Print

จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๔๒๓

dungtrin_editor_cover

dungtrin_new2

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เลี้ยงลูกให้ถูกทาง

 

  

editor423

 

เมื่อสองศตวรรษก่อน

มีตำนานพ่อใจร้าย

ที่กลายเป็นเรื่องดีของโลก

สร้างหนึ่งในคีตกวีเอกขึ้นมาคนหนึ่ง

คือ ลุดวิจ ฟาน เบโธเฟน

 

พ่อขี้เมาของเบโธเฟนหมายมั่นปั้นมือมาก

ที่จะให้ลูกของตัวเองมีชื่อเสียง

เทียบเท่ากับ โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท

ที่สำคัญคืออยากให้ลูกเป็นเด็กอัจฉริยะ

เล่นหากินได้ตั้งแต่ ๖ ขวบแบบโมซาร์ท

เคี่ยวเข็ญต่างๆนานา

ลากจากที่นอนแต่เช้ามืด

และกว่าจะอนุญาตให้เข้านอนก็ดึกดื่น

ห้ามเล่นกับน้อง บางทีถึงขั้นทุบตี กระทำทารุณ

ทั้งหมดก็เพียงเพื่อบังคับให้ซ้อมดนตรีทั้งวัน

ลูกจะได้เก่ง จะได้ดัง ทำเงินให้ตนเป็นกอบเป็นกำ

 

ชะตาของเบโธเฟนดันเข้าทางพ่อใจร้าย

เขากลายเป็นอัจฉริยะขึ้นมาจริงๆ

เก่งขนาดเล่นเปียโนระดับแสดงคอนเสิร์ตได้ตอน ๗ ขวบ

แต่กระนั้น พ่อโหดก็โกหกคำโตต่อสาธารณะ

ประกาศในงานเปิดตัวว่า เบโธเฟนอายุแค่ ๖ ขวบ

ซึ่งก็เพื่อให้สู้กันได้เมื่อเทียบกับโมซาร์ท

 

ตลอดมาจนกระทั่งบัดนี้

ตอนผู้คนนึกถึงเขา จะนึกถึงดนตรีมหัศจรรย์

ไอน์สไตน์เคยเปรียบเทียบไว้ว่า

โมซาร์ทค้นพบดนตรีบริสุทธิ์

ส่วนเบโธเฟนสร้างดนตรีขึ้นมาเอง

คำยกย่องนี้มีคนยอมรับกันมาก

 

แต่ตอนที่เบโธเฟนมีชีวิต

เขารู้สึกอย่างไรกับชีวิตตัวเอง?

อันนี้คงไม่มีใครให้คำตอบแทนเขาได้

รู้แต่ว่าใครเห็นหน้าเบโธเฟน

ก็ไม่อยากเชื่อแล้วว่าเป็นพวกมีความสุขกับใคร

ในเมื่อบูดบึ้งตลอดเวลาขนาดนั้น

 

ชีวิตหนึ่งจะเป็นสุขไปได้อย่างไร

เมื่อต้องเศร้ากับพ่อซึ่งเป็นนักดนตรีขี้เมา

ขู่เข็ญบังคับต่างๆนานาตั้งแต่ ๕ ขวบ

แถมเอารายได้ที่ลูกหาให้ไปซื้อเหล้า

แทนที่จะเอามาเลี้ยงดูตนกับน้อง

หรือเอามารักษาแม่ซึ่งเจ็บป่วยออดๆแอดๆ

 

ดนตรีแสนมหัศจรรย์ของเขา

เป็นได้แค่วิธีระบายความคั่งแค้นออกมา

โดยไม่จำเป็นต้องฆ่าคนหรือเปล่า?

 

เป็นที่รู้กันว่าเบโธเฟนเป็นคนมีปัญหาทางจิต

แม้เขาจะเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์

แม้ว่าเขาจะได้ภูมิใจในตนเองขณะยังมีชีวิต

แต่ชาติของความเป็นเบโธเฟน

ก็เหมือนตกนรกทั้งที่ยังเป็นมนุษย์อยู่

 

นี่แปลว่า ต่อให้เลี้ยงลูกจนเป็นอัจฉริยะ

เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ของโลก

ก็ไม่แน่ว่าหมายถึงการทำบุญทำคุณเสมอไป

บางที บางคน อาจหมายถึงการได้ก่อบาปใหญ่

ในการสร้างนรกให้ลูกของตัวเองต่างหาก

 

สร้างนรกให้ลูกอย่างไร

เกิดใหม่ก็ต้องไปเจอนรกจากพ่อแม่อย่างนั้น!

