Print

จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๔๐๕

dungtrin_editor_cover

dungtrin_new2

 

 

 

 

 

 

 

เป็นหนี้...ไม่เป็นทุกข์ 

 

editor405

 

 

เรื่องคนมีหนี้สิน

อย่าเพิ่งมองว่าเขาคงใช้ชีวิตไม่ดี

หรือว่ามีความประมาทในการใช้เงิน

มีจริงๆนะ

ตัวเองดี ตัวเองประหยัด

แต่ญาติๆที่อยู่รอบตัว หรือคนที่เกี่ยวข้อง

ไม่ดีไปกับเรา เอาภาระมายัดเยียดให้เรา

บางคนปฏิเสธไม่ได้

เพราะเป็นพ่อเป็นแม่ของตัวเอง

ไปก่อหนี้ก่อสินไว้บางทีเป็นสิบล้าน

ทั้งๆที่ลูกเงินเดือนไม่กี่หมื่น

พอลูกนี่รู้ความจริงเข้าแทบล้มทั้งยืน

ไม่รู้จะเอาปัญญาที่ไหนมาชดใช้แทนพ่อแม่

นี่เคยเห็นมาหลายคน



หนี้สินที่เกิดขึ้น

โดยที่เราไม่ได้เป็นคนก่อ

หรือว่าสุดวิสัยจริงๆ

ไม่ใช่เกิดจากการฟุ้งเฟ้อ หรือใช้เงินเกินตัว

บางทีเป็นเรื่องของกรรม

ที่เราเคยไปยัดเยียดภาระให้คนอื่นเขาไว้

แล้วถึงตาเราต้องโดนบ้าง

ก็จะมีบุคคลซึ่งเราหลีกเลี่ยงไม่ได้มาก่อภาระให้กับเรา

โดยที่ถ้าเราคิดจะวิ่งหนี

จะเจอกับด่านความรู้สึกผิด ทำไม่ได้ ทำไม่ลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพ่อแม่ตัวเอง

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..  

 

