แสงส่องใจ - ฉบับที่ ๒๗๒
๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า
เทศนานิพนธ์
ใน
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
นรกในนิกายลามะ
นรกทั้ง ๑๐ ตามที่กล่าวมานี้ ท่านใช้คำว่า นิรยะ ประจำอยู่ทุกๆ คำ ดูเค้าเงื่อนจะเป็นนรกอีกแผนกหนึ่ง ได้พบในหนังสือกล่าวถึงนรกตามลัทธิลามะของธิเบต กล่าวว่านรกมี ๒ ส่วน คือ นรกร้อน และนรกเย็น ผู้เรียบเรียงสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเพราะพระพุทธศาสนาฝ่ายเหนือแผ่ไปตั้งอยู่ในท้องถิ่นที่หนาวเย็น จึงมีนรกเย็นขึ้นอีกส่วนหนึ่ง แต่พระพุทธศาสนาฝ่ายใต้แผ่ไปตั้งอยู่ในท้องถิ่นมีอากาศร้อน ไม่มีอากาศหนาวเย็นร้ายกาจ จึงมีแต่นรกร้อนเท่านั้น นรกร้อน ๘ ขุมตามลัทธิลามะนั้น มีชื่อเหมือนกันกับนรกใหญ่ ๘ ขุมทางฝ่ายใต้ และตั้งอยู่ก้นบึ้งของแผ่นดินเช่นเดียวกัน ส่วนนรกเย็นอีก ๘ ขุม ตั้งอยู่ภายใต้ของกำแพงที่วงรอบโลก (จักรวาล) มีภูเขาน้ำแข็งล้อมรอบ และมีนายนิรยบาลที่น่ากลัวเหมือนในนรกร้อน มีชื่อเป็นภาษาสันสกฤตดั่งต่อไปนี้
๑. อรพุทะ แปลว่า บวม เจ็บปวด คือสัตว์นรกที่นี่ถูกใส่ลงไปแช่น้ำแข็งที่เลื่อนไหลไป มีร่างกายเช่นมือเท้าบวมเบ่ง เจ็บปวดด้วยความหนาวเย็น (ภาษาบาลีว่า อัพพุทะ เป็นชื่อนรก ๑๐ ขุมที่ ๑)
๒. นิรรพุทะ ร่างกายเช่นมือเท้าบวมเบ่งยิ่งขึ้น เป็นเม็ดเจ็บปวด มีโลหิตไหลออกซิบๆ เจ็บปวดรวดร้าวด้วยความหนาว (ภาษาบาลีว่า นิรัพพุทะ เป็นชื่อนรก ๑๐ ขุมที่ ๒)
๓. อตตะ คือร้องไม่เป็นภาษาด้วยความทุกข์ทรมาน (ภาษาบาลีว่า อฏฏะ เป็นชื่อนรก ๑๐ ขุมที่ ๕
๔. หหวะ คือหนาวเย็นยิ่งขึ้นจนลิ้นแข็ง ร้องได้แต่ว่า ฮะๆ เท่านั้น (คล้าย อพัพพะ ซึ่งเป็นชื่อภาษาบาลีของนรก ๑๐ ขุมที่ ๓)
๕. อหหะ ขากรรไกรและฟันกระทบกันเพราะความหนาว (ภาษาบาลีอย่างเดียวกัน เป็นชื่อนรก ๑๐ ขุมที่ ๔)
๖. อุตปละ อาการบวมเบ่งเจ็บปวดของร่างกาย บวมเบ่งมากจนเหมือนดอกบัวเขียว (ภาษาบาลีว่า อุปปละ เป็นชื่อนรก ๑๐ ขุมที่ ๘)
๗. ปทมะ อาการบวมเบ่งที่มีโลหิตไหลซิบๆ พุพองมากขึ้น จนเหมือนดอกบัวแดง (ภาษาบาลีว่า ปทุมะ เป็นชื่อนรก ๑๐ ขุมที่ ๑๐)
