กรรมปัจจุบันนี้แหละ จะกำหนดทิศทางในอนาคต

ค่อย ๆ ใส่ปัจจัยบวกลงไป
เช่น นอนพักผ่อนแต่หัวค่ำแล้วเริ่มต้นวันใหม่ในตอนเช้าตรู่
เลือกรับประทานแป้งและน้ำตาลให้น้อยลง
แบ่งเวลางานและเวลาพักผ่อนบ้าง
เจ้ารูปธรรม นามธรรม ที่ว่า มันก็จะมีผลลัพธ์ตามปัจจัยบวกที่เราเพิ่มลงไป ^^

ไม่ได้บอกให้กลัวตายหรือห่วงสังขารนะคะ
แต่ให้โอกาสสังขาร ได้อยู่แบบที่เราใช้ประโยชน์จากชีวิตนี้ได้มากที่สุดต่างหากค่ะ

เมื่อตั้งต้นได้แบบนี้ ก้าวต่อ ๆ ไปเราก็จะมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น
ถ้าจะอายุยืน ก็ต้องเป็นแบบมีคุณภาพ สามารถคิด อ่าน พูด และทำได้อย่างมีสติ

มาแก้กรรมด้วยพฤติกรรมของเรากันเถอะค่ะ ^^