Print

แสงส่องใจ - ฉบับที่ ๒๒๘

sangharaja-section

sungaracha

แสงส่องใจให้เพียงพรหม

เทศนานิพนธ์
ใน
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ธรรมะ ของพระพุทธเจ้านั้นล้วนแต่สอนให้ได้ดีทั้งทางกายและทางใจ ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มีข้อใดหมวดใดเลยที่ไม่สอนให้ดี และคุณของการศึกษาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าก็กว้างขวางนัก ผู้ไม่พิจารณาให้รอบคอบลึกซึ้งด้วยดีอาจไม่ประจักษ์เช่นพรหมวิหารธรรมเป็น ต้น มีคุณกว้างขวางยิ่ง


เมตตา ความปรารถนาให้เป็นสุข มิได้มีคุณแก่ผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ นอกจากจะมิได้เป็นเมตตาจริงเมตตาแท้ เมตตามีคุณกว้างขวาง หาขอบเขตมิได้ ทุกคนมีสิทธิจะแผ่เมตตาให้ทุกคนทุกสัตว์ทุกชีวิตได้และทุกคนควรทำ อีกทางหนึ่งทุกคนมีสิทธิรับเมตตาจากทุกคนทุกชีวิตได้ คุณของเมตตาคือความเย็น เมตตามีที่ใดความเย็นมีที่นั้น ผู้มีเมตตาจึงเป็นผู้มีความเย็นสำหรับเผื่อแผ่ และผู้ยอมรับเมตตาก็จะเป็นผู้มีความเย็นได้ด้วย ผู้มีเมตตาหรือผู้ให้เมตตาย่อมเป็นผู้เย็น คือเย็นเพราะไม่มุ่งร้ายใคร มุ่งแต่ดี มีแต่ปรารถนาให้เป็นสุข เมื่อความไม่มุ่งร้ายมี ความไม่ร้อนก็ย่อมมีเป็นธรรมดา ทุกคนอาจรู้สึกได้ด้วยกัน แต่มีมากที่ไม่คิดให้ลึกซึ้ง ว่าความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุขก็เช่นเดียวกับปรารถนาให้ตัวเองเป็นสุข ซึ่งจะให้ความสุขกับตนเอง เป็นคุณแก่ตนเอง ก่อนผู้อื่นทั้งหมด เช่นเดียวกับความมุ่งร้ายต่อผู้อื่น จะให้ทุกข์กับตนเอง เป็นโทษแก่ตนเอง ก่อนผู้อื่นทั้งหมด


พึง มีสติรู้ตัวเสมอ ว่ามีความมุ่งร้ายหรือมีความปรารถนาให้ผู้ใดเป็นสุขอย่างไร ถ้ารู้สึกว่ามีความไม่ปรารถนาดีเกิดขึ้นในใจ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ามีความมุ่งร้าย ก็ให้พยายามทำความรู้ตัวว่าความร้อนในใจนั้นหาได้เกิดจากผู้อื่น แต่เกิดจากใจตนเอง และให้รู้ด้วย ว่าแม้ทำความมุ่งร้ายภายในใจให้ลดน้อยลงได้ ก็จะทำความร้อนภายในใจให้ลดน้อยลงได้ และเมื่อใดทำความมุ่งร้ายให้หมดสิ้นไปจากใจได้ ก็จะทำให้ความร้อนหมดไปได้เช่นกัน พิจารณาใจตนเองว่าพอใจจะมีความร้อนหรือ ถ้าไม่พอใจก็ให้รู้ ว่าความร้อนใจมีความมุ่งร้ายเป็นเหตุหนึ่งที่สำคัญ และก็ยังมีเหตุอื่นประกอบอีกด้วย พยายามลดเหตุไม่ดีเหล่านั้นให้น้อยลงจนถึงให้หมดสิ้น จะได้พบความสุขใจตามควรแก่การปฏิบัติที่เป็นการลดเหตุแห่งทุกข์


