Print

แสงส่องใจ - ฉบับที่ ๒๘๘

 sungaracha

 sangharaja-section

๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า

เทศนานิพนธ์
ใน
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก

 

 

โลกวินาศ

เรื่องสิ้นกัปกัลป์ คือถึงกาลโลกวินาศ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ตามคติความเชื่อโบราณของอินเดีย โลกก็มีอายุเหมือนบุคคลหรือสังขารทั้งหลาย กำหนดอายุของโลกเรียกว่า กัป หรือ กัลป์ และโลกก็มีเวียนเกิดตาย ความเกิดขึ้นใหม่ของโลกเป็นการตั้งต้นกัปใหม่ ความตายของโลกเป็นการสิ้นกัปครั้งหนึ่ง

ความตายของโลกนี้หมายถึงโลกวินาศด้วยเหตุ ๓ อย่าง คือ ไฟ น้ำ และลม ท่านว่า วินาศด้วยไฟ ๗ ครั้งติด ๆ กัน ถึงครั้งที่ ๘ วินาศด้วยน้ำ แล้ววนมาวินาศด้วยไฟน้ำเหมือนดังนั้นอีก ๘ หน จึงวินาศด้วยลมครั้งหนึ่ง ท่านว่า ในคราวที่วินาศด้วยไฟ เกิดไฟไหม้โลกตั้งแต่อบายภูมิต่ำที่สุด ถึงมนุษย์สวรรค์จดพรหมชั้นปฐมฌาน เหลืออยู่ตั้งแต่ชั้นนั้นขึ้นไป ในคราวที่วินาศด้วยน้ำนั้น เกิดน้ำท่วมโลกเหมือนอย่างนั้น แต่สูงขึ้นไปจดพรหมชั้นทุติยตติยฌาน เหลืออยู่ตั้งแต่ชั้นนั้นขึ้นไป ในคราวที่วินาศด้วยลมร้ายแรงที่สุด ลมทำลายล้างโลกตั้งแต่ชั้นต่ำที่สุดไปจดพรหมชั้นจตุตถฌาน เหลืออยู่แต่ชั้นจตุตถฌานนั้น คือตั้งแต่ชั้นเวหัปผลาที่นับเป็นพรหมชั้นที่ ๑๐ คตินี้แสดงว่าโลกทั้งหมดตั้งแต่อบายโลกจนถึงพรหมโลกตั้งอยู่เนื่องกันอยู่ ในคราวเกิดทุกขภัยอย่างใหญ่ก็เนื่องถึงกัน แต่ก็ยังมีเหลือสำหรับเป็นที่สัตว์ที่ถูกภัยได้ขึ้นไปเกิดอาศัย จึงยังมีเชื้อที่จะได้มาเกิดในโลกที่จะกลับเกิดขึ้นมาอีก ไม่เช่นนั้น โลกที่กลับเกิดใหม่ก็จะเป็นโลกว่างไปเสีย คือยังมีที่เหลือให้อพยพไปเกิดกันได้ทุกคราวที่เกิดโลกวินาศ ฉะนั้น สัตวโลกจึงไม่วินาศไปจริงเลย อพยพไปเกิดกันในที่อันยังเหลืออยู่นั้นได้

 

 ผนวกเรื่องเปรต

ได้พบเรื่องเปรตเรื่องเทพเป็นต้นที่กระจัดกระจายอยู่ในที่หลายแห่ง เดิมก็ไม่ได้นึกว่าจะนำมากล่าวให้มากมาย แต่เมื่อได้เปลี่ยนความคิดเป็นประมวลเรื่องเพื่อจะได้ไม่ต้องไปกล่าวถึงในที่อื่นอีก จึงจะเพิ่มเติมเรื่องที่ไม่ได้คิดจะกล่าวผนวกเข้า

เรื่องเปรตที่จะเก็บมาผนวกไว้นี้ เก็บมาจากลักขณสังยุต ในนิทานวัคค์ ท่านว่าไปเกิดเป็นเปรตชนิดต่างๆ เช่นนั้นเพราะเศษกรรม คือเมื่อเป็นมนุษย์ทำบาปหยาบช้าไว้ ตายไปเกิดในนรก ครั้นพ้นจากนรกแล้วยังไม่สิ้นบาปกรรมทั้งหมด จึงต้องไปเป็นเปรตเสวยทุกข์ต่อไปอีก เพราะกรรมที่ยังเหลืออยู่นั้น คำว่า เศษกรรม ก็คือ บาปกรรมที่ยังเหลืออยู่ หมายถึงเศษบาปนั้นเอง

