Print

แสงส่องใจ - ฉบับที่ ๑๙๓

sangharaja-section

sungaracha

จิตเป็นธาตุรู้

จิตนี้เป็นธาตุรู้ แต่ยังเป็นรู้หลง รู้ผิด เพราะยังมีอวิชชาความไม่รู้ในสัจจะเป็นเครื่องปิดบังจิตที่เป็นธาตุรู้ จึงรู้ผิดรู้หลง อันเรียกว่า อวิชชา ฉะนั้น สิ่งที่รู้อยู่อันเป็นรู้ผิดรู้หลงนั้น จึงผิดไปจากสัจจะ

พระพุทธเจ้าได้ทรงกำจัดอวิชชา ธาตุรู้ของพระองค์จึงเป็นธาตุรู้ที่ถูกต้องตามสัจจะดังที่เรียกว่า ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นความรู้ถูก จึงถูกต่อสัจจะ คำสั่งสอนของพระองค์ก็เป็นคำสั่งสอนที่ถูกต่อสัจจะ ฉะนั้นทุกๆคนจึงต้องการขัดเกลาอวิชชาจากจิต สมควรที่จะสดับฟังและพิจารณาตามสัจจะที่ทรงสั่งสอน แม้จะขัดต่อความรู้ความเห็นของตน แต่เมื่อได้ปฏิบัติขัดเกลาไป ธาตุรู้ก็จะถูกต้องขึ้น และก็จะรับรองสัจจะตามที่ทรงสั่งสอน

         

ประมวลสัจจะ

คำสั่งสอนของพระองค์ที่แสดงสัจจะนั้น ก็ประมวลเข้าในสัจจะทั้ง 4 คือ

1. ทุกขสัจจะ             สัจจะคือ ทุกข์

2. สมุทัยสัจจะ           สัจจะคือ เหตุให้เกิดทุกข์

3. นิโรธสัจจะ             สัจจะคือ ความดับทุกข์

4. มัคคสัจจะ             สัจจะคือ ความปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

 

ทุกขสัจจะ

ทุกขสัจจะนั้น ก็รวมเข้ามาที่ขันธ์อันเป็นที่ยึดถือทั้ง 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ อันเรียกว่า ปัญจอุปาทานขันธ์ ขันธ์อันเป็นที่ยึดถือทั้ง 5 ย่นลงก็เป็นนามรูป

ในเบื้องต้นก็พึงพิจารณาให้รู้จักขันธ์ทั้ง 5 คือ
          1. รูปขันธ์   กองรูป คือรูปกายอันประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม นี้
          2. เวทนาขันธ์   กองเวทนา อันได้แก่ความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ทางกายและทางใจนี้
          3. สัญญาขันธ์   กองสัญญา ก็ได้แก่ ความจำได้หมายรู้ จำรูป จำเสียง เป็นต้นนี้
          4. สังขารขันธ์   กองสังขาร ก็ได้แก่ความคิดปรุงหรือความปรุงคิดไปในรูปในเสียงเป็นต้น เป็นการปรุงดีบ้าง ปรุงไม่ดีบ้าง ปรุงเป็นกลางๆบ้าง อันเป็นอาการปรุงทางใจที่เป็นไปอยู่นี้
          5. วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ คือความรู้สึกเห็นรูป ได้ยินเสียงเป็นต้น ที่รู้อยู่นี้ ทุกๆคนมีขันธ์ทั้ง 5 นี้อยู่ด้วยกัน และขันธ์ทั้ง 5 นี้ตั้งต้นขึ้นด้วยชาติ คือความเกิด ลงท้ายด้วยมรณะ คือความตาย จากเกิดจนถึงตายก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงเรื่อยไป ลักษณะที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลง เรียกว่าเป็นชรา คือความแก่ไปโดยลำดับ เกิด แก่ ตาย จึงเป็นธรรมดาของขันธ์ทั้ง 5 และข้อที่พึงพิจารณาก็พิจารณาให้เห็นธรรมดา คือ เกิด แก่ ตาย ที่มีอยู่ประจำนี้ รวมลงก็เป็นความเกิดความดับ

ขันธ์ทั้ง 5 เป็นสิ่งที่มีเกิดมีดับเป็นธรรมดา ความเกิด ความดับของขันธ์ทั้ง 5 นี้ พิจารณาเห็นได้ทั้งอย่างหยาบ ทั้งอย่างละเอียด

