Print

แสงส่องใจ - ฉบับที่ ๒๗๕

 sungaracha

 sangharaja-section

๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า


เทศนานิพนธ์
ใน
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก

วิบากกรรมของเปรต

ใน ไตรภูมิพระร่วง ตอนเปรตภูมิ กล่าวถึงพวกเปรตมากมายหลายจำพวก มีถิ่นฐานอยู่รอบเมืองราชคฤห์ กลางสมุทร เหนือเขา กลางเขา ที่มีปราสาทอยู่ก็มี ที่มีพาหนะยวดยานเที่ยวไปในอากาศก็มี เมื่อเดือนแรมเป็นเปรต เดือนขึ้นเป็นเทพยดา หรือกลับกันก็มี แฝงต้นไม้ใหญ่อยู่ หรืออยู่บนที่ราบก็มี เป็นพวกผีเสื้อ ผีในต้นไม้ก็มี เป็นพวกผีปีศาจซ่อนตนอยู่ในแผ่นดินก็มี มีอายุยืนต่างๆ กัน ๑๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ตลอดถึงกัปกัลป์พุทธันดร ต้องทนอดอยากทุกข์ยากต่างๆ

ลางจำพวกอายุยืนเท่าไรก็ไม่ได้ข้าวสักเมล็ดน้ำสักหยาดเข้าปากเข้าคอ

ลางจำพวกตัวใหญ่ปากเล็กเท่ารูเข็ม

ลางจำพวกผอมนักหนา จะหาเลือดสักหยดก็ไม่ได้ หนังติดกระดูก ตากลวงลึก ผมยุ่งรุ่ยร่าย ไม่มีผ้าปกกาย เหม็นสาบ ร้องเพราะอยากอาหารนักหนา นอนสิ้นแรง ได้ยินเหมือนเสียงร้องเรียกให้มากินข้าวกินน้ำ ลุกล้มล้มลุกไปมา แต่ก็ไม่มีข้าวน้ำจะได้แต่ที่ไหน เปรตเหล่านี้ เมื่อเป็นคนมักริษยาคนมี ดูแคลนคนยาก ทำกลเอาสินท่านมาเป็นสินตน ตระหนี่ไม่ให้ทาน เห็นเขาจะให้ก็ห้าม ฉ้อทรัพย์สินสงฆ์

ลางจำพวก มีตัวงามดังมหาพรหม งามดั่งทอง มีปากดั่งหมู อดอยากนักหนา เพราะเมื่อก่อนได้บวชเป็นชีมีศีลบริสุทธิ์จึงงามดั่งทอง มีปากดั่งปากหมู เพราะประมาทครูบาอาจารย์เจ้ากูสงฆ์ผู้มีศีล

จำพวกหนึ่ง ตัวงามดั่งทอง ปากเหม็นนักหนา หนอนเต็มปาก บ่อนกินปาก เจาะกินหน้าตา เพราะได้รักษาศีลเมื่อก่อนจึงมีตัวงาม ปากเหม็นหนอนบ่อนกินปากเพราะได้ติเตียนยุยงสงฆ์ให้ผิดกัน

จำพวกหนึ่ง เป็นหญิง (หรือชาย) มีตนเหม็นนักหนา แมลงวันตอมอยู่ทั่ว เจาะกินตน ผอมนักหนา หาเนื้อมิได้เลย เอ็นหนังพอกกระดูกอยู่ อดอยากนักหนา กินเนื้อลูกตนเอง เพราะเมื่อเป็นคนอยู่ หลอกให้ยาแท้งแก่หญิงมีครรภ์ และสบถว่า ถ้าให้ยาลูกตกก็ให้เป็นเปรตเหมือนอย่างนั้น

จำพวกหนึ่ง เป็นหญิง (หรือชาย) อดอยากนักหนา เห็นข้าวน้ำหยิบมาก็เป็นก้อนอาจม เป็นเลือดเป็นหนอง เห็นผ้าเอามาห่มก็กลายเป็นแผ่นเหล็กแดงไหม้ทั้งตัว เพราะเมื่ออยู่เป็นคน ขึ้งเคียด ด่าทอสามี (หรือภรรยา) ผู้บริจาคทาน ให้ไปกินข้าวน้ำที่กลายเป็นอาจมเลือดหนอง ให้ใช้ผ้าผ่อนที่กลายเป็นเหล็กแดง

จำพวกหนึ่ง ตนใหญ่สูงเพียงลำตาล ผมหยาบตัวเหม็น อดอยากไม่มีข้าวสักเมล็ดน้ำสักหยาดเข้าท้อง เพราะเมื่อกำเนิดก่อน ตระหนี่นัก ไม่มักทำบุญทาน ทั้งห้ามปรามผู้อื่นมิให้ทำ