ท่านเล่าว่า เมื่อท่านพระลักขณะ (องค์หนึ่งในชฎิลพันองค์) และท่านพระมหาโมคคัลลานะพักอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏใกล้พระนครราชคฤห์ เวลาเช้าท่านทั้งสองออกบิณฑบาต ขณะที่เดินลงจากภูเขา ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้แย้มโอษฐ์ (อาการบันเทิงของพระอรหันต์ไม่ถึงยิ้ม) ท่านพระลักขณะได้ถามถึงเหตุของอาการแย้ม ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวว่า ไม่ใช่เวลาของปัญหา ให้ถามในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด

เมื่อท่านทั้ง ๒ เที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ ทำภัตตกิจเสร็จแล้วขากลับได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระเวฬุวัน ท่านพระลักขณะได้กล่าวถามขึ้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงได้เล่าว่า ได้เห็นร่างสัตว์อย่างหนึ่งลอยไปในอากาศ มีลักษณะอาการตามที่ท่านได้เห็น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรับรอง และได้ทรงพยากรณ์บาปที่สัตว์นั้นได้ทำขณะเมื่อเป็นมนุษย์ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นบ่อยๆ ขณะที่เดินลงจากเขาคิชฌกูฏ และได้เล่าในที่เฉพาะพระพักตร์ทุกครั้ง ได้มีพุทธพยากรณ์ทุกคราวว่า เป็นสัตว์ที่เสวยเศษบาปดังกล่าวข้างต้น

ร่างสัตว์ที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นเหล่านี้ ในอรรถกถาเรียกว่า เปตะ คือเปรตทั้งหมด ท่านพระมหาโมคคัลลานะเห็นแล้วแย้ม เพราะท่านดำริว่า ท่านเองพ้นแล้วจากอัตภาพเช่นนั้น ต่างจากผู้ที่ยังไม่เห็นสัจจะ ยังมีชาติภพไม่แน่นอน ซึ่งอาจไปเกิดเป็นเปรตเช่นนั้นอีกก็ได้ ท่านจึงบันเทิงใจ พระอาจารย์ท่านอธิบายอย่างนี้ ที่จะป้องกันว่ามิใช่แย้มหยัน แต่ก็อาจอธิบายว่า แย้มโอษฐ์แสดงว่าได้เห็นสิ่งที่แปลก แสดงอาการคล้ายจะพูดก็ได้ ประมวลกล่าว เปรตที่ท่านได้เห็นและพยากรณ์บาปโดยย่อดังต่อไปนี้

ตนหนึ่งเป็นแต่โครงกระดูก ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิกทึ้ง ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่ฆ่าโค ด้วยเคยเป็นคนฆ่าโคชำแหละเนื้อให้เหลือแต่กระดูกขายอยู่ในพระนครราชคฤห์นั้น

ตนหนึ่งเป็นชิ้นเนื้อ ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิกทึ้ง ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่ฆ่าโค ด้วยเคยเป็นคนฆ่าโคชำแหละเนื้ออยู่ในพระนครนั้นเช่นเดียวกัน ต่างแต่ตนหนึ่งเป็นโครงกระดูก ตนหนึ่งเป็นชิ้นเนื้อ ท่านว่าเพราะนิมิตที่สัตว์นั้นเห็นในเวลาที่ไปเกิดต่างกัน จึงไปเกิดมีรูปลักษณะที่ต่างกัน คือเมื่อเห็นนิมิตเป็นโครงกระดูกก็ไปเกิดเป็นเปรตโครงกระดูก เห็นนิมิตเป็นชิ้นเนื้อก็ไปเกิดเป็นเปรตชิ้นเนื้อ

ตนหนึ่งเป็นบุรุษไม่มีผิวหนัง ถูกแร้งกานกตะกรุมเจาะจิกทึ้ง ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่ฆ่าแกะ ด้วยเคยเป็นคนฆ่าถลกหนังแกะขายอยู่ในพระนครนั้น