เมตตา เป็นเครื่องทำลายความมุ่งร้ายหรือความพยาบาทได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเมตตาจึงเป็นเหตุแห่งความสุขที่เห็นได้ชัด เป็นเหตุที่ควรสร้างให้มีขึ้น เพื่อทำความทุกข์ให้ลดน้อยถึงหมดสิ้นไป การพยายามมองคนอย่างถูกต้อง ถูกเหตุผล ตรงตามความเป็นจริง ไม่ใช่มองในแง่ดีหรือมองในแง่ร้าย และการพยายามคิดให้ถูกต้องตามความเป็นจริง ว่าคนทุกคนเหมือนกัน เป็นธาตุดินน้ำไฟลมอากาศด้วยกัน ไม่ควรจะถือเป็นเราเป็นเขา และเมื่อไม่ถือเป็นเราเป็นเขา ก็ย่อมไม่มีความมุ่งร้ายต่อกันและกันเป็นธรรมดา ความเมตตาย่อมมีได้ง่าย


คุณ ของความกรุณาการช่วยให้พ้นทุกข์นั้นอย่างไร พิจารณาการช่วยให้พ้นทุกข์ที่ง่าย เช่นเห็นมดว่ายน้ำกระเสือกกระสนในภาชนะที่มีน้ำ การช่วยให้พ้นทุกข์คือเขี่ยมดให้พ้นน้ำ หรือถ้ามดมีจำนวนมากก็อาจนำน้ำไปเทลงดิน มดก็จะพ้นจากทุกข์ได้ เป็นคุณที่มดได้รับ ส่วนคุณที่ผู้มีกรุณาได้รับก็มีแน่ แม้จะเป็นเพียงการช่วยชีวิตสัตว์เล็ก ๆ เพียงเท่ามดให้พ้นทุกข์ แต่อย่าประมาทว่าคุณของความกรุณาจะเล็กน้อยไปด้วย ของใหญ่ย่อมเกิดจากของเล็ก น้ำฝนที่เป็นของจำเป็นอย่างยิ่งแก่ชีวิตเกิดจากเมฆใหญ่ แต่เมฆใหญ่ก็เกิดจากการรวมตัวของปุยเมฆน้อย ๆ และปุยเมฆน้อย ๆ ก็เกิดจากละอองที่บางเบา แม้เพียงเท่านี้ย่อมชัดว่าถ้าไม่เริ่มต้นจากเล็กน้อยแล้วสิ่งที่ยิ่งใหญ่จะ เกิดไม่ได้ ฉะนั้นอย่าประมาทความเล็กน้อย


ขณะ ยังไม่มีโอกาสจะแสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ ก็อย่าละเลยการแสดงความกรุณาแม้ที่เล็กน้อยเพียงใด แสดงความกรุณาครั้งหนึ่งก็เท่ากับสะสมความดีไว้ในตนครั้งหนึ่ง บ่อยครั้งเท่าไรความดีก็จะสะสมได้มากเท่านั้น เมื่อมีการกระทำความดีอื่นประกอบอยู่ด้วยสม่ำเสมอ ความดีก็จะเพิ่มมากขึ้นสม่ำเสมอ เป็นการแย่งที่ของความไม่ดี ที่ของหัวใจก็เหมือนที่ภายนอก เหมือนที่ทุกแห่ง คือเมื่อมีสิ่งหนึ่งวางอยู่แล้วอีกสิ่งหนึ่งก็อยู่ไม่ได้ ที่ไม่มี   เมื่อกรุณาเกิดขึ้นแสดงออกความเบียดเบียนก็เกิดไม่ได้ เพราะเมื่อช่วยให้พ้นทุกข์แล้วจะเบียดเบียนได้อย่างไร เป็นสิ่งตรงกันข้ามเหมือนขาวกับดำ เมื่อเป็นสีขาวก็ไม่ใช่สีดำ จะเป็นทั้งสีขาวและสีดำไปพร้อมกันในที่เดียวกันไม่ได้ กรุณาจึงมีคุณยิ่งใหญ่ที่จะป้องกันจิตใจมิให้มีที่ว่างสำหรับความคิดเบียด เบียนทำร้าย ซึ่งมีโทษสถานเดียว เช่นเดียวกับเมตตาที่มีคุณยิ่งใหญ่ ที่ป้องกันจิตใจมิให้มีที่ว่างสำหรับความพยาบาทความมุ่งร้ายทั้งปวง


