Print

แสงส่องใจ - ฉบับที่ ๒๒๓

sangharaja-section

sungaracha

แสงส่องใจให้เพียงพรหม

เทศนานิพนธ์
ใน
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


 

ทุกคนเกิดจากเลือดเนื้อเพียงเล็กน้อย ไม่ได้เกิดจากอื่น เลือดเนื้อนั้นได้ค่อยขยายใหญ่ขึ้นจนกระทั่งมีรูปร่างเป็นคน เป็นหญิงเป็นชาย เลือดเนื้อเพียงเล็กนิดนั้นหรือคือเราคือเขา แม้คิด ก็น่าจะไม่มีผู้ใดถือว่าเลือดเนื้อน้อย ๆ นั้นเป็นเราเป็นเขา ถ้าเช่นนั้นพึงคิดต่อไป ว่าความเป็นเราเป็นเขาเกิดได้อย่างไร เราเขาเข้ามาสู่เลือดเนื้อนิดน้อยนั้นจากไหน เพียงแต่ว่าเลือดเนื้อนิด ๆ ขยายใหญ่เปลี่ยนรูปแปรร่างไปเท่านั้นหรือที่ทำให้เกิดความเป็นเราเป็นเขา หรือมีอะไรอื่นที่จะทำให้เลือดเนื้อนั้นมีความเป็นเราเป็นเขา ไม่มีอะไรอื่นเลย เลือดเนื้อหยดเล็กขยายใหญ่ขึ้นเพราะได้อาหารบำรุงเลี้ยงไม่มีอะไรอื่น ข้าวปลาอาหารเหล่านั้นหรือคือเราคือเขา ไม่ใช่ทั้งสิ้น คิดเช่นนี้อย่างไตร่ตรองให้มาก ให้สม่ำเสมอด้วยปัญญาของมนุษย์ธรรมดาเรานี้ แล้วจะเข้าใจดีขึ้น แม้พอประมาณว่าทุกคนก็คือเลือดเนื้อของมนุษย์หญิงชายเหมือนกัน ได้อาหารก็ใหญ่ขึ้น เปลี่ยนรูปแปรร่างไปต่าง ๆ เท่านั้นเอง ไม่มีเราไม่มีเขา ฉะนั้นการจะยึดมั่นว่านั่นเขานี่เรา นั่นของเขานี่ของเรา ก็จะถูกต้องไม่ได้ มีปัญญาเห็นชอบแม้พอสมควรก็จะวางความแบ่งแยกเราเขาของเราของเขาลงได้บ้าง แม้พอสมควร และจะวางได้เป็นลำดับไป วางได้มากขึ้นทุกที

การวางเราวางเขาได้แม้พอสมควร จะรู้สึกถึงความสงบใจ และการวางเราวางเขาได้นี้เป็นทางหนึ่งแห่งการอบรมเมตตา ในเมื่อไม่มีเราไม่มีเขา เมตตาย่อมไพศาลไม่มีขอบเขต

พึงถือเราเขาเป็นเพียงสมมุติที่จำเป็นต้องนำมาใช้เพื่อให้พูดกันเข้าใจ เหมือนสมมุติเรียกนายแดงนายดำ พึงฝึกใจให้สม่ำเสมอในเรื่องความไม่มีเราไม่มีเขาจะได้รับประโยชน์ยิ่ง ผู้ที่คิดว่าเราต้องสำคัญกว่าเขา เราต้องเป็นที่รักที่ห่วงใยยิ่งกว่าเขา นั้นคิดผิด ความคิดเช่นนั้นอันจะนำให้เกิดปฏิบัติต่าง ๆ ต่อไปอีกมาก จะทำให้ไม่มีความสุขเท่าที่ควร ถ้าสามารถตัดความคิดว่านั่นเขานี่เราลงได้พอสมควร รู้สึกว่าเราหรือเขาก็เหมือนกัน เกิดจากเลือดเนื้อนิดเดียวเหมือนกัน ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เลือดเนื้อนั้นจะแปรรูปร่างเปลี่ยนสีสันเป็นขาวดำสูงใหญ่ สวยงามหรือไม่สวยงามอย่างไร ก็เลือดเนื้อนั่นเอง เลือดเนื้อที่มีอาหารมีวิญญาณไปช่วยทำให้แปรเปลี่ยนไปเท่านั้น ไม่มีอะไรที่แสดงความเป็นเราเป็นเขาเข้าไปแทรกแซงอยู่เลย อวิชชาความโง่ความไม่รู้ที่มีมากมายเหลือเกินนั่นเองที่ทำให้วุ่นวายยึดถือไปอย่างผิด ๆ เกิดเป็นตัวเราตัวเขาของเราของเขา เกิดทำตัวเราของเรานี้ให้ยุ่งยากวุ่นวายเดือดร้อนอยู่อย่างยิ่ง