จำพวกหนึ่ง สองมือกอบเอาข้าวลีบลุกเป็นไฟมาใส่บนหัวตัวเอง เพราะเมื่อกำเนิดก่อน เอาข้าวลีบปนข้าวดีไปลวงขาย

จำพวกหนึ่ง เอาค้อนเหล็กแดงตีหัวตนเอง เพราะเมื่อกำเนิดก่อน ได้ตีศีรษะพ่อแม่ด้วยมือ ไม้ หรือด้วยเชือก

จำพวกหนึ่ง อดอยาก ครั้นกินข้าวน้ำที่เห็นว่ามีรสอร่อย ก็กลายเป็นอาจมเน่าเป็นหนอนเหม็น เพราะเหตุที่เมื่อกำเนิดก่อน ได้สบถให้เป็นดั่งนั้น เพื่อพรางว่าไม่มีข้าวน้ำที่จะบริจาค

จำพวกหนึ่ง เป็นหญิงมีเล็บมือใหญ่ยาวและคมดั่งมีดคมกริบ ขูดเนื้อหนังของตัวเองกิน เพราะลักเนื้อของผู้อื่นแล้วปฏิเสธด้วยสบถให้ไปเป็นอย่างนั้น

จำพวกหนึ่ง กลางวันถูกยิงแทงตีด่า มีสุนัขใหญ่ไล่ขบกัดกินเนื้อ กลางคืนเป็นเทพยดาเสวยทิพยสมบัติ เพราะเมื่อกำเนิดก่อน กลางวันเข้าป่าล่าเนื้อ กลางคืนจำศีล

จำพวกหนึ่ง มีวิมานดั่งเทพยดา แต่อดอยากนักหนา เอามือคมกริบขูดเนื้อหนังของตนออกมากิน เพราะเมื่อกำเนิดก่อน เป็นนายเมืองบังคับความราษฎร มักกินสินจ้าง ที่ชอบว่าผิด ที่ผิดว่าชอบ จึงสนองให้ขูดเนื้อหนังของตนกิน แต่เพราะได้จำศีลจึงมีวิมานอยู่

จำพวกหนึ่ง กินเสลด อาเจียน น้ำลาย เหงื่อไคล น้ำเน่าน้ำหนองและของเหม็นอื่นๆ เพราะเมื่อกำเนิดก่อน ให้ของเดนของเสียแก่พระสงฆ์ผู้มีศีล

จำพวกหนึ่ง กินน้ำหนองและซากสุนัขเน่า เพราะเหตุที่เมื่อชาติก่อนนำเนื้อต้องห้ามมาอำพรางให้พระสงฆ์ฉัน

จำพวกหนึ่ง เปลวไฟพุ่งออกแต่อก ลิ้นปากลามไหม้ทั้งตัว เพราะเมื่อชาติก่อนได้ด่าสบประมาท กล่าวมุสาวาทต่อพระสงฆ์และผู้เฒ่าผู้แก่ผู้มีศีล

จำพวกหนึ่ง อยากน้ำดั่งใจจะขาด เห็นน้ำใสเอามือกอบมากิน น้ำก็กลายเป็นไฟไหม้ทั้งตัว เพราะเมื่อชาติก่อน ข่มเหงคนเข็ญใจ ไม่มีกรุณาปรานี เห็นของท่านก็ใคร่จะได้ เห็นสินท่านก็ใคร่จะเบียดบังเอา ใส่ความผิดท่าน

จำพวกหนึ่ง มีตัวเปื่อยเน่า ผอม หลังขด มือเน่า เท้าเปื่อย เอาไฟมาครอกตัวเอง กลิ้งอยู่ดั่งขอนไม้ เพราะเมื่อชาติก่อน ครอกเผาป่า (ทำลายป่าทำลายสัตว์ป่า)

จำพวกหนึ่ง มีตนใหญ่เท่าภูเขา มีเส้นขนรียาวเสียบแหลม เล็บตีนเล็บมือใหญ่คมกริบดั่งมีดหอกดาบ เล็บและขนกระทบกันดังลั่น ลุกเป็นไฟไหม้ทั้งตัว บาดตัวดั่งขวานฟ้าผ่า เพราะเมื่อชาติก่อน เป็นนายเมือง แต่งความมิชอบธรรม เห็นแก่สินจ้าง ไม่เป็นกลาง ที่ชอบว่าผิด ที่ผิดว่าชอบ