ทุก ชีวิตเกิดมาแล้วมีความทุกข์อย่างยิ่งด้วยกันทั้งนั้น เป็นทุกข์ร่วมกันก็มีเป็นอันมาก เป็นทุกข์เฉพาะตัวก็มีเป็นอันมาก เมื่อตนเองเกิดทุกข์ คือเมื่อตนเองรู้สึกในทุกข์ เพราะความจริงนั้นทุกข์เกิดอยู่ประจำไม่ขาดสาย แต่บางทีเราก็ไม่รู้สึกในทุกข์นั้น เพราะทุกข์นั้นถูกปิดบังเสียบ้าง หรือเพราะหลงถือว่าทุกข์เป็นสุขไปเสียบ้าง ฉะนั้นก็ให้เป็นเพียงว่าถ้ารู้สึกเป็นทุกข์เมื่อไร ก็ให้สละความคิดถึงแต่ตัวเองไปนึกถึงผู้อื่นบ้าง ว่าเมื่อตนเป็นทุกข์มีความเดือดร้อนอย่างไร ต้องการให้ทุกข์นั้นหมดสิ้นไปอย่างไร ผู้อื่นก็จะมีความรู้สึกเช่นเดียวกับตนนั่นเอง ให้ฝึกนึกถึงตัวคนอื่นใจคนอื่นไปพร้อมกับนึกถึงตัวเราใจเราให้เสมอ อย่านึกถึงแต่ตัวเราใจเราเท่านั้น เพราะการนึกถึงแต่ตัวเองไม่เป็นคุณแม้แก่ตัวเอง ผู้ที่คิดว่าการนึกถึงผู้อื่นเห็นใจคนอื่นเท่ากับนึกถึงตัวเองเห็นใจตัวเอง จะเป็นการขาดทุนขาดประโยชน์ตนนั้น เข้าใจผิดอย่างยิ่ง ตรงกันข้าม การนึกถึงผู้อื่นนึกถึงใจผู้อื่นเช่นเดียวกับนึกถึงตนเองนึกถึงใจตนเองจะ เป็นการได้กำไรได้ประโยชน์ตนอย่างยิ่ง


การ แสดงกรุณาคือช่วยให้พ้นทุกข์นั้น แม้จะเป็นในเรื่องเล็กน้อย หรือในเรื่องใหญ่ เช่นตามข่าวที่เคยปรากฏว่ามีผู้ยอมสละชีวิตช่วยคนตกน้ำหรือช่วยคนไฟไหม้จน ตัวเองถึงตายบ้าง เกือบถึงตายบ้าง ล้วนเป็นคุณที่ไม่เพียงจะเกิดแก่ผู้รับกรุณาเท่านั้น แต่จะเป็นคุณยิ่งใหญ่ต่อผู้แสดงออกซึ่งความกรุณานั้นด้วย และจะเป็นคุณยิ่งใหญ่แก่ผู้แสดงกรุณายิ่งกว่าเป็นคุณแก่ผู้รับกรุณา ชาตินี้ของชีวิตย่อมมีไม่นาน ที่เป็นมนุษย์ก็มีเวลาสำหรับชาตินี้เพียงร้อยปีเป็นอย่างมาก แต่ชาติข้างหน้านั้นนับปีไม่ถ้วน และก็นับชาติไม่ถ้วน ความสุขความทุกข์ที่จะต้องเผชิญในชาตินี้จึงเหลืออีกไม่มาก ส่วนความสุขความทุกข์ที่จะต้องเผชิญในชาติข้างหน้านั้นมากมายเกินประมาณ ถ้าเป็นความสุขก็จะได้เสวยกันอย่างยั่งยืน ถ้าเป็นความทุกข์ก็จะได้เสวยกันอย่างแทบจะทนทานไม่ไหวเพราะเนิ่นนานนักหนา ดังนั้นผู้มีปัญญาจึงพิจารณาเห็นว่าไม่ควรคำนึงถึงลาภผลสุขทุกข์ในชาตินี้จน เกินไป แต่ควรคำนึงห่วงใยเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับชีวิตใหม่ในภพชาติข้างหน้า ที่จะต้องพบผ่านอย่างไม่ต้องสงสัย นอกเสียจากว่าจะทำกิเลสมิให้แผ้วพานได้สิ้นเชิงเท่านั้น

 
จากหนังสือ แสงส่องใจให้เพียงพรหม
๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ หน้า ๑๐๘ – ๑๑๔