เลือดเนื้อน้อยนิดที่แลแทบไม่เห็นด้วยสายตาธรรมดา เมื่อได้รับอาหารเติบใหญ่ขึ้น รูปร่างแปรเปลี่ยนเป็นปุ่มป่ำในขั้นแรก และกลายเป็นสิ่งสมมุติเรียกว่า หัว คอ แขน ขา มือ เท้า เป็นต้น ซึ่งรวมแล้วก็สมมุติเรียกว่าคนบ้างสัตว์บ้าง สัตว์นั้นก็แยกออกเป็นประเภทต่าง ๆ เช่น เป็ด ไก่ หมู แมว เป็นต้น ตามลักษณะรูปร่างที่กำหนดสมมุติไว้ว่า รูปร่างลักษณะอย่างนั้นเป็นเป็ด รูปร่างอย่างนั้นเป็นไก่ รูปร่างอย่างนั้นเป็นหมู รูปร่างอย่างนั้นเป็นแมว เป็นต้น แต่คนหรือมนุษย์ไม่มีแยกแบบสัตว์ คนก็เป็นคนทีเดียว ถึงจะมีเรียกว่าคนป่า คนดอย คนเมือง แต่ก็เป็นคน มีรูปร่างแบบเดียวกัน มีแตกต่างกันแต่เพียงเพศหญิงเพศชายเท่านั้น ทั้งคนทั้งสัตว์ดังกล่าวมีกำเนิดจากเลือดเนื้อที่เล็กแสนเล็ก และค่อยขยายใหญ่เปลี่ยนรูปลักษณะไปตามวันเวลา ด้วยอาศัยอาหารเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงบำรุง แม้พยายามรวมใจรวมสติไตร่ตรองความจริงนี้ย่อมจะเห็นตามได้ เพราะเป็นความจริงแท้ที่ปราศจากข้ออาจขัดแย้ง

แม้เลือดเนื้อในตัวเราแท้ ๆ เมื่อตกจากร่างแล้วก็ไม่มีผู้ใดจะถือว่านั่นเป็นเรา เลือดคือเลือด คือธาตุน้ำ เนื้อคือเนื้อ คือธาตุดิน ไม่มีอะไรที่อาจทำให้เลือดเนื้อกลายเป็นเราเป็นเขา เมื่อได้อาหารกลายเป็นรูปร่างขึ้น ก็เป็นสิ่งที่เกิดจากความเจริญของเลือดเนื้อ รูปร่างหน้าตาที่ผิดแผกต่างต่างกันออกไปไม่ใช่เครื่องหมายชี้ว่าเป็นตัวเราตัวเขา เช่นเดียวกับสัตว์ต่าง ๆ ชนิดที่แม้จะเป็นสัตว์ทั้งนั้น เช่นแมวหรือหมา ก็ยังมีรูปร่างหน้าตาที่ผิดแผกแตกต่างกันออกไป หรือดังเช่นต้นไม้พันธุ์เดียวกัน เช่นมะม่วงเป็นต้น ก็ยังมีรูปทรงของต้นกิ่งก้านแตกต่างกันได้ เลือดเนื้อคนก็เป็นไปได้แบบเดียวกัน ฉะนั้นไม่พึงถือว่าเลือดเนื้อนิดใดนิดหนึ่งเป็นเราเป็นเขา เพราะไม่ถูกต้อง ไม่เป็นจริง เลือดเนื้อก็เป็นเลือดเนื้อนั่นเอง เราก็เลือดเนื้อ เขาก็เลือดเนื้อ ใหญ่โตเปลี่ยนรูปแปรร่างไปต่าง ๆ กันเท่านั้น มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ มาผสมให้รูปร่างหน้าตาเป็นไปต่าง ๆ นานาเท่านั้น ความจริงแล้ว คนเรานี้ก็คือก้อนเลือดก้อนเนื้อเริ่มแต่น้อยนิดแท้ ๆ