เปรตจำพวกต่างๆ ในไตรภูมิพระร่วง ดูรายชื่อคัมภีร์ที่ค้นมาเรียบเรียงก็เห็นได้ว่าเก็บจากคัมภีร์สายเถรวาท หรือพระพุทธศาสนานิกายสายใต้ แสดงลักษณะทรมานต่างๆ และแสดงกรรมที่กระทำในชาติก่อนด้วย แต่ของบางจำพวก ดูก็ไม่ค่อยเหมาะสม พระอาจารย์น่าจะเก็บเปรตมาจากที่ต่างๆ และแสดงกรรมกำกับไว้ แต่ก็มีลักษณะเป็นเปรตมากกว่าเปรตทางสายธิเบต เพราะทางนิกายสายใต้นี้มีลักษณะตรงกันอยู่อย่างหนึ่งว่า ทนทุกข์ทรมานด้วยตนเอง ตนเองเป็นผู้หิวกระหาย ถูกไฟไหม้ ถูกสัตว์บ่อนกัดกิน เป็นต้น มิได้เที่ยวไปทำร้ายใคร ส่วนเปรตทางนิกายสายเหนือมีลักษณะเป็น ปีศาจ หรือ ผี ที่เที่ยวไปทำร้ายคนหรือสัตว์ดิรัจฉานอื่นๆ ด้วย แต่ทั้งสองสายก็มีลักษณะตรงกันอยู่ข้อหนึ่งว่า เปรตต่างจากสัตว์นรก นรกนั้นเป็นสถานทรมานที่มีอยู่ส่วนหนึ่ง เทียบอย่างคุกตะราง สัตว์นรกรวมอยู่ในคุกนรกนั้น ส่วนเปรตอยู่ในที่ต่างๆ บนโลก เป็นที่จำกัดบ้าง ไม่จำกัดบ้าง เป็นพวกมีร่างกายพิกลพิการอดอยากยากแค้น ทนทุกข์ทรมานในลักษณะต่างๆ เทียบด้วยคนอดอยากยากแค้น ไม่สมประกอบพิกลพิการ มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งในที่ต่างๆ หรือเที่ยวเร่ร่อนไป ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง

 

การทำบุญอุทิศกุศลให้

           เรื่อง ผีบุพพบิดร และวิธีทำทักษิณาคือทำบุญอุทิศให้ ได้มีแสดงไว้แล้วในลัทธิพราหมณ์ก่อนแต่พระพุทธศาสนาได้มาบังเกิดขึ้น ดั่งที่ได้กล่าวมาแล้ว คิดดูถึงจิตใจของคนที่เป็นญาติกัน เมื่อเชื่อว่าญาติที่ตายไปแล้วของตนไปเกิดตกทุกข์ได้ยาก ก็ย่อมจะมีความสงสารและคิดช่วยด้วยประกอบพิธีตามที่เชื่อถือ จึงเกิดพิธี ศราทธพรต (วัตรวิธีตามที่เชื่อ) ขึ้น เมื่อพระพุทธศาสนาได้บังเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงบุพพเปตพลีในพระพุทธศาสนา แต่ในชั้นหลังได้แยกออกเป็น ๒ สาย คือมหายานและเถรวาท ฝ่ายเถรวาทได้นับถือพระพุทธวจนะที่พระเถระทั้งหลายมีพระมหากัสสปเป็นประธานได้ทำสังคายนาไว้ (ครั้งที่ ๑) และได้รักษาสืบต่อมาจนถึงได้จารึกเป็นตัวอักษรในลังกา การแสดงพระพุทธศาสนาของสายนี้ ตลอดจนการอ้างว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้นตรัสอย่างนี้ ก็อ้างจากพระไตรปิฎกซึ่งได้จดจารึกตั้งแต่ครั้งนั้น และคัดลอกสืบกันมา ส่วนฝ่ายมหายานได้มีแสดงผิดแผกออกไป ดั่งเช่นเปรตประเภทต่างๆ ที่อ้างมาแล้ว แม้วิธีช่วยก็เช่นเดียวกัน ดั่งในหนังสือเล่มหนึ่ง ได้กล่าวถึงเรื่องพระโมคัลลานะไปช่วยมารดา มีความว่า

           สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ใกล้กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น พระโมคคัลลานะซึ่งเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย (ได้ทราบว่าทางจีนถือเบื้องซ้ายเป็นสำคัญ เบื้องขวาเป็นรอง ทางธิเบตคงจะถือเช่นเดียวกันกระมัง) ได้คิดจะช่วยมารดาบิดาผู้ละไปแล้ว จึงตรวจดูไปทั่วโลกว่า ท่านทั้ง ๒ นั้นไปอยู่ที่ไหน ก็ได้เห็นมารดาไปเกิดอยู่ในเปตโลก ไม่มีความสุข ปราศจากอาหารและน้ำดื่ม มีร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มีความสงสารเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ไปหามารดา ได้ยื่นบาตรที่เต็มด้วยข้าวให้ มารดาของท่านรับบาตรมาถือไว้ในมือซ้าย พยายามที่จะหยิบข้าวเปิบเข้าปากด้วยมือขวา แต่ก่อนที่จะถึงริมฝีปาก ข้าวก็กลายเป็นเถ้าถ่านไฟ นางไม่อาจที่จะบริโภคได้ เมื่อได้เห็นเช่นนี้ พระโมคคัลลานะก็มีความสังเวชสลดใจ ได้กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ ที่ประทับ กราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นและรอฟังคำสั่งสอนของพระองค์ พระบรมครูได้ตรัสว่า บาปที่ผูกมัดมารดาของพระโมคคัลลานะไปสู่ฐานะที่ไม่เป็นสุขนี้เป็นบาปหนัก พระโมคคัลลานะหรือใครในโลก หรือเทวโลกทั้งหมด ไม่อาจจะช่วยให้หลุดพ้นได้ด้วยลำพังกำลังของตนเอง แต่ความหลุดพ้นอาจจะมีได้โดยสงฆ์คือภิกษุใน ๑๐ ทิศมาประชุมกัน ด้วยกำลังทาง  จิตใจของสงฆ์ดั่งกล่าว ความหลุดพ้นจึงอาจมีได้ จึงทรงแนะนำวิธีจะช่วยให้พ้นจากความทุกข์นี้ และความทุกข์ที่คล้ายกันทั้งหมด คือในวันที่ ๑๕ ของเดือนที่ ๗ ภิกษุใน ๑๐ ทิศมาประชุมรวมกันแล้วก็พึงถวายทานเพื่อที่จะช่วยบุพชน ด้วยวิธีนี้บุพชนทั้งหลายจะหลุดพ้นจากความทุกข์ และเกิดขึ้นทันทีในภูมิที่มีสุขในสวรรค์ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสอนคำที่จะสวดในขณะที่มีการถวายทาน ซึ่งจะให้บังเกิดคุณอย่างแน่นอน พระโมคคัลลานะมีความชื่นชมยินดี และด้วยวิธีที่ทรงสอนนี้ ก็ได้ช่วยมารดาให้พ้นจากความทุกข์ได้

 อีกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดนางพญาเปรต มีความว่า

นางพญาเปรตมีนามว่า หาริติ ปากเป็นไฟ มีลูกถึง ๕๐๐ นางเที่ยวจับเด็กที่มีชีวิตมาเลี้ยงพวกลูกของนาง พระพุทธเจ้าผู้ทรงพระมหากรุณาได้เสด็จมายังที่พำนักของนาง ได้ทรงซ่อนบุตรคนเล็กสุดที่รักของนางชื่อ ปิงคละ ไว้ในบาตรของพระองค์ เมื่อนางกลับมาไม่พบบุตรก็มีความเศร้าโศก และได้ทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงช่วยติดตามนำกลับมา พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงให้นางทราบว่า ปิงคละของนางอยู่ในบาตรของพระองค์ นางและพวกบริวารได้ช่วยกันพยายามที่จะนำปิงคละออกมาจากบาตร แต่ไม่สำเร็จ จึงได้ทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงช่วยอีก พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า นางเที่ยวกินเด็กที่เป็นบุตรของมนุษย์ ซึ่งมีบุตรกันคนละ ๒-๓ คนเท่านั้น ส่วนนางสิมีลูกถึง ๕๐๐ คน ถึงอย่างนั้นก็ยังเศร้าโศกเพราะเสียลูกไปเพียงคนเดียว นางพญาเปรตกราบทูลว่า บุตรคนนี้เป็นสุดที่รักและได้ถวายปฏิญญาว่า จักไม่กินเด็กมนุษย์อีกต่อไป พระพุทธเจ้าได้ทรงคืนปิงคละให้นาง นางได้ถึงสรณะ ๓ และสมาทานศีล ๕ เรื่องนี้อ้างว่ามีใน รตนกูฏสูตร และทางลัทธิลามะได้กล่าวต่อไปว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงสัญญาว่า ในอนาคต ภิกษุในพระพุทธศาสนา ทั้งหมดจักให้ข้าวประจำวันกำมือหนึ่งๆ แก่นาง

ทั้ง ๒ เรื่องนี้ เล่าแทรกเข้ามาเพื่อให้เป็นเรื่องแปลกหู เรื่องแรกก็พอเป็นเรื่องเปรตได้ ส่วนเรื่องหลังเป็นเรื่องยักษิณีมากกว่า แต่วิธีช่วยในเรื่องที่ ๑ และตามที่ลัทธิลามะเพิ่มเติมไว้ท้ายเรื่องที่ ๒ ก็มีเค้าเป็นพิธีทักษิณา แต่ก็ไม่ตรงกับวิธีบำเพ็ญทักษิณาตามที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนที่ว่าด้วยพรรษาที่ ๒-

จากหนังสือ ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า
เล่ม ๒ หน้า ๘๗ – ๙๔