ตนหนึ่งเป็นก้อนเนื้อ ถูกแร้งกานกตะกรุมเจาะจิกทึ้ง ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่ฆ่านกในพระนครนั้น

ตนหนึ่งมีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นดาบที่หลุดกระเด็นออกไป แล้วกลับมาทิ่มแทงกายตนเอง ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่ฆ่าสุกร ด้วยเคยเป็นคนฆ่าสุกรขายด้วยอาวุธชนิดนั้นอยู่ในพระนครนั้น

ตนหนึ่งเป็นบุรุษมีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นหอกที่หลุดกระเด็นออกไป แล้วกลับตกลงมาทิ่มแทงกาย ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่ฆ่าเนื้อ ด้วยเคยเป็นคนใช้หอกฆ่าเนื้อขายอยู่ในพระนครนั้น

ตนหนึ่งเป็นบุรุษมีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นดอกธนูที่หลุดกระเด็นออกไป แล้วกลับตกลงมาทิ่มแทงกาย ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่หาเหตุทรมานจนถึงฆ่าคน ด้วยเหตุที่ได้เคยเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้คอยหาเรื่องหาราวฆ่าคน โดยใช้ยิงให้ตายด้วยธนูอยู่ในพระนครนั้น

ตนหนึ่งเป็นบุรุษ มีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นปฏักที่หลุดลอยออกไป แล้วกลับมาทิ่มแทงกาย ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่ฝึกม้าอย่างโหดร้ายทารุณ ด้วยได้เคยเป็นคนฝึกม้าด้วยวิธีโหดร้ายทารุณ ใช้ปฏักแทงม้าถึงพิการหรือตายอยู่ในพระนครนั้น

ตนหนึ่งเป็นบุรุษมีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นเข็มทิ่มเข้าไปในศีรษะออกทางปาก ทิ่มเข้าไปในปากออกทางอก ทิ่มเข้าไปในอกออกทางท้อง ทิ่มเข้าไปในท้องออกทางขา ทิ่มเข้าไปในขาออกทางแข้ง ทิ่มเข้าไปทางแข้งออกทางเท้า ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่มีปากเป็นเข็ม ด้วยได้เคยเป็นคนปากเข็มอยู่ในพระนครนั้น ท่านอธิบายว่า คนปากเข็ม คือเป็นคนพูดส่อเสียดยุยงให้เขาแตกร้าวกัน จะอธิบายว่า คือคนที่พูดทิ่มแทงให้เขาเจ็บใจเป็นทุกข์อย่างหนักก็น่าจะได้

ตนหนึ่งเป็นบุรุษกุมภัณฑ์ คือมีอวัยวะรหัสโตอย่างหม้อน้ำขนาดใหญ่ ต้องเดินแบกขึ้นคอไปหรือต้องนั่งทับ ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมเจาะจิกทึ้ง ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่ฉ้อโกงชาวบ้านชาวเมือง ด้วยได้เคยเป็นอมาตย์ฉ้อโกงอยู่ในพระนครนั้น ท่านอธิบายว่า อมาตย์ผู้วินิจฉัยซึ่งรับสินบนในรโหฐาน (ที่ลับ) แล้ว สั่งให้วินิจฉัยบิดเบือนให้ผู้ที่ควรได้กลับไม่ได้ ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองต้องแบกภาระเป็นทุกข์โทษอย่างหลีกเลี่ยงฝ่าฝืนไม่ได้ เศษกรรมที่รับสินบนในรโหฐาน จึงส่งให้อวัยวะรหัสปรากฏอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องแบกทุกข์ทรมานไป

ตนหนึ่งเป็นบุรุษจมหลุมคูถมิดศีรษะ เพราะเศษกรรมที่เป็นชู้กับภริยาของผู้อื่น ด้วยได้เคยเป็นชายชู้ดั่งกล่าวอยู่ในพระนครนั้น

ตนหนึ่งเป็นบุรุษจมอยู่ในหลุมคูถ กอบคูถด้วยมือทั้ง ๒ เข้าปากเคี้ยว เพราะเศษกรรมที่เอาคูถใส่บาตรพระ ด้วยได้เคยเป็นพราหมณ์ผู้เกลียดและทำการแกล้งพระในพระพุทธศาสนาดั่งกล่าวในพระนครนั้น

