Print

จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๘๓

dungtrinช่วงนี้มีการพูดถึงโลกาวินาศ 2012 กันมาก
อาจจะเพราะภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องล่าสุด
ที่มีบทบาททางการทำให้เกิดความรับรู้ส่วนหนึ่ง
แต่ส่ิงที่มีบทบาทมากกว่านั้น
น่าจะเป็นตัวของโลกเอง
ที่สำแดงความแตกต่างให้คนในทุกประเทศรับทราบ
และเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนว่าไม่ธรรมดา
ไม่มีใครกล้าพูดอีกแล้วว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไร

ถ้าอ่าน twitter@dungtrin อยู่คงเคยเห็นผมเขียนนะครับ
เมื่อใดมีการตื่นข่าวโลกแตก?
คนส่วนใหญ่จะตื่นเต้นแต่ไม่เตรียมตัว?
ตระหนกแล้วไม่ตระหนัก?
เชื่อเพราะฟังข้างเดียว?
ไม่เชื่อเพราะคิดเองเออเอง?

ลองมาเจาะรายละเอียดกันว่า
ความรู้เกี่ยวกับโลกแตกหรือโลกาวินาศ
มาจากหลักแหล่งอันใดได้บ้าง

๑) เดา
อันนี้เป็นหลักแหล่งข้อมูลที่แพร่หลายที่สุดในโลก
เอามาเมาท์กันได้กระจายทุกหนทุกแห่ง
สะดวก รวดเร็ว
ไม่ต้องออกแรงค้นคว้าหาข้อมูลใดๆทั้งสิ้น
แค่พอใจจะให้มันเกิดหรือไม่เกิดก็พูดๆออกไป
และไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ
เนื่องจากเป็นเรื่องคุยเล่นเหมือนพยากรณ์ดินฟ้าอากาศ
ผมสังเกตว่าแหล่งพวกเดาฝ่ายเชื่อ
มักมาจากคนที่เพ่ิงล้มเหลวอะไรบางอย่าง
หรือขี้เกียจรับผิดชอบภาระการงานตรงหน้าแล้ว
ทำนองว่ารู้สึกอยากตายขึ้นมาตงิดๆอยู่ล่วงหน้า
ส่วนพวกเดาฝ่ายไม่เชื่อนั้น
ที่แท้อาจแปรพักตร์มาจากพวกเคยเชื่อ
อาศัยฟังเสียงทำนาย เสียงเล่าลือ
ทุ่มเทความสนใจมาเยอะ
แต่ไม่เห็นมันจะเกิดอะไรขึ้นสักที
กลายเป็นความรู้สึกชินชา ดูถูก และดื้อด้าน
ปฏิเสธที่จะรับฟังคำทำนายใหม่ๆอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าคำทำนายนั้นจะมาจากโหราจารย์
คนมีญาณทางใน หรือนักวิทยาศาสตร์ขั้นเทพ
คุณจะรู้ตัวว่าเป็นนักเดาแบบมองโลกแง่ดีหรือร้าย
ก็ลองเข้าไปดูข้อมูลเตรียมงานกีฬาโอลิมปิก 2016 ดู
http://en.wikipedia.org/wiki/2016_Summer_Olympics
นี่คือธรรมชาติของมนุษย์
ทุกคนทำงาน วางแผน และเตรียมการกัน
โดยยืนพื้นอยู่บนความไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น
ถ้าเชื่อเรื่องโลกแตก 2012
นั่นคือการเตรียมงานเพื่อความสูญเปล่า
แต่ถ้าไม่เชื่อเรื่องโลกแตก 2012
นั่นคือเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่
เพื่องานอะไรบางอย่าง โดยมีสิทธิ์มั่นใจ
ว่างานที่ทำจะต้องบังเกิดผลสำเร็จ