1. ความเกิดความดับอย่างหยาบ   ความเกิดความดับอย่างหยาบนั้น ก็คือความเกิดความดับที่มีเป็นขั้นๆตอนๆ ดังเช่นความเกิดที่มีเป็นเบื้องต้น และความตายที่มีเป็นที่สุด เป็นลักษณะเกิดดับอย่างหนึ่งที่สกัดอยู่ข้างต้น สกัดอยู่ข้างปลาย แต่นับว่าเป็นระยะยาว

2. ความเกิดความดับอย่างละเอียด   ความเกิดความดับ ย่นให้สั้นเข้ามาก็เป็นวัย วัยแบ่งเป็นปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย   ปฐมวัยต้นก็เป็นเกิด ปลายปฐมวัยก็เป็นดับ   มัชฌิมวัยต้นก็เป็นเกิด ปลายก็เป็นดับ   ปัจฉิมวัยต้นก็เป็นเกิด ปลายก็เป็นดับ ดั่งนี้ ก็พิจารณาให้เห็นเกิดดับใกล้เข้ามา และก็พิจารณาให้เห็นเกิดดับใกล้ชิดเข้ามาเป็นลำดับ จนถึงให้เห็นเกิดดับ ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิต สิ่งที่ปิดบังมิให้เห็นก็คือสันตติ ความสืบต่อ กล่าวคือ เกิดดับและก็เกิดต่อไปอีก เหมือนอย่างหายใจเข้าหายใจออกแล้วก็หายใจเข้าไปอีก มีสันตติคือความสืบเนื่องต่อไปดังนี้

สันตตินี้เอง เป็นเครื่องปิดมิให้เห็นอาการดับที่มีอยู่ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก แต่ก็พึงพิจารณาให้เห็นได้ตามเหตุและผล กำหนดการพิจารณาให้แน่ลงไปด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น   สัจจะ คือความจริง อันได้แก่เกิด ดับ ก็จะปรากฏชัดขึ้น เมื่อเกิดดับปรากฏชัดขึ้น ทุกขสัจจะ สภาพที่แท้จริงคือทุกข์ก็จะปรากฏ เพราะสิ่งที่เป็นทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์นั้น ก็ได้แก่ตัวเกิดดับนี่แหละ สิ่งที่เกิดดับเป็นสิ่งที่ทนอยู่คงที่ไม่ได้ ถูกเกิดดับบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา จึงเรียกว่าเป็นทุกข์ และเป็นตัวทุกข์อยู่ตามธรรมชาติธรรมดา ตัวทุกข์ที่มีอยู่เป็นไปอยู่ตามธรรมชาติธรรมดานี้ ไม่มีใครเป็นทุกข์ ทุกข์เป็นทุกข์ไปเอง เหมือนอย่างต้นไม้ ภูเขาทั้งหลาย ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา ไม่มีใครเป็นทุกข์ ทุกข์เป็นทุกข์ไปเอง แต่ว่าที่มีบุคคล มีเรา มีเขา เข้าไปเป็นทุกข์นั้น ก็เพราะมีสมุทัยอันเป็นสัจจะข้อที่ 2

 

สมุทัยสัจจะ

สมุทัยสัจจะ สัจจะคือสมุทัย นั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสชี้เอาตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากของใจ ดังที่ได้ตรัสไว้ในนิเทศแห่งสมุทัยสัจจะทั่วๆไปว่า ตัณหา ที่ให้เกิดใหม่  สหรคต คือ ไปกับ นันทิ และ ราคะ คือความเพลินและความติดใจยินดี มีความเพลิดเพลินยินดียิ่งๆขึ้นไป อารมณ์นั้นๆได้แก่

1. กามตัณหา   ความดิ้นรนทะยานอยากในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ

2. ภวตัณหา   ความดิ้นรนทะยานอยากในภพ คือ ความเป็นนั่นเป็นนี่ต่างๆ

3. วิภวตัณหา   ความดิ้นรนทะยานอยากในวิภพ คือ ความไม่เป็นนั่นไม่เป็นนี่ต่างๆ หมายถึงความอยากที่จะให้สิ่งที่ไม่ชอบ ภาวะที่ไม่ชอบ สิ้นไปหมดไป หรือความต้องการที่จะทำลายสิ่งที่ไม่ชอบ ภาวะที่ไม่ชอบ

