Print

จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๓๓๗

dungtrin_editor_cover

dungtrin_new2

 

 

 

 

 

 

 

สวดมนต์ให้หายทุกข์

 
 

editor337

 

เทวดามีจริง

แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้

เพราะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

และสัมผัสไม่ได้ด้วยใจยุ่งๆ ฟุ้งซ่านของตน

ที่ทึบแน่น กั้นขวาง และห่างไกล

จากมิติแห่งความเป็นทิพย์

ของเทพยดาอันประณีต

 

เทวดาแบบให้พรมีจริง

อันนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่คาดหวัง

แต่น้อยครั้งที่จะเจอของจริง

เพราะเทวดาส่วนใหญ่ไม่ได้บำเพ็ญบุญ

ในแบบที่หลังตายจากความเป็นมนุษย์

แล้วจะทำหน้าที่คอยบันดาลพรให้ใคร

เทวดาโดยมากท่านก็ไปเสวยสุข

ตามวิถีทางของพวกท่าน

ไม่ได้มีฤทธิ์เปลี่ยนกายเปลี่ยนใจมนุษย์ได้

 

เทวดาอนุโมทนาบุญกับมนุษย์มีจริง

เพราะในสภาพอันเป็นทิพย์

พวกท่านมีทุกสิ่ง

อยากได้อะไรไม่ต้องใช้กำลังใจ

ขณะที่มนุษย์นั้น จะทำอะไรดีๆแต่ละที

ต้องใช้กำลังกายกำลังใจ สวนกระแสกิเลส

ซึ่งกำลังกายกำลังใจนั่นแหละ คือพลังบุญ

ยิ่งพลังบุญมาก เทวดายิ่งอนุโมทนามาก

และยิ่งบุญนั้นเป็นไปในทางพ้นทุกข์ พ้นอุปาทาน

พลังบุญนั้นยิ่งสว่าง

ยิ่งจับใจเทพยดาผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ

เรียกเทพยดาผู้เป็นสัมมาทิฏฐิมาอนุโมทนาได้มหาศาล

และเมื่อพวกท่านมาอนุโมทนาบ่อยๆ

ก็ย่อมเกิดความผูกพัน

อยากช่วยเหลือ อยากอำนวยสุขให้เอง โดยไม่ต้องร้องขอ

 

สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์

เป็นคาบเวลาที่พระองค์

เป็นผู้มีบุญญาธิการสูงสุดในอนันตจักรวาล

เทพพรหมล้วนมาเข้าเฝ้า

เพื่อขอฟังธรรม และเพื่อได้มีส่วนในพระบารมี

พระองค์มีปัญญาบารมีขนาดเปลี่ยนใจพระพรหมผู้สำคัญตนผิด

พระองค์มีฤทธิ์ขนาดเปลี่ยนหญิงบ้าให้กลับฟื้นคืนสติ

พระองค์มีพลังเมตตาขนาดสยบช้างอาละวาดให้หยุดหมอบได้

แต่กระนั้น เมื่อมีผู้ทูลขอพร

พระองค์กลับตรัสตอบว่า เราตถาคตเลิกให้พรนานแล้ว

(พระองค์ไม่ปรารถนาให้คนเข้าหาศาสนาและสาวกของท่าน

ด้วยใจอยากขอพึ่งพา อยากสอนให้ทุกคนพึ่งพาตนเอง

แต่ก็อนุโลมให้ภิกษุให้พรชาวบ้านผู้ขอได้ เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ)

 

แม้เมื่อเหล่าภิกษุปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าที่น่ากลัว

บางแห่งเจอผีเจอสางดุๆกันถ้วนหน้า

พระพุทธเจ้าก็ทรงให้สาธยายมนต์

ในแบบที่ไม่ใช่ไปรบกับผี ไม่ใช่ไปปราบผี

ไม่ใช่ไปอวดฤทธิ์อวดศักดาว่าข้าเป็นสาวกพระพุทธเจ้า

แต่เป็นการสาธยาย ในแบบให้ทบทวนตนเองว่า

มีคุณสมบัติดีๆ ที่ทำให้ผีรักอยู่บ้างหรือยัง

ซึ่งก็ล้วนเป็นไปในทางอ่อนน้อมถ่อมตน

รู้หน้าที่ของผู้มีแต่ให้ทั้งสิ้น

(มนต์ที่พระพุทธเจ้าประทานแก่ภิกษุดังกล่าว

ปัจจุบันเรารู้จักกันในชื่อ กรณียเมตตสูตร)

 

สรุปคือ หากใจเป็นทุกข์

สวดมนต์ให้หายทุกข์ทางใจเลย

พึ่งบารมีความเป็นมนุษย์ของตัวเองเลย

อย่ารอผลทางกายที่จะมีผู้อื่นบันดาลให้ก่อน

และถ้ายิ่งระหว่างสวดมนต์แล้วเกิดสติ

ระลึกรู้ความไม่เที่ยงในกายใจได้

แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลถวายเทพยดาได้

ก็จะยิ่งซึ้งใจว่า พุทธเราสอนให้เป็นที่พึ่งของตัวเองอย่างไร

ภพภูมิมนุษย์เป็นภาวะแข็งแกร่งกว่าภพภูมิอื่นๆได้ท่าไหน

ต่อไปสำรวจใจตัวเองได้ตั้งแต่เข้าห้องพระสวดมนต์เลย

ตั้งใจสวดแบบขอ หรือเจตนาสวดแบบให้

สวดแล้วเป็นเหตุให้อ่อนแอ ชอบคร่ำครวญ

หรือสวดแล้วเป็นเหตุให้เข้มแข็ง

ชอบเผื่อแผ่สุขให้มนุษย์และเทวดาไม่เลือกหน้า!

 

ดังตฤณ

ตุลาคม ๖๒