Print

จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๑๘๔

dungtrin_editor_coverความฉลาดแบบพุทธ

dungtrin_new2

ความฉลาดแบบโลกๆเริ่มต้นจากการมองออกไปข้างนอกอย่างรู้วิธีได้มา ส่วนความฉลาดแบบพุทธเริ่มต้นจากการมองเข้ามาข้างในอย่างรู้วิธีทิ้งไป

โลกเต็มไปด้วยเหยื่อล่อให้เราอยากได้นั่นอยากได้นี่ และไม่เคยให้อะไรง่ายๆดังใจอยาก เว้นแต่จะฉลาดพอ รู้เหตุผล รู้กลวิธี รู้ว่าจะใช้อุบายใดไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการมาเป็นของตน

แต่ยิ่งฉลาดแบบโลกๆ ได้อะไรมามากขึ้นเท่าไร ใจก็ยิ่งมีแนวโน้มจะกระวนกระวายมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง พระพุทธเจ้ารู้ข้อเท็จจริงนี้ จึงเป็นหนึ่งในผู้แสวงหาบรมสุขจากภายใน และได้ข้อสรุปว่า สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี

และเพราะอย่างนั้น ความฉลาดแบบพุทธจึงไม่ได้นับเริ่มจากความสามารถจำแนกวัตถุภายนอก แต่เริ่มต้นจากความสามารถจำแนกจิตของตนเองว่ากำลังมืดหรือสว่าง กำลังสงบหรือฟุ้งซ่าน กำลังเป็นทุกข์หรือเป็นสุขจากการคิดอย่างไร พูดแบบไหน เพราะเมื่อเห็นจิตแต่ละแบบ รู้จักเหตุผลของจิตแต่ละแบบ ก็ย่อมเกิดความฉลาดเลือกเหตุแห่งความสงบให้จิตได้ถูก สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าฉลาดอย่างแท้จริง ต้องรู้ว่ากรรมใดเป็นคุณ กรรมใดเป็นโทษ อะไรไม่เที่ยง อะไรเป็นทางแห่งบรมสุข

ในพุทธศาสนาเรามีคนที่ฉลาดที่สุดอยู่สองคน คนแรกคือพระพุทธเจ้าผู้ฉลาดสูงสุดในอนันตจักรวาล คนที่สองรองลงมา คือพระสารีบุตรที่ฉลาดที่สุดในโลก

เมื่อมีคนถามพระสารีบุตรว่าท่านฉลาดที่สุดในโลกได้อย่างไร พระสารีบุตรกล่าวตอบว่าเพราะท่านฉลาดในจิต รู้ว่าจิตของตนและจิตของคนอื่นมีราคะหรือไม่มีราคะ มีโทสะหรือไม่มีโทสะ มีโมหะหรือไม่มีโมหะ กำลังหดหู่หรือฟุ้งซ่าน
กำลังสงบอ่อนๆหรือหนักแน่นถึงฌาน กำลังข้องอยู่หรือหลุดพ้น ฯลฯ กับทั้งเห็นจิตโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนอยู่เสมอๆ

ถ้าฟังเฉยๆก็เข้าใจยากครับว่า แค่เห็นจะเป็นเหตุให้ฉลาดที่สุดในโลกได้อย่างไร แต่ถ้าใครเริ่มสังเกตตนเอง เห็นจิตตนเองในแต่ละภาวะ จะพบว่าเมื่อรู้วาระจิตของตัวเองมากขึ้น มีความสามารถในการจำแนกว่าขณะนี้จิตขุ่นมัว จัดเป็นอกุศล หรือกำลังสดใส จัดเป็นกุศล นานเข้าก็จะ ‘เข้าใจเหตุผลอันเป็นนามธรรม’ เช่น พบว่าเพราะหมกมุ่นตรึกนึกในทางไม่ดี จึงเกิดความมืดขึ้นในภายใน แต่ถ้าตรึกนึกในทางดี จึงเกิดความสว่างขึ้นมาแทน เมื่อเห็นบ่อยเข้าก็พลอยเข้าใจเหตุผลหยาบๆอื่นๆ ที่ดูได้ง่ายกว่าไปด้วย

สังเกตจิตซ้ำไปซ้ำมา ผ่านเดือน ผ่านปี จะเห็นว่าจิตเกิดดับ จากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง ความหวงตัวตน หรือกระทั่งหวงจิตก็จะหายไปด้วย ไม่รู้จะหวงมันทำไม ยังไงจิตก็เกิดดับตลอดเวลาอยู่แล้ว นั่นแหละ ถึงขั้น ‘ถอดถอนความโง่ขั้นพื้นฐาน’ ออกเสียได้ ก็แทบไม่เหลือความโง่ไหนๆครอบงำจิตได้อีก จิตจึงสว่าง ผ่องใส มีกำลังเต็มที่

เมื่อจิตฉลาดและสมองไม่บกพร่อง อย่างน้อยก็แน่ใจได้ครับว่าคุณจะฉลาดที่สุดเท่าที่ชาตินี้จะฉลาดได้แล้วแน่ๆ

ดังตฤณ
ตุลาคม ๕๖