ใช้เข็มแทงนิ้วให้เลือดสักหยดหนึ่งหยดลงในภาชนะใดก็ได้ แล้วพิจารณาดูว่านั่นหรือคือเรา มีอะไรที่เป็นเรา เลือดเนื้อของท่านผู้เป็นมารดาบิดาที่เป็นจุดเริ่มของตัวเราตัวเขาเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกก็เช่นเดียวกัน มีอะไรที่เป็นเราเป็นเขา การที่เลือดเนื้อขยายใหญ่ขึ้นทำให้เป็นเราเป็นเขาได้อย่างไร เปรียบกับมะม่วง เริ่มจากเม็ดงอกเป็นต้น ต้นเล็กก็มะม่วง โตขึ้นก็มะม่วง โตเท่าไร ๆ ก็มะม่วง เลือดเนื้อของท่านผู้เป็นมารดาบิดาแต่ละคนก็เช่นกัน เริ่มด้วยความเป็นเลือดเนื้อหรือเป็นธาตุน้ำธาตุดิน เมื่อขยายใหญ่หรือเจริญเติบโตขึ้นจะเป็นอื่นไปได้อย่างไร ก็ต้องเป็นเลือดเนื้อนั่นเอง เลือดเนื้อน้อย ๆ หรือธาตุน้ำธาตุดินก็มีธาตุไฟธาตุลมธาตุอากาศมาปน รวมเข้าเป็นมนุษย์ เป็นคน ธาตุเราธาตุเขาก็ไม่มี ไฉนความเป็นเราเป็นเขาจะมีได้ มีก็เพราะอวิชชาความรู้ไม่ถูกที่เต็มที่เท่านั้น

ความคิดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเราทุกคน ความคิดพาไปที่ดีที่ชั่วได้ทุกแห่ง พาไปพบสุขพบทุกข์ได้ จึงควรต้องระวังใช้ความคิดที่ทุกคนมีอยู่ให้ถูกต้อง คิดเพื่ออบรมพรหมวิหารธรรมให้เกิดขึ้น ให้เพิ่มพูน นั้นเป็นวิธีหนึ่งที่ถูกต้องสำหรับใช้ความคิด คิดเพื่อความไม่ยึดมั่นว่าเป็นตัวเราของเราก็เป็นวิธีที่ถูกต้อง และควรฝึกใช้ความคิดเช่นนี้ให้สม่ำเสมอ ไม่พึงเห็นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้ความสำคัญ หัดคิดให้เห็นจริงว่าไม่มีเราไม่มีเขา ทุกร่างกายเกิดจากเลือดเนื้อเล็กน้อย เป็นธาตุน้ำธาตุดิน และได้รับการผสมปรุงแต่งด้วยธาตุไฟธาตุลมธาตุอากาศ ร่างกายจึงเป็นธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมธาตุอากาศแท้ ๆ ตัวเราตัวเขาเข้าไปปนได้อย่างไรในเมื่อไม่มีธาตุเราธาตุเขาอยู่ที่ไหนเลย พยายามไตร่ตรองให้เสมอ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแน่นอน คิดอย่างไรก็คิดไปได้ทั้งนั้น สำคัญต้องมุ่งไปให้เห็นว่าไม่มีธาตุเราธาตุเขาในร่างกายทั้งหลายนี้

