Print

จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๓๘๘

dungtrin_editor_cover

dungtrin_new2

 

 

 

 

 

 

 

หยุดหมุนกงล้อแห่งสังสารวัฏ 

        editor388

ชีวิต คือการวิ่งมาราธอน

ส่วนจะวิ่งไปให้ถึงไหน

ไม่มีใครบอกเราไว้ก่อน

หนำซ้ำ ทำไมมาก้มหน้าก้มตา

วิ่งไปเรื่อยๆไม่หยุดอยู่อย่างนี้

ก็ต้องเดาเหตุผลเอาเอง

หรือไม่ก็เลือกที่จะเชื่อ

เพื่อนร่วมทางคนใดคนหนึ่ง

ตามอัธยาศัยเฉพาะตน

 

นักวิ่งมาราธอนมีหลายแบบ

บางคนยิ่งวิ่งยิ่งไร้จุดหมาย

ยิ่งวิ่งยิ่งเหนื่อยอ่อน

ไม่มีแก่ใจแม้แต่จะดื่มน้ำที่พกมาด้วย

กระทั่งตัดสินใจหยุดกลางคัน

ขอนอนกองอยู่กลางทางนี่แหละ

ผิดกติกาไหน ใครจะลากคอไปลงโทษ ไม่สน

ซึ่งก็เปรียบเหมือนในชีวิตจริง

ที่คนบางคนคิดสั้นฆ่าตัวตายไปดื้อๆ

ไม่อยากรอวันตายตามสภาพ

จะต้องเกิดใหม่เป็นเปรตหรือเป็นคนก็ช่างหัวมัน

 

บางคนยิ่งวิ่งยิ่งสนุก

หาวิธีวิ่งให้เหนื่อยน้อย

หาดอกไม้ริมทางเก็บสะสม

หาเพื่อนร่วมทางที่คุยถูกคอ

หาคู่แข่งวิ่งเร็ว เอาแพ้เอาชนะเป็นระยะ

เรียกว่าสนุกกับการวิ่ง

มากกว่าเร่งไปให้ถึงที่หมาย

ซึ่งก็เปรียบเหมือนในชีวิตจริง

ที่คนบางคนตั้งโจทย์ใหม่ๆให้แต่ละวัน

โดยไม่สนว่าจะต้องตายเมื่อใด

ชีวิตใหม่จะมีจริงหรือเปล่า

 

บางคนยิ่งวิ่งยิ่งสงสัย ยิ่งถามตัวเองว่า

ทำไมถึงต้องมาวิ่งอยู่อย่างนี้ด้วย

ถ้าตัดสินใจหยุดกลางคัน

จะผิดกฎหมายมาตราไหน

ให้ต้องโดนย้ายไปสู่ลู่วิ่งอื่น

ที่เส้นทางหฤโหดกว่าเดิมหรือเปล่า

หรือถ้าหากวิ่งไปถึงที่หมาย

บนเส้นทางแห่งความไม่รู้นี้แล้ว

จะต้องถูกบังคับให้วิ่งต่อไปอีกหรือไม่

ซึ่งก็เปรียบเหมือนในชีวิตจริง

ที่คนบางคนต่อให้มีความสุข

แต่ก็รู้สึกไม่อิ่ม

เพราะไม่ได้คำตอบให้ตัวเองว่า

มาอยู่ในลู่วิ่งนี้ได้อย่างไร?

กำลังจะไปไหนกันแน่?

ถึงแล้วต้องไปต่อ หรือได้พัก

ได้หยุดวิ่งเป็นการถาวร?

