Print

จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๓๗๙

dungtrin_editor_cover

dungtrin_new2

 

 

 

 

 

 

 

หันหน้าเข้าหาธรรม 

    editor379

 

ธรรมะ

กับเสียงหัวเราะเยาะ

เหมือนจะเป็นของคู่กันมานาน


ถึงจุดหนึ่งคุณจะพบว่า

คนเราไม่ได้หัวเราะเยาะธรรมะ

แต่คนเราหัวเราะเยาะ

ความเชื่อที่แตกต่างกันต่างหาก

เพราะแม้คนในแวดวงธรรมะด้วยกัน

บางทีก็ดูถูก บางทีก็หัวเราะเยาะกันเอง

ถ้าเชื่อไม่เหมือนกัน

หรือศรัทธาแตกต่างกัน

 

อันที่จริงต้องบอกว่า

เสียงหัวเราะเยาะ

และสีหน้าเย้ยหยันไยไพ

เป็นของคู่กันกับ

ความรู้ครึ่งๆกลางๆ

ความไม่มีเมตตา

และความเห็นแก่ตัวทางความเชื่อ

 

กรรมที่แตกต่าง

ทำให้ได้รับการต้อนรับที่แตกต่าง

บางคนเมื่อเริ่มหันหน้าเข้าวงการธรรมะ

ก็รายล้อมไปด้วยกัลยาณมิตรดีๆทันที

มีแต่เสียงส่งเสริม สนับสนุน

นับแต่ครอบครัวไปจนถึงที่ทำงาน

นั่นก็เพราะกรรมดี

ที่เคยให้กำลังใจผู้อื่นในทางดีเผล็ดผล

 

บางคนเป็นตรงกันข้าม

พอคนที่บ้านเห็นว่าเริ่มสนใจธรรมะ

ก็ออกอาการด่าทอ หาว่าเริ่มโง่

เริ่มเป็นไก่อ่อนให้เขาหลอก

แถมซ้ำด้วยเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงาน

เหน็บแนมว่าโลกไปถึงไหนแล้วรู้ไหม

ยังถอยหลังเข้าคลองอยู่อีกหรือ

 

เมื่อเข้าใจธรรมะเพียงรางๆ

ธรรมะยังเข้าไม่ถึงจิตถึงใจ

เสียงหัวเราะเยาะ

จะยังทำให้คุณมองว่าโลกร้าย

 

ต่อเมื่อเข้าใจธรรมะแจ่มแจ้งแล้ว

รู้ซึ้งแล้วว่าเส้นทางของแต่ละคน

เป็นไปตามกรรมที่เคยทำ และกำลังทำ

ก็จะตระหนักว่าที่โลกร้ายกับคุณ

ก็เพราะคุณเคยร้ายกับโลกไว้

ถ้าเคยบั่นทอนกำลังใจใคร

ก็ต้องโดนบั่นทอนกำลังใจคืน

ถ้าเคยหัวเราะเยาะใส่

คนหันหน้าเข้าหาธรรมะ

ถึงตาตัวเองหันเข้าหาธรรมะ

ก็ไม่แปลกถ้าจะโดนหัวเราะเยาะบ้าง

 

เสียงหัวเราะเยาะ

อาจเป็นเครื่องทดสอบ

ให้คุณรู้ตัวได้อย่างดีว่า

ที่อยู่บนเส้นทางนี้

มาไกลแค่ไหนแล้ว

 

ถ้ายังรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย

หัวเดียวกระเทียมลีบ

ไม่เหลือกำลังใจให้ไปต่อ

แปลว่าคุณมาได้แค่ต้นทางแล้วหยุด

ถ้าไม่ท้อ ยังเดินต่อ

แต่โกรธเสียงหัวเราะอยู่

แปลว่ายังวิ่งไล่ตามธรรมะอยู่ไกลๆ

 

แต่ถ้าเมตตา เห็นใจ

เห็นเหตุผลทางจิตวิญญาณ

หรือสงสารเสียงหัวเราะเยาะ

ที่จะต้องสะท้อนกลับไปหาเจ้าตัวในวันหนึ่ง

แปลว่าธรรมะเริ่มอยู่กับคุณจริง

อย่างน้อยคุณตามทันธรรมะข้อหนึ่ง

ที่เรียกกันว่า สติได้แล้ว!

 

 

ดังตฤณ

มิถุนายน ๖๔