ธาตุเราธาตุเขามีลักษณะอย่างไรไม่มีผู้ใดเคยรู้เคยเห็น ไม่เคยมีคำจำกัดความของธาตุเราธาตุเขา จึงแสดงชัดอยู่แล้วว่าธาตุเราธาตุเขาไม่มี แล้วจะเข้าไปปนกับธาตุดินธาตุน้ำธาตุลมธาตุไฟธาตุอากาศ ให้พลอยมีส่วนเป็นตัวเราของเราขึ้นมาได้อย่างไร จะเรียกว่าตัวดินตัวน้ำตัวลมตัวไฟตัวอากาศยังพอมีเหตุผล ถ้าเข้าใจตามเหตุผลเช่นนี้ยังดี ดีกว่าที่เข้าใจผิดกันอยู่ทั่วไป ว่าตัวเราหมายถึงคนพิเศษที่มีความสำคัญพิเศษ ต้องยึดมั่นผูกพันพิเศษ ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตัวเราโดยไม่เลือกดีไม่เลือกชั่ว

ตัวเราคือคำที่หมายถึงธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมธาตุอากาศรวมกัน ไม่มีความเป็นพิเศษอื่น ตัวเขาก็เช่นกัน หมายถึงธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมธาตุอากาศรวมกัน ไม่มีความเป็นพิเศษอื่น ที่จำเป็นต้องสมมุติเรียกให้แตกต่างกันก็เพื่อให้รู้เรื่องกันเท่านั้น นอกนั้นไม่มีอะไรพิเศษกว่ากันเลย พึงคิดเช่นนี้ให้เสมอ จะค่อย ๆ ได้ความเข้าใจซาบซึ้ง และจะยอมรับความจริงอันเป็นคุณยิ่งนี้

เราอยู่ที่ไหน เขาอยู่ที่ไหน เข้าไปมีส่วนในธาตุทั้งหลายเมื่อไร ไม่มีเลย เช่นนี้ความเป็นเราเป็นเขาก็ต้องไม่มี คิดให้มาก ๆ คิดไปคิดมา คิดเช่นนี้จนเกิดความรู้จริงรู้ชัด จะได้พบความสุข ได้มีพรหมวิหารธรรมเกิดขึ้นเต็มที่ ได้เป็นเพียงพรหมแม้ยังอยู่ในโลกมนุษย์นี้ เพราะเมื่อความยึดมั่นว่านั่นเรานั่นเขาไม่มี เมตตากรุณาย่อมกว้างใหญ่ไพศาลนัก คนนั้นทุกข์ก็จะไม่เป็นทุกข์ของเขาเท่านั้น จะเป็นเหมือนทุกข์ของเราด้วย ความปรารถนาให้เป็นสุขคือเมตตา ความพยายามช่วยให้พ้นทุกข์คือกรุณา ย่อมดำเนินไปอย่างเต็มที่ และเมื่อเมตตากรุณาเต็มที่แล้ว ความเย็นอย่างยิ่งจะเกิดในใจเราเองอย่างเต็มที่เช่นกัน คุณของการพิจารณาให้เห็นความไม่มีตัวเราตัวเขาของเราของเขาจึงใหญ่ยิ่งนัก

ผู้ที่สามารถคลายความยึดมั่นว่าตัวเราของเราตัวเขาของเขาได้แม้พอสมควร ในระยะแรกอาจมีความรู้สึกว่าตัวเขาคือตัวเรา ของเขาคือของเรา แต่ความคิดที่ว่านี้จะไม่เป็นไปในทางเอารัดเอาเปรียบ คือของเขาเป็นของเราในทางสงวนรักษา ไม่ใช่ในทางรู้มากกอบโกยเป็นของตน ผู้ที่รู้มากถือประโยชน์ท่านเป็นประโยชน์ตนจะอ้างว่าตัวเราตัวเขาไม่มี ของเราของเขาไม่มี แล้วจะถือเอาประโยชน์ตน เช่นนั้นไม่ใช่ผู้ใช้ความคิดที่ถูก ไม่ใช่ผู้อบรมพรหมวิหารธรรม เป็นการปฏิบัติแบบคนพาลคือคนไม่ดี ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติแบบบัณฑิตคือคนดี โอกาสที่จะเป็นพรหมทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้าย่อมไม่มี เพราะมิได้ปฏิบัติรับแสงส่องใจให้เพียงพรหม

