จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๑๖๙
รู้ว่าต่าง แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงต่าง
สิ่งที่น่าขัดใจที่สุดในหมู่มนุษย์ คือความแตกต่าง ความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกันบรรดามี
แท้จริงแล้ว สิ่งที่ทุกคนมีเสมอกัน คือ ความไม่รู้ว่าทำไมถึงแตกต่าง ทำไมถึงไม่เท่าเทียมกัน
ด้วยความไม่รู้ ต่างคนจึงต่างทำตามที่เชื่อ อันเป็นเหตุให้อยู่บนเส้นทางการกระทำของคนไม่รู้ว่า สุดท้ายจะลงเอยแตกต่างกันอย่างไรอีก
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเพื่อตรัสรู้แจ้งแทงตลอดในความจริงทั้งปวง และนำความจริงอันเป็นสาระสำคัญที่สุดมาเปิดเผย นั่นคือ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แต่จะจำเพียงเท่านี้ยังไม่พอ เพราะหลายคนจำเพียงเท่านี้แล้วหลงเข้าใจว่า ทำกับปากกับมือเดี๋ยวนี้ ได้ผลกับตัวเดี๋ยวนี้ ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนกว่านี้ หากความจริงทั้งหมดตื้นเขินเพียงเท่านั้น เราคงไม่ต้องรอพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเพื่อแจกแจงกัน
พระองค์ท่านแจกแจงชัดว่า แค่คิดไม่ดีอยู่เรื่อยๆ สะสมความคิดร้ายๆไว้มากพอแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้ตกต่ำ ซึ่งหมายถึงตกต่ำทั้งเดี๋ยวนี้ และตกต่ำทั้งภายหน้า
เมื่อตั้งความเชื่อตามพระพุทธเจ้าไว้เพื่อสังเกตความจริงในตน ทุกคนย่อมพบประจักษ์หลักฐานว่า มีหลายๆความคิดทำให้จิตตกต่ำได้จริง ทำให้ภาพรวมชีวิตเสื่อมลงได้จริง มโนภาพเกี่ยวกับตนเองน่าเกลียดกว่าเดิมได้จริง
มโนภาพของตัวเองที่รู้สึกได้อยู่เดี๋ยวนี้ น่าเกลียดหรืองดงาม น่าชังหรือน่าชม ไม่มีคนอื่นรู้ดีกว่าตัวเราเอง แปลว่าธรรมชาติของตัวเราเองนั่นแหละ เป็นผู้ตัดสินตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่าเราอยู่สูงหรืออยู่ต่ำ หากตายแล้วไม่ดับสูญ จะต้องขึ้นสูงหรือลงต่ำ เมื่อเริ่มเห็นประมาณนี้ จึงได้ชื่อว่าเริ่มเข้าใจคำว่า ‘สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม’ ตามคำตรัสของพระพุทธเจ้าขึ้นมาจริงๆ
ทุกคนเท่าเทียมกันที่เกิดพร้อมกับความไม่รู้ เพราะอวิชชาปิดบัง อวิชชามี ๓ คือ ไม่รู้ว่าเกิดมาได้อย่างไรหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำกรรมใดจะได้ผลอย่างไรหนึ่ง และไม่รู้ว่ากายใจเป็นเพียงเหยื่อล่อให้หลงยึดว่าเป็นตน ที่แท้หามีตนไม่หนึ่ง
นอกจากอวิชชาที่มีเท่าเทียมกันแล้ว นอกเหนือจากนั้น ไม่มีอะไรเท่ากันสักอย่างเดียว ด้วยเพราะการสั่งสมกรรมต่างกัน แต่ละคนสั่งสมกรรม กระทั่งบุญมีความเป็นใหญ่ หรือบาปมีความเป็นใหญ่ ที่จะให้ผลหลังตายในแต่ละชาติ ไม่มีความเหมือนกันเลย
ดังตฤณ
มีนาคม ๕๖