๒) คำนวณ
อันนี้น่ารับฟัง แล้วก็เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ
ให้คนในระดับรัฐบาลให้ความสนใจ
สมัยนี้เวลารัฐบาลจะยอมทุ่มงบประมาณแผ่นดิน
ก็ต้องอาศัยหลักเกณฑ์วิทยาศาสตร์
ไม่เหมือนสมัยก่อนที่กษัตริย์จะเชื่อโหราจารย์
หรือไม่ก็ปุโรหิตที่นั่งทางในเก่ง
ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวกับโลกแตกทางอ้อม
ก็มีทั้งนักดาราศาสตร์ นักธรณีวิทยา และอื่นๆ
โดยสรุปรวมแล้วพูดสั้นๆได้ว่า
ทั่วโลกกำลังระดมคนมีความรู้ความสามารถ
ติดตามความเคลื่อนไหวของแผ่นดิน
แบบไม่ให้คลาดสายตากันทีเดียว
เหมือนทุกที่ ทุกเวลา อาจเกิดแผ่นดินไหวได้ตลอด
ส่วนดาวหางชนโลกอะไรก็ห่างตัวไปหน่อย
ทว่านักดาราศาสตร์ก็ไม่นิ่งนอนใจ
เพราะแว่วๆว่ามีเฉียดๆมาใกล้โลกมากจริงๆ
แถมเมื่อไม่นานมานี้ดาวพฤหัสก็เพิ่งโดนไป
เรียกว่าถ้ามีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวพฤหัส
ป่านนี้ก็คงได้ชมภาพยนตร์โลกแตกกันจะจะไปแล้ว
จึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เพียงแต่จะเป็นไปเมื่อไร
ไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่ไหนตอบถูก
ทุกวันนี้นาซ่ารับศึกหนักสุด
เพราะแต่ละวันมีอีเมลเข้าไปถามกันเป็นพันเป็นหมื่น
ว่าตกลงโลกจะแตกในปี 2012?
ด้วยเหตุผลทางดาราศาสตร์หรือไม่
นาซ่าก็ตอบแบบเอือมระอาว่าไม่แตก
ไม่ชน ไม่บึ้ม ไม่อะไรทั้งนั้น กรุณาอย่าถามอีกเลย
ถ้าเฉพาะข้อมูลทางดาราศาสตร์
มันจะไม่มีอะไรขนาดในภาพยนตร์แน่ๆ

๓) ญาณ
ญาณเป็นของมีจริง แต่เป็นเรื่องรู้เฉพาะตน
และถ้าคนใกล้ชิดเคยสัมผัสว่าแม่นจริง รู้จริง
ความโน้มเอียงที่จะเชื่อก็มีมาก
แต่คนที่ขึ้นชื่อลือชาว่าญาณแม่นนักแม่นหนา
ก็พลาดมานักต่อนัก
เท่าที่ผมพบมา ยังไม่เคยเห็นใครพูดเรื่องอนาคต
แบบถูกเผงๆชนิดทายร้อยแม่นร้อย
มีแต่ว่าถูกเป็นส่วนใหญ่หรือใช่เป็นส่วนน้อย
ยิ่งเรื่องระดับโลกด้วยแล้ว
มันเป็นอะไรที่ลึกลับซับซ้อน?
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเดี่ยวๆเหมือนเรื่องของคนหนึ่งคน
ถ้าคุณพบคนทายแม่นเรื่องคน
ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อว่าจะทายแม่นเรื่องโลกเสมอไป

สำหรับชาวพุทธที่รู้ตัวว่าตนไม่รู้อนาคต
ก็เป็นเรื่องน่ายินดีแล้วครับที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ล่วงหน้า
เรารู้จริงๆแค่ไหนก็เอาแค่นั้น
อย่าไปสนับสนุน อย่าไปคัดค้าน
ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้
สบายใจอยู่ได้ด้วยความรู้ว่าตนรู้แค่ปัจจุบัน
ผมว่าแค่นี้ก็เกินพอ เพราะพุทธศาสนาเรา
ชี้ว่าบุคคลจะบรรลุประโยชน์สูงสุดได้
ก็เพราะการรู้ปัจจุบัน รู้ว่าไม่เที่ยง
ดำรงอยู่ในสภาพหนึ่งเพียงครู่ก็เลือนหาย
ไม่ใช่ไปรู้ว่าอนาคตจะต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ
เพราะแค่อาการรอ ก็เอามาใช้ทำอะไรไม่ได้แล้ว
มีแต่จะเหม่อ มีแต่จะฟุ้งซ่าน?
มีแต่จะขาดความมั่นคงทางใจเปล่าๆ
ผมไม่เชื่อว่าถ้าโลกจะพัง น้ำจะท่วมทวีป
แล้วผู้คนจะไปเตรียมการอะไรล่วงหน้าได้ทัน
มันต้องมีโครงการใหญ่เป็นรูปเป็นร่างเรียบร้อยแล้ว
ที่จะขนผู้คนอพยพออกไปนอกโลก
ถ้ายังไม่มีป่านนี้ก็เรียกได้ว่าหมดเวลาแล้ว