ใน ปฏิจจสมุปบาท อันแสดงธรรมที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น อันเนื่องกันไปเป็นสาย ได้ยก อวิชชา ความไม่รู้ในสัจจะเป็นข้อต้น โดยเป็นปัจจัยแห่งข้อต่อๆมาจนถึงตัณหา และ   ตัณหา ก็เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน คือ ความยึดถือ   อุปาทาน ก็เป็นปัจจัยให้เกิดภพ   ภพ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดชาติ   ชาติ ก็เป็นปัจจัยให้เกิด ชรา และ มรณะ และ โสกะ ปริเทวะ เป็นต้น ต่างๆ   กองทุกข์ทั้งสิ้น ย่อมเกิดขึ้นสืบมาจากอวิชชาดั่งนี้

เพราะฉะนั้น ตามนัยปฏิจจสมุปบาทนี้ ตัณหาจึงสืบเนื่องมาจากอวิชชา และเป็นปัจจัยสืบต่อไป   อุปาทาน คือ ความยึดถือ เมื่อยกเอาเฉพาะตัณหาและอุปาทาน ก็กล่าวสั้นว่า ได้แก่ความอยากยึด อยากอยู่ในสิ่งใด ก็ยึดในสิ่งนั้น อยากเป็นตัณหา ยึดก็เป็นอุปาทาน เพราะฉะนั้น ทั้งสองนี้จึงสืบเนื่องกันอย่างใกล้ชิด แม้จะยกขึ้นกล่าวเพียงข้อเดียว ก็จะต้องมีอยู่ถึงสอง เหมือนอย่างยกตัณหาขึ้นกล่าวข้อเดียว ก็ต้องมีอุปาทานอยู่ด้วย หรือยกอุปาทานขึ้นกล่าวข้อเดียว ก็หมายถึงว่า มีตัณหาอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น เพราะตัณหาอุปาทานดังกล่าวนี้เอง ขันธ์ทั้ง 5 ซึ่งเป็นทุกข์อยู่ตามธรรมชาติธรรมดาโดยไม่มีใครเป็นทุกข์ ทุกข์เป็นทุกข์ไปเอง แต่เมื่อมีตัณหาอุปาทานเข้าไปจับ ขันธ์ทั้ง 5 จึงเป็นอุปาทานขันธ์ขึ้น คือขันธ์เป็นที่ยึดถือ เมื่อเป็นอุปาทานขันธ์ขึ้น จึงมีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นขึ้น เพราะว่า เมื่อตัณหาอุปาทานเข้าไปเกี่ยวข้องยึดถือขันธ์ทั้ง 5 นี้ก็เป็นเราขึ้น เป็นของเราขึ้น เป็นตัวตนของเราขึ้น

เมื่อมีเรา มีของเรา มีตัวตนของเรา จึงมีเรา มีของเรา มีตัวตนของเราเกิดเป็นทุกข์ขึ้น เมื่อขันธ์เกิดก็เราเกิด ขันธ์แก่ก็เราแก่ ขันธ์ตายก็เราตาย เพราะมีตัณหาอุปาทานอยู่ในขันธ์ จึงมีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นทุกข์ขึ้น ทุกข์จึงบังเกิดขึ้นเต็มอัตรา ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้ว่า เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ ความโศก ความร่ำไร รัญจวนใจ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ คับแค้นใจเป็นทุกข์ ความประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์ แต่ละอย่าง และเมื่อกล่าวโดยย่อ ก็ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง 5 นี้แหละเป็นทุกข์ เพราะเป็นที่รวมรับทุกข์ทั้งหมด

เมื่อมีตัณหา อุปาทานขึ้นในขันธ์ ขันธ์ก็เป็นอุปาทานขันธ์ขึ้น จึงมีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นทุกข์ ทุกข์บังเกิดขึ้นเต็มอัตรา ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแล้ว แต่เมื่อไม่มีตัณหาอุปาทานในขันธ์ ขันธ์ก็ไม่เป็นอุปาทานขันธ์ แต่เป็นขันธ์ที่เป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา ก็เป็นทุกข์อยู่ตามธรรมชาติธรรมดา แต่ไม่มีใครเป็นทุกข์ ทุกข์เป็นทุกข์อยู่เอง ฉะนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงชี้ทุกขสัจจะ สัจจะคือทุกข์แล้ว จึงได้ทรงแสดงสมุทัยสัจจะ สัจจะคือสมุทัยเพื่อให้ผู้ปฏิบัติพิจารณาจับตัวเหตุของทุกข์คือตัณหา อุปทาน ที่บังเกิดขึ้นในขันธ์ และได้ตรัสชี้ให้เห็นลักษณะของตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากของใจ ตั้งต้นแต่ โปโนพฺวิกา เป็นเหตุให้ถือเอาภพใหม่ คือให้เกิดอีก   นนฺทิราคสหคตา ไปกับ นันทิ คือ ความเพลิน และราคะ ความติดใจยินดี   ตตฺร ตตฺราภินนฺทินี มีความเพลิดเพลินยินดียิ่งในอารมณ์นั้นๆ และก็ได้ทรงจำแนกออกเป็น กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ดังที่ได้กล่าวแล้ว