ตัวเราของเราไม่มี ตัวเขาของเขาไม่มี เราหรือเขาก็เช่นเดียวกัน ของเราของเขาก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีความรู้สึกซาบซึ้งถึงใจเช่นนี้ การกระทำทุกอย่างจะไม่เป็นโทษไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยแก่ผู้ใดโดยเจตนา แม้ทุกข์โทษภัยจะเกิดขึ้นบ้างก็จะต้องเป็นไปโดยไม่เจตนา เป็นไปโดยบังเอิญ หรือโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผู้ที่ไม่ทำสิ่งอันเป็นทุกข์โทษภัย เป็นผู้ที่ควรเข้าใกล้ เป็นผู้มีพรหมวิหารธรรมแม้เพียงสมควร

ปฏิบัติให้เพียงพรหมตั้งแต่บัดนี้ ให้มีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาให้สมบูรณ์บริบูรณ์ โลกจะร่มเย็นเป็นสุข อย่าคิดผิดว่าคนเดียวหรือน้อยคนจะสามารถทำให้โลกร่มเย็นเป็นสุขได้อย่างไร คนเดียวนี้แหละทำให้โลกร่มเย็นเป็นสุขได้ ขอให้คนเดียวนี้แหละทำตนเป็นความร่มเย็นเสียแต่บัดนี้ ให้ตัวเองรู้สึกในความร่มเย็นด้วยตนเองก่อน แล้วจะเกิดความมั่นใจแน่นอน ว่าโลกจะร่มเย็นเช่นเดียวกับตัวเราด้วย

อย่าทำตัวให้ร้อน คนเดียวที่ร้อนจะทำให้คนจำนวนมากร้อนด้วยได้แน่นอน คนเดียวโกรธเกรี้ยวยังทำให้ผู้เกี่ยวข้องหลายคนได้รับความร้อนจากความโกรธเกรี้ยวด้วย คนเดียวที่ร้อนด้วยความโลภ ยังทำให้ผู้เกี่ยวข้องหลายคนได้รับความร้อนจากความโลภของคนคนเดียวนั้นด้วย ความเย็นหรือความร้อนของคนผู้เดียวใช่ว่าจะอยู่ในตัวคนผู้เดียวนั้นก็หาไม่ ย่อมแผ่กระจายออกไปรอบได้ ทั้งความร้อนและความเย็น ฉะนั้นแม้ปรารถนาจะให้เกิดความเย็นอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ก็ทำตนเองนี้ให้เย็นก่อน ไม่ต้องไปห่วงทำผู้อื่นให้เย็น

การปฏิบัติเพียงพรหมคืออบรมพรหมวิหารธรรม เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา แม้ไม่คิดให้ดีจะเห็นไปว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ผู้อื่น แต่แม้คิดให้ดีจะเห็นว่าความจริงเป็นไปเพื่อประโยชน์ตนอย่างแท้จริง ผุ้มีพรหมวิหารธรรมเพียงไร จะมีความสุขเพียงนั้น ผู้ขาดพรหมวิหารธรรมเพียงไร จะขาดความสุขเพียงนั้น แม้เพียงแต่ปล่อยให้ผ่านไปไม่พิจารณาย่อมจะไม่เห็นความจริง ถ้าพิจารณาจะเห็นความจริง

จากหนังสือ แสงส่องใจให้เพียงพรหม
๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ หน้า ๖๑ – ๗๑