 

บางคนยิ่งวิ่งยิ่งเกิดภาพเป้าหมายในหัว

เพราะได้คำตอบจากคนวิ่งนำผู้น่าเชื่อถือ

ผู้ปฏิญาณตนว่าไปถึงจุดหมายมาแล้ว

อีกทั้งรู้แล้วว่า การวิ่งมาราธอนคืออะไร

การวิ่งจะไม่สิ้นสุดเอง

แต่ต้องถูกไสคอ บังคับให้วิ่งต่อไปเรื่อยๆ

อย่างยืดเยื้อยาวนาน แบบไร้แก่นสาร

 

เว้นแต่จะรู้วิธีถอนตัวออกจากการวิ่ง

ซึ่งก็เปรียบเหมือนในชีวิตจริง

ที่คนบางคนได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้า

รู้ว่า เพราะไม่รู้ จึงต้องเดินทางยาวไกลเป็นอนันตชาติ

ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏแบบไร้วันจบวันสิ้น

ขึ้นต้นชาติใหม่ ก็ต้องเรียนรู้วิธีวิ่งมาราธอนกันใหม่

บางชาติได้โค้ชดี ก็เหนื่อยน้อย

บางชาติได้โค้ชเลว ก็เหนื่อยหนัก

บางชาติไม่ฟังโค้ช ก็สะเปะสะปะ

ปู้ยี่ปู้ยำชีวิตตัวเองเละเทะ

เบื่อสภาพของตนจนร้องไห้ สงสารตัวเอง

เหนื่อยหน่ายสายตัวแทบขาด

ก็ยังต้องวิ่งๆๆ แบบไม่เห็นศาลาพัก

ไม่เห็นอนาคตกันต่อ

 

ถ้ากำลังเหนื่อยเหมือนวิ่งมาราธอน

กำลังงง กำลังรู้สึกเอ๋อว่า

ทำไมต้องมาเหนื่อยขนาดนี้

ให้บอกตัวเองเลย

จริงๆแล้วคุณมาไกลกว่าที่คิด

สังสารวัฏยาวนานเกินจินตนาการถูก

หลายชาติเหนื่อยกว่านี้หลายร้อยเท่า

คุณแค่หลุดจากชาตินั้นมาเหนื่อยต่อในชาตินี้

และจะมีชาติใหม่ให้เหนื่อยต่ออีกเรื่อยๆ

 

และเพื่อจะหยุด อวิชชามาราธอน

คุณต้องมี วิชชาถอนตัว

โดยเริ่มจากการรู้เข้ามาในตน ณ บัดนี้ว่า

จิตนี่เอง คือผู้วิ่งมาราธอนมาแสนนาน

จิตนี่เอง คือผู้หลงวิ่งอย่างไม่รู้

จิตนี่เอง คือผู้รู้สึกสุดทน

กับความน่าเหนื่อยหน่ายนานัปการ

 

จากนั้น เพื่อถอนจิตจากอาการหลงวิ่งอย่างไม่รู้

ก็ต้องรู้ว่า หยุดเพื่อรู้เป็นอย่างไร

นับเริ่มจากการหายใจใหม่

ไม่หายใจเสียของเปล่า

แต่หายใจเอาความรู้ว่า

ลมหายใจไม่เที่ยง

เดี๋ยวเข้า เดี๋ยวออก เดี๋ยวยาว เดี๋ยวสั้น

เป็นแค่ธาตุลมที่พัดเข้าพัดออก

ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา

แล้วสังเกตต่ออีกว่า

ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ที่มากับแต่ละลมหายใจ ก็ไม่เท่าเดิม

ความรู้สึกเบื่อสุดๆ เซ็งตัวเองสุดๆ

ก็เป็นเพียงความทุกข์ชนิดหนึ่ง

ที่ต้องเปลี่ยนระดับไปกับลมหายใจต่างๆ

 

แค่สังเกตจนรู้ซึ้ง และเกิดสติอยู่เรื่อยๆว่า

สุขทุกข์ในแต่ละลมหายใจไม่เที่ยง

คุณจะรู้สึกเหมือนตัวเองหยุดพักอยู่ข้างใน

ไม่วิ่งเรื่อย ไม่แล่นเปล่าแบบไร้จุดหมาย

จิตได้พัก แม้ขณะยังลืมตาตื่น

หากทำได้ถึงจุดนั้นก็นั่นแหละ

นิมิตหมายแรก หรือนิมิตอนุบาล

แห่งการหยุดหมุนกงล้อแห่งสังสารวัฏ!

 

 

ดังตฤณ

ตุลาคม ๖๔