Print

จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๓๘๒

dungtrin_editor_cover

dungtrin_new2

 

 

 

 

 

 

 

 

แผ่เมตตา


    editor382

 

การเป็นมนุษย์นั้น

คือการมีอุปกรณ์รับกระทบเหมือนๆกัน

ถูกกระทบแล้วรู้สึกคล้ายๆกัน

ฉะนั้น ถ้าสงสัยว่าใครรู้สึกอย่างไร

เราก็สามารถถามความรู้สึกจากตัวเองได้ครับ

 

ถอดคำว่า แผ่เมตตาทิ้งไป

แล้วลองนึกถึงหมอใจดี

ที่รักษาคนไข้มาเยอะ

แค่เรานอนเตียง

แล้วหมอมาสัมผัสเพื่อตรวจร่างกาย

บางทีก็รู้สึกถึงพลังความอบอุ่นที่แผ่ออกมา

แตกต่างจากมือคนธรรมดาทั่วไป

อันนั้นคือตัวอย่างของความสุข

ที่เราได้จาก พลังของผู้รักษาไข้

ที่บรรดาหมอๆและพยาบาลมีกัน

ยิ่งสะสมความสำเร็จในการรักษา

และมีใจอยากให้คนป่วยหายมากขึ้นเท่าไร

ความสว่างอันเกิดจากการปลดเปลื้องความทุกข์ให้ผู้คน

ก็จะยิ่งแผ่ออกฉายชัดให้เรา

สัมผัสเหมือนได้รับแสงแห่งความสุขชัดขึ้นเท่านั้น

 

ถึงแม้คุณจะไม่มีพลังแห่งความเป็นผู้รักษาไข้

แต่มีเพียงพลังแห่งความเป็นผู้รักษาใจตัวเองได้

เข้าสมาธิเป็น มีความสุขอยู่กับตัวเองได้

จิตใสใจเบา แผ่รัศมีกว้าง สว่าง คงเส้นคงวาได้

ก็จะเกิดมวลความสุขขนาดใหญ่

แผ่ออกไปในแบบมีพลานุภาพ

กล่าวคือ เมื่อนึกถึงใบหน้าคนรู้จัก

ด้วยการน้อมใจปรารถนาว่า

ขอให้เขาได้ร่วมทะเลสุขกับเรา

เขาก็จะเป็นสุขขึ้นมาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้

อาจนึกถึงเราในทางดีขึ้นมา

อาจฝันถึงเราในช่วงนั้น

หรือเจอหน้าเราจริงๆแล้วเกิดความรู้สึกอ่อนโยน

ถ้าเคยโกรธก็อยากเลิกโกรธ

ถ้าเคยรักอยู่แล้วก็นึกรักขึ้นไปอีก

 

อย่างไรก็ตาม

หากสมาธิยังไม่ดี

จิตไม่มีความคงเส้นคงวา

ขาดต้นทุนความสามารถแผ่แบบไม่มีประมาณ

กระแสที่ออกไป

ส่วนใหญ่ก็ไปได้แค่กะปริบกะปรอย

ไม่เห็นผล หรือกระทั่งให้ผลเป็นตรงข้าม

กล่าวคือ เริ่มฝึกด้วยการแผ่แบบ

นึกถึงบุคคลต้องห้าม

เช่น แกล้งฝืนแผ่เมตตาให้ศัตรู

จิตยังเจืออยู่ด้วยความเพ่งโทษ

ระอุอยู่ด้วยแรงพยาบาทอาฆาตแค้น

แบบนั้นก็ไปถึงเจ้าตัวจริงเหมือนกัน

แต่เป็นกระแสลบ เหมือนเขม่าควันดำมืด

ไปห่อหุ้มจิตของเขา

กระตุ้นให้เขาเป็นทุกข์

 

เรียกว่าตั้งใจแผ่เมตตา

แต่ที่แท้กลายเป็นแผ่พยาบาท

จู่ๆเขาอาจนึกถึงคุณขึ้นมาด้วยความชิงชัง

เจอหน้ากันจริงแทนที่อะไรๆจะดีขึ้น

อาจกลับแย่ลงแบบกู่ไม่กลับก็ได้!

 

ดังตฤณ

กรกฎาคม ๖๔