Print

แสงส่องใจ - ฉบับที่ ๔๐๑

 sungaracha

 sangharaja-section

๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า

 เทศนานิพนธ์

ใน

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก

 

ธรรมะประดับใจ

 

๒๘. การไม่คบคนพาลเป็นมงคลอันสูงสุด

                   มีมงคลชีวิตอย่างหนึ่งที่หลาย ๆ คนพูดอยู่บ่อย ๆ แม้เพียงอย่างย่อ คือที่พูดกันว่า อเสวนา จ พาลานํ แปลเป็นไทยว่า การไม่คบคนพาล ซึ่งประโยคเต็มสมบูรณ์ของมงคลข้อนี้ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้คือ อเสวนา จ พาลานํ, ปณฺทิตานญฺจ เสวนา, ปูชา จ ปูชนียานํ, เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ แปลว่าความไม่เสพซึ่งคนพาลทั้งหลายด้วย, ความเสพซึ่งบัณฑิตทั้งหลายด้วย ความบูชาซึ่งชนควรบูชาทั้งหลายด้วย ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด

                   มงคลข้อนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคนในทุกเวลา เพราะทุกคนทุกเวลาต้องพบปะคบหาสมาคมกับผู้คนทั้งหลายอยู่ และผู้คนทั้งหลายนั้นก็มีแตกต่างกันไปปนเปกันอยู่ คือมีทั้งบุคคลที่เป็นพาลและที่เป็นบัณฑิต พาลในที่นี้หมายถึงคนไม่ดี บัณฑิตหมายถึงคนดี บัณฑิตในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผู้ได้รับปริญญาเพราะเรียนจบการศึกษาขั้นอุดมที่เรียกกันในทางโลก แต่ว่าที่จริงแล้วบัณฑิตในทางโลกคือที่ได้ปริญญานั้นท่านใช้คำว่าบัณฑิต เรียกขานก็เพราะถือว่าผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนสูงถึงเพียงนั้นน่าจะต้องเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ความจริงบัณฑิตในทางโลกไม่ทุกคนไปที่เป็นบัณฑิตในความหมายที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ในมงคลข้อที่หนึ่งซึ่งยกมากล่าวข้างต้น ดังนั้นจึงควรต้องทำความเข้าใจคำว่าบัณฑิตผู้ควรเสวนาคือคบหาสมาคมให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นก็จะไม่เกิดมงคลแต่อย่างใด

                   บัณฑิตคือคนดีนั้น คนดีทุกคนรู้จักแน่ชัดแก่ใจ เพราะก็เหมือนกับรู้จักตนเอง ตัวเองดีอย่างไร มองดูคนอื่นก็จะรู้จักได้ว่าเป็นคนดีเพียงใดหรือไม่ แต่ถ้าตนเองเป็นคนไม่ดีเสียแล้ว การจะมองคนอื่นให้รู้ว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่จึงเป็นไปไม่ได้ เปรียบคนดีเหมือนคนรู้จักสีขาวสะอาด มีอาภรณ์สีขาวประดับตน เมื่อเห็นคนอื่นมีอาภรณ์สีขาวด้วยก็รู้ได้ทันทีว่าคนนั้นประกอบด้วยอาภรณ์สีขาว แต่ถ้าเป็นคนไม่ดี มีอาภรณ์สีขะมุกขะมอมประดับตน เมื่อเห็นคนอื่นมีอาภรณ์สีขะมุกขะมอมด้วย ก็จะรู้ได้ทันทีว่าคนนั้นประดับด้วยอาภรณ์สีขะมุกขะมอม แต่เมื่อเห็นคนอื่นมีอาภรณ์สีขาวก็ยากจะรู้ว่าคนนั้นประดับตนด้วยอาภรณ์สีขาว เพราะตนเองไม่มีสีขาว จึงไม่รู้จักสีขาว

                   ดังนั้นทุกคนที่ต้องการจะรู้จักคนดี เสวนาคบหาคนดี จึงควรต้องทำตนให้เป็นคนดี คุ้นเคยรู้จักหน้าตาของความดีเสียก่อนไม่เช่นนั้นแล้วก็ยากที่จะเลือกได้ถูกต้องว่าไหนคือคนดี ไหนคือคนไม่ดี อบรมตนเองให้เป็นคนดีให้เต็มความสามารถแล้ว นั่นแหละจะรู้จักว่าคนดีที่ควรคบเสวนานั้นเป็นอย่างไร คือคน

อย่างไร

                   ตนเองมีความดีระดับไหนจะรู้จักคนดีในระดับเดียวกับตน มีคนดีเป็นจำนวนไม่น้อยที่ในสายตาของคนดีด้วยกันแต่ไม่ถึงระดับเดียวกันไม่แน่ใจว่าจะดีจริงได้ถึงระดับนั้น คงเคยได้ยินกันทุกคนที่มีการกล่าวอยู่เสมอว่าคนนั้นคนนี้ดีอย่างเหลือเชื่อ และบางทีก็ไม่เชื่อเอาเลย ตีความหมายของความดีที่เหลือเชื่อนั้นเป็นความไม่ดี เป็นความหลอกลวงไปเสียก็ยังมีอยู่เป็นอันมาก นี่เป็นเพราะคนดูมีความดีไม่ถึงระดับ ในทางพระพุทธศาสนาท่านจึงไม่สอนให้เชื่ออย่างงมงายตามคำพยากรณ์ของคนนั้นคนนี้ว่า ท่านผู้นั้นผู้นี้บรรลุธรรมถึงขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว เพราะเมื่อผู้พยากรณ์เองยังไม่บรรลุธรรมขั้นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าคนอื่นบรรลุแล้ว ก็ดังกล่าวแล้วตนเองไม่รู้จักสีขาว จะรู้ได้อย่างไรว่าคนนั้นคนนี้มีสีขาว การจะสามารถเข้าถึงมงคลข้อต้นนี้ จึงสำคัญที่ต้องทำตนเองให้เป็นบัณฑิตคือคนดีเสียก่อน.