คำว่า "หมดเวลา" มีความสำคัญกับโลกทั้งใบแค่ไหน
หรือเคยมีความหมายสำหรับใครอย่างไร
มันจะปรากฏความหมายที่แท้จริงสำหรับคนใกล้ตายเท่านั้น
ไม่มีอะไรชัดเจนไปกว่านั้น
และทุกวันก็มีคนตายร่วมสองแสน
ทำไมจะต้องรอหมดเวลาถึง ๓ ปีด้วยเล่า?
มาเตรียมตัวว่าอาจเป็นหนึ่งในคนที่ต้องตายพรุ่งนี้กันดีกว่า
เผื่อจะหมดเวลาเข้าจริงๆเฉพาะเรา
ก็จะได้ชื่อว่าเตรียมตัวไว้หนึ่งวัน
ทันแล้วสำหรับพรุ่งนี้

เตรียมอย่างพุทธ คือเตรียมอย่างมีสติ
เตรียมอย่างใจเย็น เตรียมอย่างเป็นสมาธิผ่องแผ้ว
ผู้เจริญสติเห็นความเสื่อมในกายใจ?
ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท?
เตรียมพร้อมสําหรับโลกาวินาศเฉพาะตนอยู่ตลอดเวลา

ดังตฤณ
ธันวาคม ๕๒


? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

?

เรื่องน่าสนใจประจำฉบับ

การฆ่าตัวตาย นอกจากจะไม่ใช่ทางออกของปัญหาแล้ว
ยังเป็นการเพิ่มปัญหาให้สาหัสขึ้น อย่างยากที่จะแก้ไขด้วยนะคะ
คอลัมน์ "ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ"
เรามาตาม "คุณดังตฤณ" ไปดูสภาพจิตหลังการตาย
ของคนที่ฆ่าตัวตายกันค่ะ
0_0"?

คอลัมน์ "ไดอารี่หมอดู" ฉบับนี้ "หมอพีร์" ขอเปลี่ยนบรรยากาศ
จากเล่าประสบการณ์การดูดวง มาเป็นเล่าประสบการณ์การทำบุญบ้างค่ะ
พร้อมกันนั้น ก็ได้แอบสำรวจจิตของเหล่าสมาชิกที่ไปร่วมบุญมาเล่าสู่กันฟังด้วย
จะสนุกขนาดไหน คลิกอ่านได้ในฉบับเลยค่ะ
^_^

อีกหนึ่งคอลัมน์ที่มีผู้ติดตามมากที่สุด "เรื่องสั้นอิงธรรมะ"
ฉบับนี้ มาติดตามเรื่องสั้น "เลือดกุหลาบ"
จากฝีปากกา "คุณชลนิล" กันต่อในตอนที่ ๒
รับรองว่า ความสนุกตื่นเต้นน่าติดตาม ไม่แพ้ตอนที่ ๑ แน่นอนค่ะ

คอหนังรักคงถูกใจคอลัมน์ "ธนาคารความสุข" ฉบับนี้ ^-^*
"คุณ aston27" นำหนังรักสองเรื่อง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเดินทาง
มาเป็นตัวอย่างสอนธรรมะได้อย่างน่าทึ่ง

ในตอน "จาก The Time Traveler's Wife
ถึงรถไฟฟ้าฯ การเดินทางสู่การพลัดพราก
"
ค่ะ

ข่าวสารและกิจกรรมที่น่าสนใจ

?

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

พบกันใหม่พฤหัสหน้า
ที่?http://www.dlitemag.com นะคะ

สวัสดีค่ะ (^^)

?

?