 

เบโธเฟนเป็นหนึ่งในแสน

ที่เป็นอัจฉริยะขึ้นมาได้

จากการถูกเคี่ยวเข็ญให้เป็นอัจฉริยะ

กล่าวคือ หลังจากทนทุกข์กับการถูกบังคับให้เล่นดนตรี

ถึงจุดหนึ่งเขาเกิดความสุขกับมันขึ้นมาจริงๆ

เล่นได้ทั้งวัน เล่นด้วยความกระหายจากภายในของตนเอง

นอกนั้นเกือบร้อยทั้งร้อย เอาเป็นว่าเกิน ๙๙.๙๙%

ตกเป็นเหยื่อความอยากของพ่อแม่เปล่าๆปลี้ๆ

ไม่ได้ดิบได้ดี แล้วก็ไม่ได้มีความสุข

กับสิ่งที่พ่อแม่หมายมั่นปั้นมือไว้เลย

 

มีเส้นแบ่งบางๆ

ระหว่างการอยากให้ลูกโดดเด่น

ทำเงินเอาตัวรอดได้ตอนโต

กับการอยากให้ลูกเด่นดัง

เพื่อทำรายได้งามๆให้พ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก

 

แนวโน้มอาชีพที่ทำรายได้ยุคก่อน

คงไม่พ้นหมอและวิศวะ

แต่ปัจจุบัน อันเนื่องจากเห็นด้วยตาเปล่ากันเยอะว่า

เป็นดารา นักร้อง นายแบบนางแบบแล้วรวยลัดรวยเร็ว

ก็เกิดเวทีประกวดประชัน

เพื่อถางทางไปสู่การเอาดีทางบันเทิงกันมาก

 

ประเด็นคือ ถ้าลูกไม่ได้มีของ

แต่กลับถูกเร่งรัด ปลุกเร้า ให้ของขึ้น

ก็อาจ ‘ของขึ้น’ แบบเจ็บปวด

หรือไม่ก็เจ็บปวดอย่างเดียว

ของไม่เคยขึ้นได้เลยสักวัน

 

ถ้าคิดล่าเงินรางวัล

ก่อนคิดถึงความถนัด

ไม่คิดถึงความชอบใจที่แท้จริงของเด็ก

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอันดับแรกในระยะสั้น

คือความวิบัติทางใจลูก

และสิ่งที่จะเป็นอันดับต่อๆไปในระยะยาว

คือความร้าวฉานทางครอบครัว

เพราะคนเราพอมีปมให้ดิ้นรนทรมาน

ต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำไปนานเข้า

มันก็เก็บกด อยากระเบิดแค้น

ทั้งต่อพ่อแม่ที่ควบคุมบังคับตน

และต่อคนรอบตัว ครอบครัวตนในที่สุด

 

โจทย์ของพ่อแม่ที่คิดเลี้ยงลูกให้ถูกทาง คือ

ทำอย่างไร จะพาเด็กไปเจอ ‘โอกาสลองของ’ ให้มากที่สุด

ไม่ว่าจะยากดีมีจนเพียงใด

ขอเพียงไม่ปล่อยให้ลูกเล่นเปล่าๆ

แต่สังเกตไปด้วยว่า เล่นอะไรแล้วเขาชอบ

ชอบอะไรแล้วเขาคิดต่อ สร้างความสนุก

ปลื้มใจในความสามารถของตนเองได้

แล้วส่งเสริม ลงทุนเพื่อเพิ่มความสามารถให้เขา

ในที่สุด เขาจะคืนอะไรๆกลับมาให้

ทั้งความสุข ความภูมิใจในการสร้างคน

และอาจจะความมั่งคั่งที่คุณไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นไปได้

 

ความถนัดเป็นสิ่งที่ต้องค้นหา

ติดตามผลกันตลอด ๒๔ ชั่วโมง

แต่พ่อแม่ก็ฝากความหวังให้กับโรงเรียน

นึกว่าเป็นหน้าที่ของครู หรือของใครสักคนที่โรงเรียน

ก็เราจ่ายค่าเทอมให้โรงเรียนไปแล้วนี่

 

ข้อเท็จจริง คือ โรงเรียนมีครูจำกัด

ก็เลยหวังอย่างยิ่งว่า

พ่อแม่ของนักเรียนจะดูแลกันเองอยู่แล้ว

ฝากความหวังกันไป ฝากความหวังกันมา

ตกลงเด็กเลยไม่มีใครช่วยดูให้สักคน

 

ปัจจุบันมีแนวทางหาความถนัดในเด็กกันหลากหลาย

ทั้งแบบฟรีที่เห็นในยูทูบ

ทั้งแบบเสียตังค์เป็นหมื่นค่าลิขสิทธิ์เมืองนอก

ประเด็นคือ ถ้าคุณอยากค้นหาจริงๆว่า

ลูกถนัดอะไร คุณจะทราบว่าความถนัดนั้น

แท้ที่จริงก็คือการบ่งบอกให้ถูกว่า

ลูกของคุณเป็นคนอย่างไร

เหมาะจะเป็นผู้นำ เหมาะจะคิดสร้างสรรค์

เหมาะจะคิดตามเพื่อต่อยอด

เหมาะจะหาเวทีแสดงความคิด

หรือเหมาะจะหาเวทีแสดงความสามารถ

 

ทุกคนเป็นอัจฉริยะได้หมด

ถ้าชอบใจในสิ่งที่ตัวเองทำ

สนุกกับมันได้ทั้งวันทั้งคืนเหมือนเด็กเล่นของเล่นถูกใจ

เมื่อเด็กสนุกกับอะไร

โตขึ้นก็ไม่ต้องถามเลยว่าอยากเรียนอะไร

จะทำอาชีพอะไร

เพราะเขาจะเริ่มต้นเรียนเอง

สะสมความรู้ความสามารถเองมาหลายปี

ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยกันแล้ว!

 

ดังตฤณ

กุมภาพันธ์ ๖๖