 

ปิยรูป สาตรูป

และต่อจากนั้นได้ทรงแสดง ปิยรูป สาตรูป ที่แปลตามศัพท์ว่า รูปเป็นที่รัก รูปเป็นที่สำราญใจ

คำว่า รูป ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงรูปที่ตามองเห็นอย่างเดียว อันเป็นรูปในอายตนะทั้ง 6 แต่ก็หมายถึง นิมิต คือเครื่องกำหนดหมายของตัณหาที่เกิดขึ้นเพราะว่าตัณหา คือความดิ้นรนทะยานอยาก ที่บังเกิดขึ้นนี้ ต้องมีนิมิต คือเครื่องกำหนดหมาย ไม่ใช่ว่าจะบังเกิดขึ้นเอง เหมือนอย่างไฟที่บังเกิดขึ้นก็ต้องมีเชื้อ ถ้าไม่มีเชื้อไฟก็ไม่บังเกิดขึ้น   ปิยรูป สาตรูปนี้ ก็คือตัวเชื้อตัณหา เป็นเครื่องแหย่ให้ตัณหาบังเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงชี้เอาไว้สำหรับเป็นทางพิจารณาจับตั้งแต่อายตนะภายใน อายตนะภายนอก   อายตนะภายใน ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมนะคือใจ อายตนะภายนอกก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรม คือเรื่องราวเหล่านี้เป็น ปิยรูป สาตรูป คือเป็นเชื้อเป็นนิมิตให้ตัณหาบังเกิดขึ้น หรือเป็นเครื่องแหย่ให้ตัณหาบังเกิดขึ้น เรียกว่า ตัณหารัก ตัณหาชอบ สิ่งเหล่านี้เป็น ปิยรูป สาตรูปของตัณหา เป็นสิ่งที่ตัณหาชอบเหมือนอย่างเชื้อไฟเป็นสิ่งที่ไฟชอบ เป็นปิยรูป สาตรูปของไฟ    อายตนะภายใน อายตนะภายนอกเป็นต้น ก็เป็นปิยรูป สาตรูปของตัณหา คือเป็นสิ่งที่ตัณหาชอบ ดังจะพึงพิจารณาเห็นได้ว่า เมื่ออายตนะภายใน ภายนอกประจวบกัน ยกตัวอย่างตากับรูปประจวบกัน ตัณหาจะวิ่งจากรูปที่ตาเห็นแล่นเข้าไปสู่ใจ เป็นกามตัณหาบ้าง ภวตัณหาบ้าง วิภวตัณหาบ้าง ตากับรูปจึงเป็นคู่แรกที่เป็นปิยรูป สาตรูปของตัณหา จึงได้ตรัสให้หัดพิจารณาว่า ตัณหาเกิดขึ้นที่ตากับรูปนี่แหละที่หูกับเสียงนี่แหละเป็นต้น ก็เพื่อที่จะให้รู้เท่ารู้ทันและให้จับพิจารณาให้รู้ว่า นี่แหละเป็นตัว ปิยรูป สาตรูปของตัณหา ตัณหาชอบอยู่ที่ตากับรูป หูกับเสียงนี่แหละเป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็น ปิยรูป สาตรูปของตัณหา และเมื่อมีความรู้เท่าทันดังนี้ ก็จักเป็นตัวสติเป็นตัวปัญญา จะเป็นเครื่องกั้น เป็นเครื่องอ้าง เป็นเครื่องดับได้อย่างหนึ่ง

ธรรมกถาในการปฏิบัติอบรมจิต
ห้องประชุมสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
28 ธันวาคม พ.ศ.2515