Print

จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๙๙

{audio}audio/dm01_editor/dm01_099.mp3{/audio}

dungtrinถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่เคยเจอแซงคิวแบบหน้าด้านๆ หรือเคยถูกต่อว่าให้เสียหน้าแบบไม่สมเหตุสมผล หรือเคยถูกบีบบังคับให้รับงานหนักอยู่คนเดียวโดยไร้ผลตอบแทน คุณคงเคยผ่านประสบการณ์อยากทำร้ายคนมาบ้าง

คนเราเมื่อเป็นฝ่ายถูกกระทำบ่อยๆ ย่อมเพิ่มแรงเก็บกดอัดอั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จึงรู้แก่ใจว่าไม่ช้าก็เร็ว อาจต้องวู่วามทำร้ายคนในวันอากาศร้อน หรือในวันที่อารมณ์ถึงจุดเดือดพอ

มนุษย์จะไม่อยากทำร้ายใครถ้าไม่ เจ็บใจ เพราะจิตวิญญาณมนุษย์มีสำนึก มีมโนธรรม คือพูดง่ายๆว่าจะเป็นมนุษย์ได้ก็ต้องมีธรรมะของมนุษย์ติดตัวมา แบบที่เรียก "มนุษยธรรม" และนั่นก็แปลว่าความเจ็บใจต้องมีกำลังเหนือมนุษยธรรมมาก เราจึงเสียความเป็นมนุษย์พอจะทำร้ายมนุษย์ด้วยกัน

เมื่อต้องหมดความเป็นมนุษย์ หรือกระทั่งมีความเป็นมนุษย์น้อยลง คนเราจะทรมานใจ รู้สึกแย่กับตัวเอง และไม่อยากเห็นตัวเองตกต่ำลง หรือกระทั่งเลวลงทุกวัน นั่นเองเป็นเหตุให้หลายคนในยุคโลกร้อน ตั้งคำถามกันว่า จะเลิกอยากทำร้ายคนได้อย่างไร?

ก่อนจะอยากเลิก คุณต้องเข้าใจเสียก่อนว่าความเห็นแก่ตัวของคนเรามันน่ารังเกียจขนาดไหน ขอให้มองว่า ความเจ็บใจไม่เคยบีบให้เราอยากทำร้ายตัวเอง มีแต่จะอยากทำร้ายคนอื่น และนั่นก็แปลว่าความเจ็บใจมีค่าน้อยกว่าชีวิตของเรา แต่อาจมีค่ามากกว่าชีวิตคนอื่น!

แค่ความเจ็บใจของเรา อาจทำให้คนอื่นเจ็บตัว หรืออาจทำให้คนอื่นเสียชีวิต ความเจ็บใจจึงเป็นผู้ร้ายตัวจริง มีผลให้เราต้องทนทุกข์ทางใจ ที่รู้ตัวว่าเหลือความเป็นมนุษย์น้อยลง หรือกระทั่งไม่เหลือความเป็นมนุษย์อยู่เลย

ในโลกนี้มีมิเตอร์ที่สามารถวัดความเจ็บใจได้ตัวเดียว คือ ใจของเราเอง และเมื่อใช้ใจวัด เราจะพบว่าความเจ็บใจแบ่งได้เป็น ๓ ระดับ ได้แก่

๑) เจ็บใจน้อยหน่อย ระดับนี้อาจแค่ใช้สายตาแสดงความขุ่นเคือง รบกวนจิตใจให้เขาระคาย หรือวางอำนาจด้วยท่ากร่างๆให้เขาเกรง แค่นี้เราก็อาจรู้สึกว่าได้ทำร้ายจิตใจเขา สมควรกับความเจ็บใจเล็กน้อยของเราแล้ว

๒) เจ็บใจมากหน่อย ระดับนี้จะอดด่าไม่ได้ หรืออาจถึงขั้นผลักอกให้เซไป ถ้ารบกวนโสตประสาท หรือรบกวนสมดุลทางร่างกายให้เขาอายได้ เราก็อาจจึงรู้สึกว่าทำร้ายร่างกายหรือจิตใจเขา สมควรแก่ความเจ็บใจมากหน่อยของเราแล้ว