๘. ปุณฑรีกะ อาการบวมเบ่งที่มีโลหิตไหลซิบๆ นั้น บวมเบ่งมากขึ้นจนเนื้อหลุดออกจากกระดูก เหมือนกลีบดอกบัวใหญ่หลุดออกไป มีนกและแมลงปากเหล็กจิกกัด ได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัส (ภาษาบาลีก็ว่า ปุณฑริกะ เป็นชื่อนรก ๑๐ ขุมที่ ๙)
นรกเย็น ๘ ขุมดังกล่าวนี้ ได้เทียบกับนรก ๑๐ ไว้ด้วยแล้ว มีชื่อเดียวกันเกือบทั้งหมด ต่างแต่ใช้ภาษาบาลีหรือมคธฝ่ายหนึ่ง ใช้ภาษาสันสกฤตฝ่ายหนึ่ง นรก ๑๐ มีเพิ่ม กุมุทะ (ที่ ๖) และ โสคันธิกะ (ที่ ๗) นรก ๘ ก็ขาด ๒ ชื่อนี้ แม้จะชื่อเดียวกัน แต่ก็เรียงลำดับสับกันดั่งที่เทียบไว้แล้วน่าตั้งข้อสังเกตว่ามาจากเค้าคติเดียวกัน ฝ่ายไหนจะได้จากฝ่ายไหนไม่อาจทราบได้ ส่วนคำอธิบายต่างกันไปคนละอย่าง
ทางลัทธิลามะของธิเบตนั้น มีกล่าวต่อไปว่า ยังมีนรกที่เป็นด้านหน้าที่ทางออกจากนรกใหญ่อีก ๔ ส่วน คือ
๑. อัคนินรก แปลว่า ขุมไฟ เต็มไปด้วยเถ้าถ่านที่ร้อนแรง ทำให้หายใจไม่ออก เป็นเถ้าถ่านของซากศพและสิ่งปฏิกูลทุกชนิด
๒. กุณปังกะ แปลว่า สถานแห่งซากศพ อยู่ถัดไปจากอัคนินรก
๓. ขุรธาราวนะ แปลว่า ป่าไม้คมมีดโกน คือป่าไม้แห่งหอกและจักรอันคมเหมือนใบมีดโกน อยู่ถัดไปจากนรกที่ ๒
๔. อสิธาราวนะ แปลว่า ป่าไม้คมดาบ คือป่าไม้ใบเป็นดาบ อยู่ถัดนรกที่ ๓ แต่มีแม่น้ำแข็งคั่นอยู่ สัตว์นรกหนีจากนรกที่ ๓ ข้ามแม่น้ำนั้นได้แล้ว ขึ้นฝั่งเป็นนรกที่ ๔ ต้องถูกใบไม้คมดาบบาดเจ็บทรมาน มีพิธีสวดสำหรับผู้ตาย ขอให้แม่น้ำแข็งซึ่งใหญ่โตปานมหาสมุทรเป็นลำธารเล็กๆ และขอให้ต้นไม้คมดาบกลายเป็นต้นกัลปพฤกษ์ อำนวยให้สำเร็จปรารถนาสิ่งต่างๆ
นรกรอบนอกเหล่านี้ ดูเค้าเดียวกันกับนรกรอบนอกของนรกใหญ่ในเทวทูตสูตร น่าจะมาจากคติเดิมเดียวกัน และนรกเย็นขุมที่ ๑ คืออรพุทะ หรืออัพพุทะ ใช้ชื่อเดียวกันกับกำเนิดรูปกายในครรภ์มารดาที่แสดงไว้ใน อินทกสูตร สังยุตตนิกาย ว่าสัปดาห์ที่ ๑ เป็นกลละ สัปดาห์ที่ ๒ เป็นอัพพุทะหรืออัมพุทะ คือเริ่มมีสีเรื่อๆ เป็นน้ำล้างเนื้อ แต่ยังเหลวเหมือนดีบุกเหลว (จะแสดงถึงในพรรษาที่ ๗) ในลัทธิลามะนั้นยังกล่าวว่ามีนรกภายนอกอีกมากมาย จำนวนถึง ๘๔,๐๐๐ โดยมากตั้งอยู่บนพื้นโลก ในภูเขา ในที่รกร้าง ในที่ร้อน ในทะเลสาบ