ตนหนึ่งเป็นสตรีไม่มีหนัง ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมเจาะจิกทึ้ง ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่ประพฤตินอกใจ ด้วยได้เคยเป็นสตรีประพฤตินอกใจสามี เป็นชู้ด้วยชายอื่นอยู่ในพระนครนั้น

ตนหนึ่งเป็นสตรีมีกลิ่นเหม็น รูปร่างน่าเกลียด ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมเจาะจิกทึ้ง ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่เป็นแม่มดหลอกลวงคน ด้วยได้เคยเป็นผู้หลอกลวง แสดงตนเป็นยักขทาสี คือเป็นผู้รับใช้ เป็นสื่อทรงของยักษ์หรือภูตผีปีศาจ รับบูชาพลีกรรมของคนผู้หลงเชื่ออยู่ในพระนครนั้น

ตนหนึ่งเป็นสตรี ถูกไฟไหม้สุกเกรียมดำคล้ำไปทั้งตัว เยิ้มเกรอะกรังไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่โรยถ่านเพลิงบนศีรษะหญิงอีกคนหนึ่งด้วยแรงริษยา ด้วยสตรีคนนั้นได้เคยเป็นอัครมเหสีของพระราชากลิงคะ มีความริษยาในสตรีร่วมพระราชสวามีคนหนึ่ง ถึงกับใช้กระทะเหล็กตักถ่านเพลิงโปรยลงบนศีรษะของนางนั้น

คนหนึ่งเป็นกพันธะ คือผีไม่มีศีรษะ มีตาและปากอยู่ที่อก ถูกฝูงแร้งนกตะกรุมเจาะจิกทึ้ง ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่ฆ่าตัดศีรษะคน ด้วยได้เคยเป็นเพชฌฆาต ชื่อว่า หาริกะ ตัดศีรษะโจรเป็นอันมากอยู่ในพระนครนั้น

ตนหนึ่งเป็นภิกษุ ตนหนึ่งเป็นภิกษุณี ตนหนึ่งเป็นสิกขมานา (สามเณรีผู้จะอุปสมบทเป็นภิกษุณี ต้องรักษาศีลพิเศษอยู่ ๒ ปีก่อน ระหว่างนี้เรียกว่าสิกขมานา) ตนหนึ่งเป็นสามเณร ตนหนึ่งเป็นสามเณรี ทุกตนทรงสังฆาฏิ บาตร ประคต เป็นไฟลุกโชนตลอดทั้งร่างกาย ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่เป็นผู้บวชแล้วทำชั่ว ด้วยได้เคยเป็นภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี ผู้ประพฤติไม่ดี บริโภคปัจจัยลาภที่เขาถวายด้วยศรัทธาแล้ว ไม่สำรวมกายวาจา หาเลี้ยงชีพผิดทางสมณะ คะนองระเริงใจจนถึงวิบัติต่างๆ

เปรตเหล่านี้เป็นเปรตในพระนครราชคฤห์ ท่านว่าท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นด้วยทิพยจักษุ ได้มีผู้เคยไม่เชื่อมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลแล้วเหมือนกัน ดังที่มีเล่าไว้ในบาลีพระวินัยว่า พวกภิกษุเมื่อได้ฟังท่านพระมหาโมคคัลลานะเล่าเรื่องนี้ ก็ยกโทษท่านว่าท่านพูดอวดอุตริมนุษยธรรม (คือธรรมที่ยิ่งของมนุษย์ หรือธรรมของมนุษย์ผู้ยิ่ง) พระพุทธเจ้าตรัสว่า สาวกทั้งหลายผู้มีดวงตาญาณจักรู้จักเห็นได้ และท่านว่าพระพุทธองค์ได้ทรงเห็นสัตว์นั้นก่อนแล้ว แต่ไม่ได้ทรงพยากรณ์ เพราะถ้าทรงพยากรณ์ แม้ว่าคนอื่นไม่เชื่อก็ไม่เป็นประโยชน์ไม่เป็นคุณ เป็นโทษเป็นทุกข์แก่คนเหล่านั้น ท่านว่าครั้นทรงได้พระมหาโมคคัลลานะเป็นพยานจึงทรงพยากรณ์

 

จากหนังสือ ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า
เล่ม ๒ หน้า ๑๗๖ - ๑๘๑