ขอให้มองอย่างนี้นะครับว่า

ถ้าหากว่าเป็นหนี้สิน

อันเกิดจากการถูกกรรมเก่ายัดเยียดมา

เราอาศัยกรรมใหม่ไปลบล้างแบบทันทีไม่ได้

เนื่องจากเราไม่รู้ว่า

ของเดิมทำมาหนักขนาดไหน



แต่ขอให้ตั้งไว้ในใจว่า

ที่เราชดใช้อยู่นี่

ไม่ได้ต้องฝืนให้เป็นทุกข์อย่างเดียว

เราใช้กรรมแบบชิลๆก็ได้

ไม่ต้องเป็นทุกข์มากก็ได้

เพราะว่าชีวิตหนึ่ง

ไม่ได้มีให้จริงจังเกินร้อยปีหรอก

ไม่ได้มีให้ซีเรียสสักกี่สิบปีหรอก



ที่เรานึกว่ากรรมไม่มีวันหมด ไม่มีวันสิ้น

บางทีก็สิ้นไปพร้อมชีวิตดีๆนี้แหละ

ชีวิตที่เราตั้งหน้าตั้งตาจะชดใช้

ชีวิตที่เราตั้งหน้าตั้งตาจะทำให้ดีที่สุด

กับบุพการี หรือว่าคนที่มีบุญคุณกับเรา

เราปฏิเสธไม่ได้ ต้องช่วย ต้องแบกภาระอะไรต่างๆ



ถ้าหากว่าชีวิตดีๆนี้

ยึดอยู่อย่างเดียวเลยว่า

เราจะกตัญญู เราจะรู้คุณ

เราจะไม่ปัดภาระ

ไม่หนีด้วยการหายไปปลอมชื่ออะไรต่างๆ

แต่ยังก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่ควรจะทำ

ชดใช้สิ่งที่ควรจะชดใช้

ที่เห็นเป็นสิ่งจับต้องได้คือตัวเงินนี่



ระหว่างแห่งการชดใช้

เราอาจมีความรู้สึกค่อยๆปรับตัวได้กับมัน

คือไม่ได้คิดถึงจุดจบว่าเมื่อไหร่จะจบเสียที

แต่คิดใหม่ว่า

เรากำลังทำวันนี้

ให้เป็นไปในทิศทางจะปลดหนี้

ทั้งที่เห็นจับต้องได้ในปัจจุบัน

และทั้งที่มองไม่เห็น

เป็นของเดิม เป็นของเก่าที่เราเคยทำมา

ในตัวตนที่ลืมไปแล้ว

 

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..  

 

พอคิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆถึงจุดหนึ่ง

จะรู้สึกสบายๆ

เออ ก็ยังทำงานเท่าเดิม

หนี้ไม่หมดไม่เป็นไร

แต่เราใช้ไปเรื่อยๆตามกติกา

ตามข้อสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้



ตัวเจ้าหนี้

จริงๆแล้วควรจะทุกข์มากกว่าเรา

แต่ถ้าดูแล้วเขาก็ไม่ได้เห็นเป็นทุกข์อะไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคาร เหมือนหุ่นยนต์เลย

ไม่มีใครมาจ้องเป็นทุกข์กับหนี้ของเราคนเดียว

ถ้าเจ้าหนี้เขาก็ไม่ได้เป็นทุกข์มากเท่าเรา

ทำไมเราต้องไปเป็นทุกข์มากกว่าเขาด้วย



ก็จะเกิดไอเดียขึ้นมาว่าจริงๆแล้ว

การเป็นหนี้ ถ้าเรายังใช้

แล้วเจ้าหนี้ยังทำสีหน้าพอใจอยู่

เราควรจะมีความพอใจว่า

เรากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง

เรากำลังชดใช้หนี้ที่เห็นด้วยตาเปล่าที่ก่อขึ้นมาใหม่

อาจรวมทั้งหนี้เดิมๆ ที่เคยไปทำใครเขาไว้มา

 

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..  

 

ตรงนี้พอคิดได้

จะเริ่มมองชีวิตไปอีกแบบหนึ่ง

ที่บอกว่าหนี้ไม่มีวันหมดไม่มีวันสิ้นนี่

จะหมดในวันที่ชีวิตสิ้นสุดนั่นแหละ

ต่อให้เราใช้หนี้ที่จับต้องได้ที่เป็นตัวเงินไม่ทันในชาตินี้

ก็ถือว่าเราไม่เป็นหนี้ทางใจ

ไม่เป็นหนี้ทางบาปทางกรรมกับใครเขาแล้ว

เพราะพยายามเต็มที่ถึงที่สุดแล้ว

แล้วก็มีใจที่เป็นนักสู้ที่สุดแล้ว



จะรู้สึกสบายใจขึ้นมา

คือจะไม่มองไปถึงเส้นชัยที่วันสุดท้าย

แต่มองก้าวปัจจุบันเป็นลู่วิ่ง

ที่เรากำลังวิ่งอยู่ อย่างคนที่ไม่ยอมแพ้

แล้วก็ไม่ยอมจะเป็นทุกข์ หรือโศกเศร้าจนเกินไป

 

 

จริงๆแล้ว การมีชีวิต

ไม่ได้หมายถึงการใช้หนี้อย่างเดียว

อาจหมายถึงการเรียนรู้ขึ้นมาจริงๆว่า

ทำอย่างไรถึงจะแน่ใจได้ว่า

ฉะนั้น คือใช้หนี้ไปด้วย

แล้วก็เรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรให้ตัวตนหายไป

ให้ความทุกข์น้อยลงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้



เราเป็นหนี้ได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์

เรารับกรรมได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์นะครับ!

 

 

ดังตฤณ

มิถุนายน ๖๕