นรกอีกชนิดหนึ่งรู้จักกันในภาษาไทยโดยมากว่า โลกันต์ แต่ชื่อที่ถูกต้องว่า โลกันตริกะ แปลว่า ตั้งอยู่ในระหว่างแห่งโลก ท่านอธิบายว่าอยู่นอกขอบกำแพงวงกลมรอบโลก (จักรวาล) คืออยู่ในระหว่าง ๓ จักรวาล หรือระหว่างโลก ๓ โลกที่อยู่ใกล้กัน ดังเกวียน ๓ เกวียน หรือบาตร ๓ บาตรที่วางไว้ใกล้กัน (เป็น ๓ มุมกระมัง) โลกันตริกะอยู่ในระหว่างนั้น เป็นนรกที่มืดมิดอยู่นิรันดร ต่อพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น จึงมีแสงสว่างคราวหนึ่ง แต่ไม่สว่างอยู่นาน แวบเดียวเท่านั้นแล้วก็มืดไปตามเดิม สัตว์บาปในนรกแห่งนี้เกาะโหนห้อยกำแพงจักรวาลอย่างค้างคาว จับตะครุบกินกันเอง พากันตกลงไปในน้ำที่เย็นนักหนา ร่างกายก็เปื่อยแหลก แล้วก็กลับเป็นรูปร่างปีนขึ้นไปเกาะโหนอยู่ใหม่ สำหรับบาปที่เป็น พาลหลง (เรียกในไตรภูมิพระร่วง) คือที่เป็น นิยตมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดที่ดิ่งลง ๓ อย่าง คือ
๑. อกิริยทิฏฐิ เห็นว่าไม่เป็นอันทำ คือทำบาปไม่เป็นบาป ทำบุญไม่เป็นบุญ
๒. อเหตุกทิฏฐิ เห็นว่าไม่มีเหตุ เช่นเห็นว่าสุขทุกข์ไม่มีเหตุ เกิดขึ้นเอง
๓. นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่าไม่มี เช่นเห็นว่าทานศีลเป็นต้นไม่มีผล วิบากของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี มารดาบิดาไม่มีคุณ เป็นต้น
นอกจากนี้ สำหรับบาปที่ทำหนักหนา ทารุณต่อมารดาบิดา สมณพราหมณ์ผู้ทรงธรรม และทำกรรมที่สาหัสอย่างอื่นมีฆ่าสัตว์ทุกๆ วัน เป็นต้น
ในภาษาไทยมักเรียกว่า โลกันตนรก แต่คำว่า โลกันต แปลว่า ที่สุดแห่งโลก (โลก + อันตะ) ในที่บางแห่งใช้เป็นที่ชื่อแห่งพระนิพพาน ดั่งแสดงไว้ใน โรหิตัสสสูตร ว่า ที่สุดแห่งโลกไม่พึงถึงด้วยการไปในเวลาไหนๆ จึงต่างจากคำว่า โลกันตริกะ ดั่งกล่าวแล้ว (โลก + อันตริกะ ตั้งอยู่ในระหว่างแห่งโลก)ตามคติความคิดเรื่องโลกประลัย แสดงว่านรกสวรรค์ทั้งปวงพลอยประลัยไปด้วยกับโลกจนถึงพรหมโลก (มีระบุไว้ว่าประลัยขึ้นไปถึงชั้นไหน) เหมือนอย่างล้างกันเสียคราวหนึ่ง สัตวโลกตลอดถึงพวกนรกก็ขึ้นไปเกิดในพรหมโลกที่ยังเหลืออยู่ พวกนรกที่ยังไม่สิ้นกรรมก็ต้องอพยพไปในนรกของจักรวาลอื่น (ท่านว่าไว้อย่างนี้ เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ที่อยู่ของสัตวโลกทุกประเภท) แต่สำหรับโลกันตริกนรกไม่ต้องประลัยไปพร้อมกับโลก เพราะอยู่ในระหว่างโลก