๓) เจ็บใจที่สุด ระดับนี้ถึงขั้นทนไม่ไหว ต้องทุบตีหรือทำร้ายจนเขาได้รับความเจ็บปวดทางกาย หรือกระทั่งบีบคอเขาให้หายใจไม่ออกจนสิ้นลม อย่างนี้ถึงค่อยรู้สึกว่าทำร้ายชีวิตเขา สมควรแก่ความเจ็บใจเป็นที่สุดของเราได้

ความเจ็บใจ ไม่ว่าจะเล็กน้อย ปานกลาง หรือหนักสุดนั้น ต่างก็มีจุดร่วมกันคืออยากทำร้ายบุคคลผู้สร้างความเจ็บใจขึ้นในเรา ถ้าเราจัดการกับความรู้สึกเจ็บใจได้ การทำร้ายก็จะไม่เกิดขึ้นเลย แม้ในระดับการใช้สายตาหรือภาษากายให้ระคายกัน

ความสุขสงบ ความพอใจในภาวะสำนึกระดับสูง ย่อมอยู่ติดตัวผู้เอาชนะความเจ็บใจได้ตลอดเวลา แต่ถ้าคุณแพ้ คุณสร้างความเคยชินที่จะทำตามอำนาจความเจ็บใจบังคับ ก็จะพบความจริงประการหนึ่ง คือ ในที่สุดเราจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของความเจ็บใจอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นคนขาดมนุษยธรรม และทำให้ตนเองไม่ต่างจากผีดิบ ที่พร้อมจะทำร้ายคนโดยไม่กะพริบตา เพราะไม่เหลือสำนึกผิดชอบชั่วดีใดๆอีกต่อไป

ถึงเวลานั้นคุณอาจไม่ฝันร้าย เพราะทั้งชีวิตคือฝันร้ายสำหรับตัวเองและคนอื่นอยู่แล้ว!

เมื่อความเจ็บใจมีอยู่ ๓ ระดับ วิธีเอาชนะความเจ็บใจก็มีอยู่ ๓ ระดับเช่นกัน

๑) เจ็บใจน้อยหน่อย ให้อาศัยการสะสมเมตตา โดยย้อนกลับมาพิจารณาอาการทางใจ ที่มีความขุ่นเคือง ว่าเหมือนไฟร้อน หรือเหมือนไข้อ่อนๆ หากระงับลงได้ก็จะดี เหมือนไฟดับลงย่อมเยือกเย็น หรือเหมือนไข้หายย่อมสบายขึ้น กระชุ่มกระชวยมีกำลังวังชาขึ้น คิดแค่นี้ใจจะเบาสบาย และเมื่อรักษาความสบายไว้มากพอ จะรู้สึกดีที่มีเมตตามากขึ้น เจ็บใจยากขึ้น

๒) เจ็บใจมากหน่อย ให้อาศัยการสะสมอภัยทาน โดยพิจารณาว่าตอนเขาทำให้เราเจ็บใจ เขาเองยังไม่เจ็บใจ แต่แม้เรามีความชอบธรรมที่จะทำให้เขาเจ็บใจ เราก็ไม่ทำ ถือเป็นการเอื้อเฟื้อให้เขาได้สบายใจต่อ จัดเป็นการให้ทานที่ยิ่งใหญ่ คิดแค่นี้ใจจะอิ่มเต็ม และรู้สึกว่าความดีที่ยิ่งใหญ่อยู่ข้างเรา หรือเกิดขึ้นในเรา เอากันที่ตรงนั้น อย่าไปจ้องแก้แค้นเอาคืนให้จิตหยาบเปล่าๆ