จึงยังเหลือที่อยู่สำหรับพวกบาปที่เป็นมิจฉาทิฏฐิดิ่งลง และพวกบาปหนักอย่างอื่น ดูท่านที่เป็นต้นคติความคิดเรื่องนี้ จะมุ่งให้มีนรกสักแห่งหนึ่งที่ยั่งยืน ไม่ต้องประลัยไปพร้อมกับโลก จึงตั้งนรกนี้ไว้ในระหว่างโลกหรือจักรวาลทั้งหลาย เพื่อเป็นที่ทรมานสัตว์บาปประเภทที่ท่านไม่ยอมให้เลิกแล้วกันเสียทีในคราวโลกวินาศนั้น
เรื่องนรกมีลักษณะต่างๆ ตามที่กล่าวมานี้ น่าจะเป็นที่เชื่อถือกันตลอดเวลาช้านาน ใน มิลินทปัญหา ก็ยังได้กล่าวถึงว่า ไฟนรกร้อนยิ่งกว่าไฟปกติมากมาย ก้อนหินเล็กๆ ที่ใส่เผาในไฟปกติตลอดวันก็ยังไม่ย่อยละลาย แต่ถ้าใส่ในไฟนรก แม้จะใหญ่โตเท่าเรือนยอดก็ย่อยละลายลงไปทันที แต่ว่าสัตว์นรกบังเกิดอยู่ได้นาน ไม่ย่อยละลายไป พระเจ้ามิลินท์ไม่ทรงเชื่อในเรื่องนี้ พระนาคเสนทูลแถลงว่าอยู่ได้เพราะกรรม ตามมิลินทปัญหานี้ไม่ได้ค้านว่านรกไม่มี แต่ค้านในลักษณะบางอย่างเท่านั้น แสดงว่าในสมัยนั้นยังเชื่อถือกันอยู่ ในเมืองไทยก็คงได้เชื่อกันมานานเหมือนกัน แม้ท่านจะแสดงนรกไว้น่ากลัวมาก เพื่อให้คนกลัวจะได้ไม่ทำบาป ถึงดั่งนั้นคนก็ยังทำบาปกันอยู่เรื่อยมา แม้ในสมัยที่มีความเชื่อกันสนิทก็ยังทำบาปกันอยู่นั่นแหละ แต่ก็มีคนไม่น้อยที่ไม่ทำบาปเพราะกลัวไปนรก เพราะท่านแสดงนรกไว้ล้วนแต่น่ากลัว ในที่บางแห่งยังได้กล่าวว่า ทุกข์ในนรกนั้นร้ายกาจนัก นักโทษที่ถูกทรมานแทงด้วยหอก ๑๐๐ เล่มในเวลาเช้า ยังไม่ตายก็แทงด้วยหอกอีก ๑๐๐ เล่มในเวลากลางวัน ยังไม่ตายก็แทงด้วยหอกอีก ๑๐๐ เล่มในเวลาเย็น ความทุกข์ของนักโทษนี้ เมื่อเทียบกับทุกข์ในนรกแล้วก็เล็กน้อยเหมือนอย่างหินก้อนเล็กๆ ส่วนทุกข์ในนรกเหมือนอย่างพญาเขาหิมวันต์ เรื่องคนไม่กลัวนรกทั้งที่เชื่อว่านรกมีอยู่และเป็นทุกข์มากมาย ไม่ใช่เป็นของแปลก เพราะมองไม่เห็น แม้คุกตะรางและการลงราชทัณฑ์ต่างๆ มองเห็นอยู่ด้วยตาก็ยังไม่กลัว ยังมีคนเข้าไปอยู่เต็ม โดยมากเวลาจะทำผิดก็ไม่ได้คิดกลัวกัน เช่นพวกปล้น เวลาปล้นดูจะกลัวไม่ได้ทรัพย์มากกว่า โลภโกรธหลงนี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ทำให้ไม่ค่อยกลัวอะไร ใกล้ตายังไม่กลัว ไกลตาก็ยิ่งลืมกลัวไปเลย
จากหนังสือ ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า
เล่ม ๒ หน้า ๖๖ – ๗๑