๓) เจ็บใจที่สุด ให้อาศัยการสะสมศีล โดยพิจารณาว่าคนที่อยู่ในกรอบของศีล คือคนที่ยืนอยู่ในเขตปลอดภัย เขาทำอันตรายเราได้มากที่สุดแค่ทางกาย แต่จะไม่มีใครดับความสว่างจากกลางใจเราได้เลย วิธีเป็นคนมีศีลคือตั้งใจไว้ก่อนว่าจะไม่ทำร้าย ไม่ฆ่าใคร จากนั้นเมื่อเกิดสถานการณ์ยั่วยุขึ้นจริงๆ ก็ห้ามใจให้ได้ตามที่คิดไว้ก่อน ยิ่งทำได้มากขึ้นเท่าไร โลกรอบตัวคุณจะเหมือนยิ่งสว่างจ้า ขยับออกมาไกลเขตมืดมากขึ้นทุกที ตามวันเวลาในชีวิตที่ผ่านไปครับ

ดังตฤณ
จากบทความ "ทำยังไงดี"?
นิตยสาร Miracle of Life ฉบับ เดือนกรกฎาคม ๕๓

--------------------------------------------------------------

เรื่องน่าสนใจประจำฉบับ

  • มีเสียงไถ่ถามเข้ามาเป็นระยะ สำหรับคอลัมน์ แง่คิดจากหนัง
    ฉบับนี้คอหนังคงถูกใจ เพราะจะได้อ่านแง่คิดดีๆจาก คุณเมเปิ้ล
    ที่เขียนถึงหนังเรื่อง Coco Avant Chanel โคโค่ ก่อนโลกเรียกเธอ ชาเนล
    หนังอัตชีวประวัติของโคโค่ ชาเนล
    เจ้าของห้องเสื้อและแบรนด์ชั้นนำของโลก
    ใครที่ยังไม่เคยดูหนัง ได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ต้องนึกอยากหามาดูกันเลยล่ะค่ะ
  • แฟนเรื่องสั้นจะได้ยิ้มแก้มปริกันอีกแล้ว 
    เมื่อ คุณชลนิล กลับมาพร้อมเรื่องสั้น ดอกไม้ในดวงวิญญาณ
    ฉบับนี้เป็นตอนแรกค่ะ จะสนุกและน่าติดตามขนาดไหน
    เชิญหาคำตอบด้วยตัวเองได้ที่คอลัมน์ เรื่องสั้นอิงธรรมะ ค่ะ ^_^
  • สำหรับคอลัมน์ ยารักษาใจ” 
    ฉบับนี้มีนิทานสนุกๆ มาเล่าให้ฟังอีกแล้วค่ะ
    แต่อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นการเล่าแบบธรรมดาๆ นะคะ
    ครั้งนี้ คุณวิลาศินี จะเล่าเรื่องด้วยการ ร่ายค่ะ
    จะสนุกขนาดไหน ติดตามได้ในตอน ร่ายคนขายหมวก ค่ะ

ข่าวสารและกิจกรรมที่น่าสนใจ

  • ข่าวดีสำหรับผู้สนใจร่วมพิมพ์หนังสือ 
    ตามรอยธรรมย้ำรอยครู หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ” 
    แต่ร่วมพิมพ์ไม่ทันในรอบที่แล้วค่ะ
    ขณะนี้ คณะผู้จัดทำได้เปิดให้มีการจัดพิมพ์เป็นรอบที่ ๒ แล้วนะคะ
    ผู้สนใจสามารถโอนเงินสำหรับร่วมพิมพ์ได้ 
    ภายในวันที่ ๓๑ ก.ค. ๒๕๕๓ นี้ค่ะ (-/\-)
    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ 
    http://bit.ly/dnsu3j
  • ใครที่กำลังหาแหล่งทำบุญในวันหยุดอาสาฬหบูชา ๒๖ ก.ค. ๒๕๕๓
    และพอมีเวลาว่างในช่วงเวลา ๑๐.๐๐ น. – ๑๒.๐๐ น
    ขอเชิญร่วมทำบุญใส่บาตรข้าวสารอาหารแห้ง 
    และร่วมแจกซีดีธรรมะแด่พระสงฆ์และผู้มาร่วมงาน
    ที่เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะค่ะ
    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ
    http://bit.ly/bnKz4i
--------------------------------------------------------------

พบกันใหม่พฤหัสหน้า
ที่ www.dlitemag.com นะคะ
สวัสดีค่ะ (^_^)